Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช - Coggle Diagram
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
ทฤษฎีชีวภาพทางการแพทย์(Biomedical model)
แนวคิด
บุคคลมีความแปรปรวนทางด้านอารมณ์และจิตใจ คือ ผู้ที่เจ็บป่วยเช่นเดียวกับผู้ป่วยทางกายโรคอื่นๆ
สาเหตุการเจ็บป่วย เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติของการทำงานของสมองโดยเฉพาะ limbic system และ synapse ในระบบประสาทส่วนกลาง
ความเจ็บป่วยจะมีลักษณะของโรคและมีอาการแสดงที่สามารถนำมาใช้เป็นข้อมูลในการวินิจฉัยและจำแนกโรคได้
โรคทางจิตเวชมีการดำเนินโรคที่แน่นอนและสามารถพยากรณ์โรคได้
โรคทางจิตเวชสามารถรักษาได้โดยการรักษาแบบฝ่ายกาย เช่น การรักษาด้วยยา
แนวความคิดที่ว่าโรคจิตมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางชีวภาพ ช่วยลดความรู้สึกเป็นตราบาป (Stigma) ของผู้ป่วยและครอบครัว
การประยุกต์ใช้ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
ดูแลให้รับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์
ติดตามการนอนหลับพักผ่อน การทำกิจกรรม การรับประทานอาหาร ภาวะโภชนาการ และการขับถ่าย
ทฤษฎีจิตวิเคราะห์(Psychoanalytic theory)
พัฒนาการทางบุคลิกภาพ (Psychosexual development)
ระยะปาก (Oral stage) อายุ 0-1 ปี เด็กจะติดอยู่ที่ขั้นพัฒนาการนี้ โดยจะเป็นคนที่พึ่งพาผู้อื่น ต้องการได้รับความสนใจจากผู้อื่นตลอดเวลา จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม เช่น พูดมาก ช่างนินทา ก้าวร้าว กินจุบจิบ สูบบุหรี่ ถุยน้ำลาย เคี้ยวหมากฝรั่ง และกัดเล็บ เป็นต้น
ระยะทวารหนัก (Anal stage) อายุ 1-3 ปี ถ้าหากบิดามารดาเข้มงวดในการฝึกการขับถ่ายมาก จะทำให้เด็กโตขึ้นเป็นคนเจ้าระเบียบ รักความสะอาดมากเกินไป ย้ำคิดย้ำทำ จะเกี่ยวข้องกับพฤติกรรม เช่น เจ้าระเบียบ ตรงต่อเวลา ขาดความยืดหยุ่น วิตกกังวล กลัวความผิดพลาด จนอาจกลายเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรือกลายเป็นคนไร้ระเบียบในชีวิต
ระยะพัฒนาการทางเพศ (Phallic stage) อายุ 3-6 ปี เด็กที่ติดอยู่ที่ระยะนี้จะมีจินตนาการเกี่ยวกับการรักบิดามารดาเพศตรงกันข้ามและเป็นปรปักษ์กับบิดามารดาเพศเดียวกัน ทำให้ไม่สามารถเลียนแบบค่านิยม มโนธรรมได้ กลายเป็นคนไม่มีคุณธรรมจริยธรรม มีพฤติกรรมต่อต้านสังคมการแสดงออกทางพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมหรือมีความผิดปกติในการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศ เป็นต้น
ระยะแฝง (Latency stage) อายุ 6-12 ปี นี้เด็กถูกบังคับ
ให้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์จากครอบครัวหรือจากโรงเรียนที่เข้มงวดมากเกินไปจะทำให้เกิดพฤติกรรม ย้ำคิดย้ำทำ เคร่งครัดเกินไป และไม่ยืดหยุ่นได้
ระยะวัยเจริญพันธุ์ (Genital stage) อายุ 12 ปีขึ้นไป เด็กเริ่มต้องการความเป็นอิสระ ต้องการเป็นตัวของตัวเอง และมีการปรับเปลี่ยนตนเองให้เป็นที่ยอมรับจากสังคม จะเกี่ยวข้องกับการไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพที่ลึกซึ้งที่พอใจกับผู้อื่นได้
โครงสร้างของจิตใจ (Structure of mind)
