Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การซักประวัติหญิงตั้งครรภ์ G1P0-0-0-0 GA 13+4 wks by u/s - Coggle Diagram

- - - - นัดสามีมาตรวจคัดกรอง Thalassemia
        
        ถ้าสามีมีค่า MCV และ DCIP Negative
        
        ปกติ
        
        ถ้าสามีมีค่า MCV และ DCIP Positive
        
        Hb typing เพื่อหา major thalassemia
- - - - ประจำเดือนไม่มาตามกำหนด
        
        มีอาการแพ้ท้อง เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างรวดเร็วในระยะแรกของการตั้งครรภ์ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
        
        เต้านมขยายใหญ่ขึ้น คัดเจ็บเต้านม
        
        เหนื่อย เพลีย อยากนอนพักมากๆ
        
        น้ำหนักตัวคงที่หรือเพิ่มขึ้น 1-3 กก. ในรายที่ไม่แพ้ท้อง
    - - อาหาร ทานอาหารตามปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์ เท่าที่ทานได้ ในรายที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียนควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย หรือเครื่องดื่มชนิดต่างๆ เช่นน้ำหวาน และควรทานน้อยๆ วันละ 4-6 มื้อ แต่พออิ่ม ไม่ควรบังคับว่าต้องทานปริมาณเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเครียดให้กับตัวเอง หลักการสำคัญคือ ให้ร่างกายได้รับสารอาหารพอเพียง
        
        การฝากครรภ์ มีความสำคัญ เพื่อให้คุณแม่และบุตรในครรภ์ได้รับการดูแลตลอด 9 เดือน แพทย์จะให้คำแนะนำเรื่องการปฏิบัติตัวต่างๆ ขณะตั้งครรภ์ ช่วยวินิจฉัยโรคบางอย่างระหว่างตั้งครรภ์ ป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนของโรคโดยในระยะแรกแพทย์จะนัดตรวจทุก 4 สัปตาห์ จนถึงไตรมาสที่ 2 จึงจะนัดถี่ขึ้นเป็น 2 และ 1 สัปดาห์ ตามลำดับ
        
        การฉีดวัคชีน ในหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักมาก่อน จะฉีดวัคชีนบาดทะยัก 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือนในไตรมาสที่ 1-2 ส่วนวัคซีนอื่นๆ ไม่นิยมฉีดในขณะตั้งครรภ์ ยกเว้นมีความจำเป็น ควรให้แพทย์เป็นผู้พิจารณา
        
        เพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ ไม่มีข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธ์แต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยมีประวัติการแท้งบุตรมาแล้วหลายครั้ง หรือมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในไตรมาสแรก ในรายที่มีประวัติเคยคลอดบุตรก่อนกำหนด ควรงดเมื่อตั้งครรภ์ในไตรมาสสุดท้าย
        
        คำแนะนำแก่ผู้ป่วย
        1.นัดสามีมาตรวจคัดกรอง Major Thalassemia
        2.ควรติดตาม Repeat Lab เมื่ออายุครรภ์ 30 Wks
        3.แนะนำอาหารเพื่อป้องกันภาวะซีดและบำรุงเลือด ได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม, ธัญพืช, ถั่ว, เลือด, ตับ, อาหารทะเล, ไข่แดง
        และแนะนำการกินยาให้ครบตามแพทย์สั่ง ได้แก่ Folic acid,
        Calcium Carbonate, Ferrous Fumarate, Iodine tablets
        4.ด้านการรับประทานอาหาร : ดื่มน้ำบ่อยๆ, แนะนำให้แบ่งอาหารเป็นหลายๆมื้ออาจจะเป็น 6 มื้อต่อวัน, หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและงดอาหารมักดอง
        5.แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง
        6.ส่งเสริมให้ออกกำลังกายเบาๆเท่าที่ทำได้ ไม่หักโหม
    - - แพ้ท้องมาก จนทานอาหารไม่ได้เลย
        
        มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ไม่ว่าจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วยหรือไม่ สาเหตุที่พบบ่อยของการมีเลือดออกในระยะนี้ คือ ภาวะแท้งคุกคาม ครรภ์ไข่ลม
        
        ปวดมากบริเวณท้องน้อย ในระยะตั้งครรภ์อ่อนๆ อาจเกิดจากภาวะแท้งคุกคาม หรือจากการฝังตัวอ่อนผิดที่ (ตั้งครรภ์นอกมดลูก)
        
        ทางเดินปัสสาวะอักเสบ โตยมีอาการปัสสาวะขัดเจ็บปัสสาวะบ่อยเหมือนไม่สุด ปัสสาวะเป็นเลือด ถ้ามีอาการต่างๆเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างรวดเร็วไม่ให้เกิดอันตรายต่อมารตาและทารกในครรภ์
  - - - น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มประมาณเดือนละ 1-2 กก.(รวมประมาณ 4-5 กก.)
        
