Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การซักประวัติหญิงตั้งครรภ์ G2P1-0-0-1 GA 7+1 wks - Coggle Diagram
การซักประวัติหญิงตั้งครรภ์
G2P1-0-0-1 GA 7+1 wks
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Glucose Challenge Test
glucose 50 gm. = 146 mg/dL
(ค่าปกติ 0-140 mg/dL)
เนื่องจากแม่มีอายุ 30 ปี เสี่ยงต่อการเกิด
เบาหวานขณะตั้งครรภ์
Complete Blood Count
Hemoglobin (Hb) 12.4 g/dL (ค่าปกติ 12.3-15.5 g/dL)
Hematocrit 39.2% (ค่าปกติ 36.8-46.6 %)
MCV 70.4 fL (ค่าปกติ 79.9-97.6 fL)
RBC 5.56 10^6/uL (ค่าปกติ 3.96 - 5.29 10^6/uL)
MCH 22.3 pg (ค่าปกติ 25.9-32.4 pg)
MCHC 31.7 g/dL (ค่าปกติ 31.5-34.5 g/dL)
RDW 15.6% (ค่าปกติ 11.9-16.5%)
Microcyte 2+
WBC 6.65 10^3/uL (ค่าปกติ 4.24-10.18 10^3/uL)
NRBC 0 (ค่าปกติ 0-1)
Corrected WBC 6.65 10^3/uL (ค่าปกติ 4.24-10.18 10^3/uL)
Neutrophil 56.1% (ค่าปกติ 48.2-71.2%)
Lymphocyte 35.3% (ค่าปกติ 21.1-42.7%)
Monocyte 7.6% (ค่าปกติ 3.3-10.2%)
Eosinophil 0.6% (ค่าปกติ 0.4-7.2%)
Basophils 0.4% (ค่าปกติ 0.1-1.2%)
Platelet Count 304 10^3/uL (ค่าปกติ 152-387 10^3/uL)
MPV 11.1 fL (ค่าปกติ 7.5-11.9 fL)
ABO Group : O
RH Group : Negative
Indirect antiglobulin Test/ Ab Screening : Negative
ข้อมูลส่วนบุคคล
หญิงไทยอายุ 30 ปี ตั้งครรภ์ G2P1-0-0-1 น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ 62 kg ส่วนสูง 160 cm BMI 24.88 kg/m^2 น้ำหนักปัจจุบัน 62.3 kg. น้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.3 กรัม
EDC by date 10 ตุลาคม 2565 GA 7+1 wks
มารดาปฏิเสธการแพ้ยาและอาหาร
มารดาจำวันที่ฉีดวัคซีนบาดทะยักไม่ได้และไม่มีข้อมูลที่บันทึกไว้
มารดาได้รับยา Anti-D immunoglibulin ปี2559 2 เข็ม
• ขณะตั้งครรภ์ 7 เดือน
• หลังคลอด
มารดาได้รับวัคซีนโควิด 4 เข็ม
• เข็ม 1 SV (30/04/2564)
• เข็ม 2 SV (20/05/2564)
• เข็ม 3 PZ (10/08/2564)
• เข็ม 4 PZ (21/01/2565)ารดาได
ประวัติการเจ็บป่วย
• ประวัติครอบครัว
บิดา : โรคความดันโลหิตสูง
• ประวัติการผ่าตัด
ปี 2559 ผ่าตัดคลอดบุตร
ประวัติการตั้งครรภ์
วันที่ 30 มิ.ย. 59
G1P0000 c/s due to cpd (Cephalopelvic disproportion)
คลอดที่ รพ.ตร. น้ำหนัก 3,300 กรัม หมู่เลือด O rh positive แข็งแรงดี
แบบแผนกอร์ดอน
• แบบแผนที่ 1
หญิงไทยตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2 อายุ 30 ปี
ตั้งใจตั้งครรภ์ ไม่ได้คุมกำเนิด
รับรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
• แบบแผนที่ 2
ก่อนการตั้งครรภ์ : รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
( เช้า กลางวัน เย็น) ชอบรับประทานผักและผลไม้
ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
ขณะตั้งครรภ์ : รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ
(เช้า กลางวัน เย็น) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 มื้อ
ทานอาหารได้ปกติ ไม่มีคลื่นไส้อาเจียน
• แบบแผนที่ 3
ก่อนตั้งครรภ์ : ปัสสาวะวันละ 3-4 ครั้ง/วัน สีเหลืองใส
ไม่มีตะกอน ไม่มีเลือดปน
อุจจาระวันละ 2 ครั้ง ลักษณะขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน
ขณะตั้งครรภ์ : ปัสสาวะวันละ 5-6 ครั้ง/วัน สีเหลืองใส
ไม่มีตะกอน ไม่มีเลือดปน ไม่แสบขัด
มีอาการท้องอืด ท้องผูก อุจจาระวันละ 1 ครั้ง บางวันไม่ถ่ายเลย
• แบบแผนที่ 4
ก่อนการตั้งครรภ์ : ไม่ได้ออกกำลังกาย
ขณะตั้งครรภ์ : ไม่ได้ออกกำลังกาย และยังทำงานเช่นเดิม
• แบบแผนที่ 5
ก่อนการตั้งครรภ์ : นอนหลับสนิท ไม่มีสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืน
วันละ 6-7 ชม.