Id เป็นแรงผลักดันของจิตใจที่ติดตัวทุกคนมาแต่กำเนิด เป็นแรงขับตามสัญชาตญาณ เป็นการแสวงหาความสุขโดยยึดความพึงพอใจเป็นหลัก (Pleasure principles)
Superego เป็นส่วนของจิตใจที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับมโนธรรม
(Conscience) คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่มีอยู่ในจิตใจของบุคคล เกิดจากการอบรมสั่งสอนของบิดา มารดาหรือผู้เลี้ยงดู
Ego เป็นส่วนของจิตใจที่ดำเนินการโดยอาศัยเหตุและผล เพื่อตอบสนองสิ่งที่ตนปรารถนา ตามหลักแห่งความเป็นจริง (Reality principle) การทำงานของจิตใจ ส่วนนี้อยู่ในระดับจิตสำนึก
ระดับของจิตใจ (Level of mind)
ระดับจิตสำนึก (Conscious level) เป็นระดับของจิตใจที่มนุษย์ รู้สึกตัวและตระหนักในตนเอง พฤติกรรมที่แสดงออกอยภายใต้การควบคุมด้วยสติปัญญา พิจารณาให้เหมาะสมกับสิ่งที่ถูกต้องและสังคม
ยอมรับ
ระดับจิตใต้สำนึก (Subconscious/Preconscious level) เป็น
ระดับของจิตใจที่อยู่ในระดับกึ่งรับรู้ และไม่รับรู้ อยู่ในระดับลึกลงกว่าจิตสำนึก ต้องใช้เวลาและ เหตุการณ์ช่วยกระตุ้นให้เกิดการระลึกได้ จิตใจในส่วนนี้ดำเนินการอยู่ตลอดเวลาในชีวิต
ระดับจิตไร้สำนึก (Unconscious level) เป็นระดับของจิตใจที่อยู่ใน
ส่วนลึกไม่สามารถจะนึกได้ในระดับจิตสำนึกธรรมดา บุคคลมักจะเก็บประสบการณ์ที่ไม่ดีและเลวร้ายในชีวิตที่ผ่านมาของตนไว้ในจิตไร้สำนึกโดยไม่รู้ตัว จะแสดงออกในบางโอกาสซึ่งเจ้าตัวไม่ได้
ควบคุมและไม่รู้สึกตัว
กลไกการป้องกันทางจิต (Defense mechanism)
การเก็บกด (ระดับจิตสำนึก) (Suppression) เป็นการลืมบางสิ่ง
บางอย่างโดยเจตนา มีลักษณะคล้ายกับ repressionแต่เป็นกระบวนการขจัดความรู้สึกดังกล่าวออกไปจากความคิด และเกิดขึ้นโดยผู้กระทำมีความรู้ตัวและตั้งใจ ในขณะที่ repression นั้นไม่รู้ตัว
การชดเชย (Compensation) เป็นการกระทำเพื่อลบล้างจุดบกพร่อง จุดอ่อน หรือปมด้อยของตน โดยการสร้างจุดเด่นทางอื่น
การเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเป็นพฤติกรรม (Conversion) เป็นการ
เปลี่ยนความขัดแย้งในจิตใจเกิดเป็นอาการทางกาย
การโทษตัวเอง (Introjection) เป็นการตำหนิ กล่าวโทษตนเอง
การปฏิเสธ (Denial) เป็นการปฏิเสธที่จะยอมรับบางสิ่งบางอย่างซึ่ง
เป็นความจริงโดยการเพิกเฉย เพราะการยอมรับความจริงทำให้รู้สึกไม่สบายใจ
การโทษผู้อื่น (Projection) เป็นการโยนอารมณ์ ความรู้สึกที่รับไม่ได้
ของคนเราภายในจิตไร้สำนึกไปยังอีกคนหนึ่งหรือเป็นการโยนความผิดให้ผู้อื่น
การแทนที่ (Displacement) เป็นการถ่ายเทอารมณ์ที่มีต่อบุคคล
หนึ่งไปยังบุคคลอื่นหรือวัตถุสิ่งของอื่นโดยที่บุคคลหรือวัตถุสิ่งของนั้นไม่ได้เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์แต่อย่างใด
การแยกตัว (Isolation) เป็นการไม่ตอบสนองต่อการกระทำที่นำ
ความคับข้องใจมาให้จะแยกตัวออกจากสภาพการณ์นั้น
การถดถอย (Regression) เป็นการแสดงออกโดยการมีพฤติกรรม
กลับไปสู่ในระดับพัฒนาการของจิตใจและอารมณ์ในระดับต้นๆ เกิดขึ้นเมื่อประสบภาวะความไม่มั่นคงทางจิตใจ
ทฤษฎีจิตสังคม (Psychosocial theory)
การประยุกต์ใช้ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