        มดลูกโตขึ้น และจะเริ่มรู้สึกว่าลูกตื้นในสัปดาห์ที่ 16-22
        
        ผิวคล้ำตามใบหน้า คอ ลำตัว รักแร้ มีเส้นดำขึ้นเป็นทางยาวกลางท้องตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวหน่าวเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอาจมีหน้าท้องลายอันเกิดจากมดลูกที่โตขึ้นรวดเร็วทำให้หน้าท้องต้องยืดขยายมากขึ้น
        
        ตกขาวหรือมูกในช่องคลอดมากขึ้นกว่าปกติ จากการเพิ่มระดับฮอร์โมนและเลือดที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณช่องคลอดมากขึ้นในขณะตั้งครรภ์
        
        ระบบย่อยอาหารเปลี่ยนแปลง อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก
        
        เป็นตะคริว
    - - อาหาร ในระยะนี้อาการแพ้ท้องมักหายไป เริ่มทานอาหารได้ตามปกติ ควรทานให้ครบ 5 หมู่ อาจมีอาหารทุกประเภทใน 1 มื้อหรือประเภทใดประเภทหนึ่งสลับกับมื้ออื่น แต่เมื่อรวม 6-5 มื้อ ในแต่ละวัน ต้องรับประทานให้ได้ครบทุกประเภทของอาหาร อาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน ไม่ควรได้รับมากเกินไป เพราะในช่วงตั้งครรภ์ร่างกายไม่ต้องการอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลเพิ่มขึ้นต้องการเฉพาะโปรตีนเพิ่มขึ้น
        •เน้นผัก ผลไม้ อาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเพื่อป้องกันอาการท้องผูก
        •ธาตุเหล็ก มีในไข่แดง ตับ ผักใบเขียว ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ให้มีมากพอที่จะลำเลียงออกซิเจนจากเลือดแม่ไปสู่ลูก และแคลเชียมซึ่งช่วยในการสร้างกระดูกและฟันของลูก ซึ่งมีในนมเป็นส่วนใหญ่
        
        การออกกำลังกาย เป็นประโยชน์ต่อแม่ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ท้องไม่ผูก นอนหลับสบาย แต่ก็ควรออกกำลังกายที่ไม่หักโหม หรือใช้ความอดทนมากเกินไป เช่น เดินวันละ 10-20 นาที ว่ายน้ำ(แนะนำให้ออกกำลังกายในรายที่เคยออกกำลังกายสม่ำเสมอตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์)
        
        ท่านอน จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังที่เกิดขึ้นในขณะตั้งครรภ์ได้ ท่านอนควรตะแคงซ้าย ขวา หรือ หงายสลับกัน เพื่อลดจุดกดทับของร่างกาย โดยอาจมีหมอนรองรับขาให้สูงขึ้น เพื่อลดอาการบวมของขาที่เกิดจากกิจกรรมในระหว่างวัน
        
        การตรวจเต้านม เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้นมมารตาในระยะหลังคลอด ลักษณะหัวนมที่แบนหรือบุ๋มลงไป ลานนมแข็งตึงไม่นุ่ม จะทำให้เด็กดูดไม่ได้ การตรวจด้วยตัวเองโดยการใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ทาบไปบนผิวหนังตรงรอยต่อระหว่างฐานของหัวนมกับหัวนม แล้วบีบเข้าหากันถ้าหัวนมสั้นหรือบุ๋มมากไปจนเต็กดูดไม่ได้ หัวนมจะยุบลงไประหว่างนิ้วมือทั้งสอง
    - - •เลือดออกทางช่องคลอด สาเหตุการมีเลือดออกในระยะนี้อาจเกิดจากภาวะรกเกาะต่ำ
        •ปวดท้องเป็นพักๆ อาจเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้
        •ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ จากอาการปัสสาวะบ่อย หรือแสบขัด
        •อาการตกขาวผัดปกติ เช่น สีเปลี่ยนไป คัน หรือมีกลิ่น
  - - - น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มเดือนละ 2 กก. รวม 6 กก.
        
        ปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอด ที่ศีรษะลูก เคลื่อนต่ำลง
        
        เหนื่อยง่าย นอนหลับไม่สบาย อึดอัด จากภาวะที่ที่จะต้องรีบมาโรงพยาบาล
        
        ปวดหลัง จากสาเหตุน้ำหนักของมดลูกและตัวเด็กที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คุณแม่ต้องแอ่นหลังหรือเกร็งกล้ามเนื้อหลังมากกว่าปกติ ทำให้เพิ่มภาระแก่กล้ามเนื้ส่วนต่างๆ
        
        ตะคริว เกิดจากกล้ามเนื้อขาต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ หรือ จากการได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ
    - - อาหาร ควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีน เช่นเดียวกับไตรมาสที่ 2 เช่น เนื้อสัตว์หรือเนื้อปลา ผักใบเขียวชนิดต่างๆ และอาหารที่มีแคลเชียม เช่น ปลาตัวเล็กทานทั้งก้างได้ด้วยนมพร่องมันเนย เป็นต้น
        
        การฝากครรภ์ การนัดตรวจครรภ์จะบ่อยขึ้นในไตรมาสนี้จะมีการตรวจปัสสาวะเพื่อดูระดับน้ำตาลและโปรตีนในปัสสาวะ เช็คความดันโลหิต ติดตามอาการบวมเพื่อตรวจหาว่ามีภาวะครรภ์เป็นพิษหรือไม่
        
        การดูแลเต้านม ในระยะ 2-3 เดือนก่อนคลอด ร่างกายจะขับสารจำพวกไขมันมาคลุมบริเวณหัวนม และลานนม ดังนั้นในการอาบน้ำชำระร่างกาย ไม่ควรฟอกสบู่บริเวณหัวนมมากนัก เพราะจะชะล้างไขมันบริเวณนั้นออกไปหมด ทำให้หัวนมแห้งและแตกง่าย
    - - -อาการท้องแข็ง หรือเจ็บครรภ์ทุก 5-10 นาที
        -มีมูกเลือดหรือเลือดสดๆ ออกทางช่องคลอด
        -มีน้ำเดิน (น้ำใสๆ คล้ายปัสสาวะราด)
        -ลูกดิ้นน้อยลง
        -ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ บวม