ขณะตั้งครรภ์ : นอนหลับสนิท ไม่มีสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืน
วันละ 6-7 ชม.
• แบบแผนที่ 6
ระดับความรู้สึกตัวปกติ รับรู้วัน เวลา สถานที่
ถามตอบรู้เรื่อง รับรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์
• แบบแผนที่ 7
ก่อนการตั้งครรภ์ : รับรู้และยอมรับสู่การเปลี่ยนแปลง
ของการตั้งครรภ์
ขณะตั้งครรภ์ : รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในขณะตั้งครรภ์ที่ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงและพร้อมในบทบาทมารดา
• แบบแผนที่ 8
ก่อนการตั้งครรภ์ : สัมพันธภาพในครอบครัวดี อาศัยอยู่กับสามี
และลูก 1 คน
ขณะตั้งครรภ์ : มีสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัว และได้รับการดูแลจากครอบครัว
• แบบแผนที่ 9
ก่อนการตั้งครรภ์ : ประจำเดือนมาปกติ ไม่มีโรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ์
ขณะตั้งครรภ์ : ไม่มีเพศสัมพันธ์ขณะที่ตั้งครรภ์ อวัยวะสืบพันธ์ไม่มีอาการผิดปกติ
• แบบแผนที่ 10
ก่อนการตั้งครรภ์ : สามารถปรับตัวและเผชิญกับความเครียดได้อย่างเหมาะสม
ขณะตั้งครรภ์ : สามารถปรับตัวและเผชิญกับความเครียดได้อย่างเหมาะสม กังวลเกี่ยวกับสุขภาพขณะตั้งครรภ์
• แบบแผนที่ 11
นับถือศาสนาพุทธ ไม่มีความเชื่อทางศาสนาที่ขัดแย้งต่อการรักษาของแพทย์
ปัญหาที่พบ
ปัญหาที่เจาะจง
Previous C/S
มารดาที่มีประวัติผ่าท้องคลอด จะทำให้มีแผลที่บริเวณมดลูก
หากตั้งครรภ์อีกครั้ง แล้วรกไปฝังบริเวณที่เคยฝังตัวที่เดิม จะทำให้รก
กินลึกไปในชั้นกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้มีโอกาสเพิ่มการตกเลือดได้
ผลกระทบ
ผลกระทบด้านลูก
ความดันเลือดในปอดสูง
หายใจลำบาก
หายใจเร็วชั่วคราว
ผลกระทบด้านมารดา
ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาสลบ หรือยาระงับความรู้สึก อาจเกิดการสำลักน้ำ เศษอาหารไปติดในหลอดลม
แผลผ่าตัดติดเชื้อ ติดเชื้อในช่องท้อง ตกเลือดในช่องท้อง
ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด
คำแนะนำ
สังเกตอาการเจ็บครรภ์จริง และเจ็บครรภ์เตือน
เช่น เจ็บครรภ์จริง มี mucous bloody show การหดรัดตัวสม่ำเสมอ เจ็บทุก 5 นาที เจ็บถี่ ปวดหลังและท้อง และเจ็บครรภ์เตือน ไม่มี mucous bloody show การหดรัดตัวไม่สม่ำเสมอ เจ็บๆ หายๆ เจ็บบริเวณท้อง
ภาวะการไม่เข้ากันของหมู่เลือดระบบ Rh (Rhincompatibility)
• แม่หมู่เลือด O Rh negative
• ลูกคนแรก O Rh positive
• ตอนนี้ตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2