ภาวะจิตผิดปกติที่ส่งผลต่อการพัฒนาในแต่ละช่วงชีวิตของบุคคล ทฤษฎีจิตสังคมของอิริคสันเป็นทฤษฎีที่ครอบคลุมวงจรชีวิตของมนุษย์เกี่ยวข้องกับโครงสร้างจิตใจและสังคม ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการ ทำให้ง่ายต่อการวิเคราะห์และเข้าใจพฤติกรรมของบุคคล ทำความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการของบุคลิกภาพของบุคคลในแต่ละช่วงวัย
พัฒนาการของบุคลิกภาพ
ความขยันหมั่นเพียรหรือความรู้สึกมีปมด้อย (Industry vs Inferiority) อายุ
6-12 ปี เป็นวัยที่เด็กเข้าสู่สังคมนอกครอบครัว
การรู้เอกลักษณ์ของตนเองหรือสับสนในบท บาท (Identity vs Role
Confusion) อายุ 12-20 ปีเป็นระยะที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม
ความคิดริเริ่มหรือความรู้สึกผิด (Initiative vs Guilt) อายุ 3-6 ปีเป็นระยะที่
เด็กมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ ภาษา ความคิด และปัญญา มีความอยากรู้อยากเห็นและมีความคิด ริเริ่มในเรื่องต่างๆ
ความผูกพันใกล้ชิดหรือการแยกตัว (Intimacy vs Isolation) อายุ 20-40 ปี เป็นระยะที่บุคคลมีการพัฒนาอัตลักษณ์ที่มั่นคงและพร้อมสำหรับการทำงานและการมีความรักอย่างมีความสุข
ความเป็นตัวของตัวเองหรือความละอายและสงสัยไม่แน่ใจ (Autonomy vsShame and Doubt) อายุ 18 เดือน-3 ปี เป็นระยะที่เด็กสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวต่างๆ รวมทั้งการขับถ่ายได้ดีและเริ่มต้องการความเป็นตัวของตัวเอง
การคิดถึงส่วนรวมหรือการคำนึงถึงแต่ตนเอง (Generativity vs Stagnation) อายุ 40-60 ปีเป็นระยะที่บุคคลต้องการทำประโยชน์ต่อสังคมและคนรุ่นต่อไป ด้วยการชี้แนะ
ความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจ (Trust vs Mistrust) อายุ 0-18 เดือน การเลี้ยงดูที่มารดาสามารถตอบสนองความต้องการทางร่างกาย
ความรู้สึกมั่นคงสมบูรณ์หรือความสิ้นหวัง (Integrity VS Despair) อายุ 60
ปีขึ้นไป บุคคลที่สามารถแก้ไข internal crisis ในพัฒนาการทุกระยะที่ผ่านมาได้อย่างสมบูรณ์จะ เข้าใจความหมายและคุณค่าของตนเอง
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล (Interpersonal theory)
แนวคิด
ความวิตกกังวลที่เริ่มมาจากสัมพันธภาพระหว่างบุคคล เกิดจาก
ความวิตกกังวลของมารดาถ่ายทอดไปสู่บุตร
ความวิตกกังวลสามารถอธิบายและสังเกตได้ บุคคลที่อยู่ในภาวะวิตก
กังวล สามารถบอกได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรและแสดงออกทางพฤติกรรมอย่างไร
บุคคลพยายามที่จะดิ้นรนเพื่อขจัดความวิตกกังวลและเพิ่มความ
มั่นคงให้กับตนเอง
ลักษณะของทฤษฎี
เป้าหมายเพื่อไปสู่ความพึงพอใจ (Satisfaction) ซึ่งเน้นความ
ต้องการทางสรีรวิทยา เช่น ความหิว การนอนหลับพักผ่อน และความต้องการทางเพศ
เป้าหมายเพื่อไปสู่ความมั่นคง (Security) เป็นความต้องการเพื่อความเป็นอยู่อย่างมีความสุข ต้องการการยอมรับในสังคม
ระบบแห่งตน (Self-system)
ฉันดี (Good me) เป็นการมองภาพตนเองว่าเป็นคนดี ซึ่งเป็นผลมา
จากประสบการณ์ที่ได้รับความพึงพอใจ การยอมรับจากบุคคลสำคัญในชีวิต
ฉันเลว (Bad me) เป็นการมองภาพตนเองว่าเป็นคนไม่ดี เป็นคนเลว
ซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือการสนับสนุนจากบุคคลสำคัญในชีวิต
ไม่ใช่ฉัน (Not me) เป็นการปฏิเสธตนเองซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยา
ตอบสนองต่อความวิตกกังวลสูง เป็นเพราะปฏิสัมพันธ์ของมารดากับทารกนั้น เกิดเป็นครั้งเป็นคราว เช่น บางครั้งก็ห้าม บางครั้งก็กอดรัด บางครั้งก็ไล่ ทำให้เด็กเกิดความกลัวและความเครียดอย่างรุนแรง
การประยุกต์ใช้ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของซัลลิแวน เป็นรากฐานสำคัญของการสร้างสัมพันธภาพทางการพยาบาล การบำบัดผู้ป่วยจึงควรทำโดยให้ความรู้และช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความเข้าใจตนเองอย่างลึกซึ้ง โดยการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยด้วยการให้ความเคารพนับถือผู้ป่วย
ทฤษฎีมนุษยนิยม (Humanistic theory)
ทฤษฎีการเน้นผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลางของโรเจอร์ส (Client-centered
theory)
ความสอดคล้องกลมกลืน (Congruence) มนุษย์จะมีการพัฒนาไปสู่ความ
เป็นตนเองอย่างแท้จริงได้ต้องอยู่ในสภาวะของความสอดคล้องกลมกลืน ผู้บำบัดต้องแสดงความจริงใจต่อผู้ใช้บริการโดยการเปิดโอกาสให้เขาได้มีประสบการณ์ตามความเป็นจริงของเขา
การยอมรับทางบวกโดยปราศจากเงื่อนไข (Unconditional Positive
Regard) บุคคลจะเติบโตและมีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ต้องมีคุณค่าอย่างที่เขาเป็นผู้บำบัดต้องยอมรับในตัวผู้ใช้บริการอย่างที่เขาเป็นอยู่
ความเข้าใจในความรู้สึก (Empathy) เป็นความสามารถในการเข้าใจ ความรู้สึกของผู้ใช้บริการ เข้าใจในสิ่งที่อ่อนไหวได้ถูกต้อง เข้าใจประสบการณ์และความรู้สึกในปัจจุบัน (Here and now)
การประยุกต์ใช้ในการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
ทำความเข้าใจกับมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเฉพาะตน มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองพยาบาลที่มีความเข้าใจในผู้ใช้บริการ ยอมรับความเป็นบุคคลของผู้ใช้บริการโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ตำหนิ จะสามารถรับรู้ปัญหาและความต้องการของผู้ใช้บริการได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง แนวคิดทฤษฎีมนุษยนิยมมาใช้ในบทบาทของพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชทั้ง 4 มิติ ได้แก่ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันการเกิดปัญหาทางจิต การบำบัดทางจิต และการฟื้นฟูสภาพจิต
ทฤษฎีความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s hierarchy of needs)
ความต้องการเป็นตนเองอย่างแท้จริง (Self-actualization) ป็นความต้องการของบุคคลในการที่จะเลือกเส้นทางที่จะเติมเต็มชีวิต และสร้างความผาสุกภายในจิตใจ
ความต้องการความรักและเป็นเจ้าของ (Belonging and love needs) เมื่อ
มนุษย์รู้สึกว่าตนเองปลอดภัยก็จะต้องการความรักและความเป็นเจ้าของเพื่อขจัดความรู้สึก
ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological needs) เป็นความต้องการขั้น
พื้นฐานของมนุษย์ ถ้าความต้องการขั้นนี้ได้รับการตอบสนอง มนุษย์ก็จะแสวงหาความต้องการในขั้นที่ 2 แต่ถ้าประสบความล้มเหลวก็จะไม่ได้รับการกระตุ้นให้เกิดความต้องการในระดับที่สูงขึ้น
ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs) มนุษย์ก็จะพัฒนาไปสู่ความต้องการความปลอดภัย การคุ้มครองจากความกลัวและความวิตกกังวล
ความต้องการความภาคภูมิใจ (Esteem needs) ซึ่งจะทำ
ให้เกิดความรู้สึกมั่นคง ความภาคภูมิใจตระหนักถึงความมีคุณค่าในตนเอง หากไม่ได้รับการ ตอบสนองความต้องการนี้จะเกิดเป็นปมด้อยและมีความรู้สึกไร้ค่า
ความต้องการตื่นรู้ในตนเอง (Self-transcendence) บุคคลที่มีความตื่นรู้ในตนเองจะมีประสบการณ์ในลักษณะสูงสุดคืนสู่สามัญมีความเป็นธรรมชาติ อยู่กับสภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน (Being) มองโลกอย่างเป็นองค์รวมมากกว่าองค์รวมของภาวะสุขภาพ
ทฤษฎีอัตถิภาวะนิยม (Existentialist)
มนุษย์เป็นผู้แก้ไขปัญหาของตน เป็นผู้กำหนดว่าจะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใด
มนุษย์มีอิสระที่จะพัฒนาศักยภาพของตนให้ถึงขีดสูงสุด
การตระหนักต่อความจริงของชีวิตจะเป็นการเพิ่มและส่งเสริมศักยภาพสำหรับการเปลี่ยนแปลง
ทฤษฎีทางการพยาบาล
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของเพ็พพลาว (Peplau’s interpersonal theory)
บทบาทของผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค (Technical expert role) เป็นบทบาทที่พยาบาลให้การดูแลด้านร่างกายผู้ป่วยและการใช้เครื่องมือต่างๆ
บทบาทคนแปลกหน้า (Stranger role) เป็นบทบาทที่พยาบาลและผู้ป่วยพบกันครั้งแรกซึ่งเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน พยาบาลจำเป็นต้องสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้น
บทบาทแหล่งสนับสนุน (Role of the resource person) เป็นบทบาทที่
พยาบาลทำหน้าที่ให้ความรู้หรือข้อมูลเฉพาะ ตอบคำถาม แปลข้อมูล และให้ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้ป่วย
บทบาทผู้สอน (Teaching role) เป็นบทบาทที่พยาบาลกระทำร่วมกับ
บทบาทอื่นๆ โดยให้คำแนะนำและอบรมความรู้แก่ผู้ป่วย
บทบาทผู้ให้คำปรึกษา (Counseling role) เป็นบทบาทที่พยาบาลช่วยให้
ผู้ป่วยเข้าใจความหมายของสภาพการณ์ในปัจจุบัน ให้คำแนะนำและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
บทบาทผู้ทดแทน (Surrogate role) เป็นบทบาทที่พยาบาลเป็นตัวแทนของผู้ป่วยในเรื่องต่างๆ โดยพยาบาลจะแสดงบทบาทนี้ในภาวะที่ผู้ป่วยไม่สามารถปฏิบัติด้วยตนเองได้
บทบาทผู้นำ (Leadership role) เป็นบทบาทที่พยาบาลช่วยเหลือผู้ป่วยให้ทำหน้าที่ตามเป้าหมายของการบำบัด
การพยาบาล (Nursing)
ระยะเริ่มต้น (Orientation phase) เป็นระยะที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าเกิดปัญหา และ
ต้องการความช่วยเหลือ
ระยะระบุปัญหา (Identification phase) เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีการตอบสนอง
ต่อผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาหรือให้ความช่วยเหลือเขาได้
ระยะดำเนินการแก้ปัญหา (Exploitation phase) เป็นระยะของการให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ปัญหาของผู้ป่วย
ระยะสรุปผล (Resolution phase) เป็นระยะสุดท้ายของการพยาบาลที่
ปัญหาของผู้ป่วยได้รับการแก้ไขแล้ว