เมื่อมารดามีหมู่เลือดเป็น Rh ลบ และลูกเป็น Rh บวก
จะทำให้เกิดภาวะการไม่เข้ากันของหมู่เลือด เมื่อมีการตั้งครรภ์แรกขึ้น เม็ดเลือดแดงของลูกจะผ่านเข้าสู่กระแสเลือดมารดา เม็ดเลือดแดงของทารกที่มีแอนติเจน D จะไปกระตุ้นให้มารดาสร้าง Anti-D เพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอม ซึ่งเป็นการตอบสนองครั้งแรก (Primary immunization) และถ้าหากครรภ์ถัดไปลูกมีเลือด Rh บวกอีก จะทำให้เม็ดเลือดแดงของลูกผ่านเข้าไปกระตุ้นมารดาให้สร้าง Anti-D อีกเพื่อนอบสนองจะทำให้เม็ดเลือดแดงของทารกแตก
ผลกระทบ
ผลกระทบด้านลูก
ในครรภ์แรกจะไม่มีผลกระทบ แต่ในครรภ์ถัดมาจะมีความเสี่ยงหากผล Rh group ของลูกเป็น positive และแม่เป็น negative จะทำให้เม็ดเลือดแดงของแม่และลูกไม่เข้ากัน เม็ดเลือดแดงของลูกจะแตกตัว ลูกจะมีภาวะซีด หัวใจทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดไปเบี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ทำให้เกิดการบวมน้ำ ตับ,ม้ามโต หัวใจวายและอาจทำให้ลูกเสียชีวิต
ผลกระทบด้านมารดา
abortion
คำแนะนำ
นัดสามีมาเจาะเลือด ถ้าผล Rh group เป็น negative ไม่ต้องฉีดยา
Anti-D immunoglibulin
หากผล Rh group ของสามีเป็นผล positive มารดาต้องฉีดยา Anti-D immunoglibulin 2 เข็ม โดยเข็มแรกฉีดที่ไตรมาส 3 และเข็มที่สองฉีดหลังจากคลอดภายใน 72 ชม.
เสี่ยง GDM
Glucose Challenge Test
glucose 50 gm. = 146 mg/dL
(ค่าปกติ 0-140 mg/dL)
ภาวะซีด (Anemia)
MCV 70.4 fL (ค่าปกติ 79.9 - 97.6 fL) ต่ำกว่าปกติ
RBC 5.56 10^6/uL (ค่าปกติ 3.96 - 5.29 10^6/uL) สูงกว่าปกติ
MCH 22.3 pg (ค่าปกติ 25.9 - 32.4 pg) ต่ำกว่าปกติ
การวินิจฉัย
การตรวจคัดกรอง
1.red cell
•MCV ค่าปกติ 80 - 100 fL
•MCH ค่าปกติ >27 pg
2.Osmotic fragility test (OFT)
•ค่าปกติ OF >60%
3.DCIP test
•ค่าปกติอ่านว่า negative
การตรวจเพื่อวินิจฉัย
1.hemoglobin analysis
2.PCR
3.hemoglobin electrophoresis
4.serum ferritin
ข้อมูลผู้ป่วย
MCV 70.4 fL (ค่าปกติ 79.9 - 97.6 fL) ต่ำกว่าปกติ
MCH 22.3 pg (ค่าปกติ 25.9 - 32.4 pg)
ไม่ทราบผล DCIP
ไม่ได้ตรวจ Hb E screening เนื่องจากมีการตรวจในการตั้งครรภ์ที่แล้ว ปี 2559
ผลกระทบ
ผลกระทบต่อลูก
• Premature labor
• IUGR
• low birth weight
• พิการ
• DFIU
ผลกระทบต่อมารดา
• เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
• เสี่ยงต่อ pre-eclampsia
• เสี่ยงต่อ HF
• เสี่ยงต่อ septicemia
• Abortion
คำแนะนำ
• ให้ยาเสริมธาตุเหล็กคือ Folic acid 5 mg. Tab 1*1 po pc.
• ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กให้เพียงพอ เช่น ไข่แดงในไข่ ผักใบเขียว เป็นต้น
ผลกระทบ
ผลกระทบด้านลูก
ทารกในครรภ์
Macrosomia, Birth injury
ขาด O2
IUGR
congenital anomaly
• DFIU
• birth asphyxia
• RDS
ทารกแรกคลอด
hyperbilirubinemia
neonatal hypoglycemia
polycythemia
hypocalcemia
hypomagnesemia
cardiac hypertrophy
ผลกระทบด้านมารดา
ควบคุม DM ยากขึ้น
PIH
pre-eclampsia
polyhydramnios จาก fetal polyuria
abortion
preterm labor
คำแนะนำ
เนื่องจากมารดาผล Glucose Challenge Test
glucose 50 gm. = 146 mg/dL ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จึงจำเป็นต้องตรวจ OGTT โดยมีการเตรียมตัวดังนี้
• งดน้ำงดอาหาร (NPO) หลังเที่ยงคืน
• รับประทานกลูโคส 100 กรัม
• มีการเจาะเลือดในชั่วโมงที่ 1,2,3 หลังรับประทานน้ำตาล
ปัญหาทั่วไป
ท้องผูก
ท้องอืด
ไม่ออกกำลังกาย
คำแนะนำตามทฤษฎี
ไตรมาสที่ 1
1.อาหาร ทานอาหารตามปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์เท่าที่ทานได้ หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ควรทานเป็นอาหารอ่อนย่อยง่าย ควรทานน้อยๆวันละ 4-6 มื้อ แต่พออิ่ม ไม่จำเป็นต้องบังคับว่าต้องทานปริมาณเท่าใด
2.การฝากครรภ์ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อให้มารดาและบุตรได้รับการดูแลตลอดเวลา 9 เดือน
3.การฉีดวัคซีน ในรายที่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาก่อน ควรฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือนในไตรมาสที่ 1-2
4.การมีเพศสัมพันธ์ ไม่ได้มีข้อห้าม ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยมีประวัติแท้งบุตรหลายครั้ง หรือมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์
ไตรมาสที่ 2
1.อาหาร ในระยะนี้อาการแพ้ท้องมักหายไป เริ่มทานอาหารได้ตามปกติ ควรทานให้ครบ 5 หมู่ อาจมีทุกประเภทใน 1 มื้อหรือประเภทใดสลับกับมื้ออื่น แต่เมื่อรวม 6-5 มื้อในแต่ละวันต้องรับประทานให้ครบทุภประเภท
เน้นผักผลไม้ ดื่มน้ำวันละ 6-5 มื้อ เพื่อป้องกันการท้องผูก
ธาตุเหล็ก มีในไข่แดง ตับ ผักใบเขียว ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
ท่านอนตะแคงซ้าย ขวา หรือหงายสลับกัน จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังที่เกิดขึ้น เพื่อลดจุดกัดทับของร่างกาย
การตรวจเต้านม เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้นมบุตร ลักษณะหัวนมที่แบนบุ๋มลงไป จะทำให้เด็กดูดนมไม่ได้
ไตรมาส 3
1.อาหาร ควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีน เช่นเดียวกับไตรมาส 2 เข่นเนื้อสัตว์ เนื้อปลา
การฝากครรภ์ จะมีการนัดตรวจครรภ์บ่อยขึ้น มนไตรมาสนี้จะมีการตรวจปัสสาวะเพื่อดูระดับน้ำตาลและโปรตีน
3.การดูแลเต้านม ในระยะ 2-3 เดือนก่อนคลอดร่างกายจะขับสารจำพวกไขมันมาคลุมบริเวณหัวนมและลานนม ดังนั้นในการอาบน้ำไม่ควรฟอกสบู่บริเวณหัวนมมากนัก เพราะจะไปชะล้างไขมันที่หัวนม ทำให้หัวนมแห้งแตกง่าย
การวินิจฉัยการตั้งครรภ์
Presumptive sign
ประจำเดือนไม่มา
LMP : 3 มกราคม 2565
รู้สึกคัดตรึงที่เต้านม
Probable sign
ตรวจ Urine pregnancy test (UPT)
พบ beta-hCG ผล positive ที่ รพ.ตร.
Positive sign
ยังไม่ได้ตรวจ positive sign
การเปลี่ยนแปลง
ด้านร่างกาย
ไตรมาสที่ 1 (อายุครรภ์ 1-3 เดือน)
ประจำเดือนไม่มาตามกำหนด
มีอาการแพ้ท้อง เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรกของการตั้งครรภ์
เต้านมขยายใหญ่ขึ้น
เหนื่อย อ่อนเพลีย อยากนอนพัก
น้ำหนักตัวคงที่หรือเพิ่มขึ้น 1-3 กิโลกรัมในรายที่ไม่แพ้ท้อง
ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 4-6 เดือน)
น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น เดือนละ 1-2 กิโลกรัม
มดลูกจะโตขึ้น และจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นในสัปดาห์ที่
16-22
ผิวคล้ำตามใบหน้า ลำคอ ลำตัว รักแร้ มีเส้นสีดำหรือน้ำตาลเป็นทางยาวกลางท้องตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวหน่าวเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น อาจมีหน้าท้องลายเกิดจากมดลูกที่โตขึ้นรวดเร็วทำให้หน้าท้องยืดขยายมากขึ้น
ตกขาวหรือมูกในช่องคลอดมากขึ้นกว่าปกติ
ระบบย่อยอาหารเปลี่ยนแปลง อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก
ตะคริว
ไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน)
น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มเดือนละ 2 กก. รวม 6 กก.
ปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอดจากการที่ศีรษะทารกเคลื่อนต่ำลง
ปวดหลัง เนื่องจากน้ำหนักของมดลูกและทารกมีขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คุณแม่ต้องแอ่นหลังหรือเกร็งกล้ามเนื้อหลังมากกว่าปกติ
ตะคริว เกิดจากกล้ามเนื้อขาต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นมกกว่าปกติ และจากการที่ได้รับแคลเซียลที่ไม่เพียงพอ
ด้านจิตใจ
ไตรมาสที่ 1 (อายุครรภ์ 1-3 เดือน)
ร่างกายยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงไม่มีความรู้สึกต่อการเปลี่ยนแปลง
มีความสนใจและความต้องการทางเพศลดลงเนื่องจากไม่สุขสบาย
ไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 4-6 เดือน)
หน้าท้องและเต้านมขยายใหญ่ขึ้น บางคนรู้สึกไม่ใช่ร่างกายของตน ไม่ยอมรับ แต่เมื่อยอมรับได้จะเกิดความรู้สึกที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ไตรมาสที่ 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน)
รู้สึกไม่คล่องตัว ถูกจำกัดในการทำกิจวัตรประจำวัน อาจมีความรู้สึกต่อภาพลักษณ์ของตนเองทั้งบวกและลบ ถ้าไม่ขอบการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอาจทำให้เกิดความเครียดได้ แต่ตรงข้าวจะเกิดความภาคภูมิใจ
คำแนะนำผู้ป่วย
นำสามีมาตรวจเลือดเพื่อหา Rh group หากผลเป็น positive มารดาควรฉีดยา Anti-D immunoglibulin 2 เข็ม โดยเข็มแรกฉีดที่ไตรมาส 3 และเข็มที่สองฉีดหลังจากคลอดภายใน 72 ชม.
มารดามีนัดตรวจ OGTT ควรงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืนก่อนการเข้ารับการตรวจ
มารดาควรรับประทานยาเสริมธาตุเหล็ก คือ Folic acid 5 mg. Tab 1*1 po pc อย่างสม่ำเสมอ และมารดาควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเพิ่มอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ไข่แดงในไข่ ผักใบเขียว เป็นต้น
แนะนำให้มารดาสังเกตอาการเจ็บครรภ์จริง และเจ็บครรภ์เตือน เช่น เจ็บครรภ์จริง มี mucous bloody show การหดรัดตัวสม่ำเสมอ เจ็บทุก 5 นาที เจ็บถี่ ปวดหลังและท้อง และเจ็บครรภ์เตือน ไม่มี mucous bloody show การหดรัดตัวไม่สม่ำเสมอ เจ็บๆ หายๆ เจ็บบริเวณท้อง
การตั้งครรภ์คุณภาพ
คือการฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์
คำแนะนำ
อาหาร ในแต่ละวันควรได้รับสารอาหารและแร่ธาตุต่างๆ
• โปรตีน ได้จากเนื้อสัตว์ทุกประเภท รวมทั้งไข่และถั่วต่างๆ โปรตีนจะช่วยสร้างเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย
• แคลเซียม ได้จากอาหารประเภท นม งา ช่วยสร้างกระดูก
• วิตามินและเกลือแร่ มีในผัก ผลไม้ ช่วยให้ผิวพรรณสดชื่นและระบบขับถ่ายดี
• งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากทำให้เกิดความพิการต่อทารกในครรภ์
การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายเช่นเดิม ท่าที่เคยปฏิบัติแต่ไม่หักโหมหรือใช้แรงมากเกินไป
เพศสัมพันธ์ มีได้ปกติ ยกเว้น 4 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด
นับลูกดิ้น เมื่ออายุครรภ์ตั้งแต่ 20 สัปดาห์ขึ้นไป จะรู้สึกว่า ทารกดิ้น เริ่มนับหลังรับประทานอาหารเช้า หากดิ้นตั้งแต่ 10 ครั้งขึ้นไปเป็นอาการปกติ ถ้าหากดิ้นน้อยหรือไม่ดิ้นควรมาพบแพทย์