มารดาหลังคลอด อายุ 34 ปี
Dx. Preterm with PROM
(ทารกคลอดก่อนกำหนดร่วมกับมีภาวะน้ำเดินก่อนกำหนด)

การประเมินมารดาหลังคลอดตามหลัก 13 B

1.Background

ข้อมส่วนบุคคล
มารดาหลังคลอด G3P0A2 เตียง 20 มภร.15/2 อายุ 34 ปี
GA 36+2 wks. by U/S
เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธ
ประกอบอาชีพ รับจ้าง
ที่อยู่อาศัยเป็นคอนโด 8 ชั้น พักอาศัยอยู่ชั้น 6 ใช้ลิฟต์ในการขึ้นลง
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 62 กิโลกรัม ส่วนสูง 157 เซนติเมตร BMI 29 kg/m^2 ( Overweight )
น้ำหนักปัจจุบัน 72.4 กิโลกรัม
น้ำหนักขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ 10.4 กิโลกรัม ( น้ำหนักเพิ่มขึ้นเหมาะสมตามเกณฑ์ )
ฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลตำรวจ 7 ครั้ง
ได้รับวัคซีนป้องกันบาดทะยัก 2 เข็ม

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1 : มารดาเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาระงับความรู้สึก

ประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดปัจจุบัน

Problem list

Day 0
(รับย้าย)

มารดาได้รับยาระงับความรู้สึก Spinal Opioid คือ Morphine 0.2 mg.

มารดา Retained Foley’s Catheter

ยา

NATARAL TAB.20 Vitamin
รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า
วิตามิน และแร่ธาตุ เสริมความต้องการระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด
ผลข้างเคียง : อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง ผื่นแดง อาเจียน ท้องผูก หรือท้องเสีย

ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน

       1 ชั่วโมงก่อนมารพ. ผู้ป่วยมีน้ำใสไหลออกทางช่องคลอด ไม่มีเจ็บครรภ์ ไม่มีไข้ ไม่มีไอเจ็บคอ เสมหะ ลูกดิ้นดี ไม่มีมูกเลือด
      30 นาทีก่อนมารพ. เริ่มมีครรภ์ (1.40 น.) ทุก 5-8 นาที นาน 30 วินาที ลูกดิ้นดี เจ็บสม่ำเสมอ ไม่มีท้องเสียถ่ายเหลว ไม่มีปัสสาวะแสบขัด และเจ็บมากขึ้น จึงมารพ.

เสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม

G3 : 2 มีนาคม 2565 GA 36+2 wks. by U/S คลอดทารกเพศหญิง แบบ Ceasarean Section
เวลา 10.55 น. น้ำหนัก 2,615 กรัม ยาว 50 เซนติเมตร
Apgar score นาทีที่ 1,5,10 = 9,10,10 หักคะแนนสีผิว น้ำหนักรก 500 g. blood loss 300 ml

มีแผลผ่าตัดจากการผ่าคลอด

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 : มารดามีโอกาสตกเลือดในระยะ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด

การแนะนำการปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน

2.Body condition

Day 0 : มารดาหลังคลอด อายุ 34 ปี GA 36+2 wks.by U/S มารดารู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่อง สัญญาณชีพปกติ อ่อนเพลีย ไม่สามารถลุกไปเข้าห้องน้ำได้ เนื่องจากผลข้างเคียงจากการทำ spinal block และปวดแผลผ่าตัด

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 : มารดามีโอกาสติดเชื้อจากแผลผ่าตัดคลอด

ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต)

Criminal abortion 2 ครั้ง เมื่อปี 2550 อายุครรภ์ประมาณ 4 wks ไม่ได้ขูดมดลูก

3.Body temperature & blood pressure

ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว

ปฏิเสธ

Lab ANC

คัดกรองธาลัสซีเมีย
มารดา MCV = 95.7 , DCIP = N/A

HBsAg = negative , Anti-HIV = negative
VDRL = non-reactive

02/03/65 เวลา 12.30 น.
T = 37 องศาเซลเซียส , PR = 98 bpm ,RR =18 bpm, BP = 114/56 mmHg, Pain = 0

ข้อมูลสนับสนุน

  1. มารดาได้รับยาระงับความรู้สึกแบบ Spainal block
  2. มารดาผ่าตัดคลอดแบบ Cesarean section

วัตถุประสงค์

การตรวจร่างกาย

  1. Breast & Lactation

เพื่อป้องกันไม่ให้มารดาเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Spinal block เช่น post dural puncture headache (PDPH) Urinary retention ภาวะความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้อาเจียน คันตามร่างกาย หนาวสั่น

02/03/65
หัวนมปกติ ไม่มีหัวนมสั้น บอด แบน บุ๋ม
ระดับการไหล : N/A

5.Belly & Fundus

02/02/65
มดลูกหดรัดตัวดี

6.Bladder

02/03/65
มารดา retained Foley cath ปริมาณปัสสาวะ 800 ml ปัสสาวะสีเหลืองใส ไม่มีตะกอน ไม่มี bladder full

เกณฑ์การประเมินผล

  1. มารดาไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Spinal block เช่น post dural puncture headache (PDPH) Urinary retention ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้อาเจียน คัน หนาวสั่น
  2. V/S อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะความดันโลหิต
    SBP 90-140 mmHg.
    DBP 60-90 mmHg.
    ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที
    อัตราการหายใจ 18-24 ครั้ง/นาที
    อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
    Oxygen saturation > 95%

7.Bleeding & Lochia

02/03/65
bleeding per vagina 20 ml

8.Bottom

ฝีเย็บ (Perineum) : ไม่มีแผลฝีเย็บ

  1. Bowel movement

Day 0 : NPO

10.Blues

มารดาไม่มีความวิตกกังวล

กิจกรรมการพยาบาล

  1. ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินอาการ และอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากการทำ Spinal block เช่น คัน คลื่นไส้อาเจียน
  2. ประเมินอาการปวดศีรษะ หากมีอาการให้รายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาทำการรักษาต่อไป เพราะอาจมีน้ำที่ไขสันหลังลดลงจากเนื้อสมองมากดชั้น Dura
  3. สังเกต และประเมินอาการคัน เนื่องจากผู้ป่วยได้รับ opioid คือ Morphine 0.2 mg. อาจทำให้เกิดการแพ้
  4. จัดให้มารดาทำการนอนหงายหนุนหมอน ไม่ลุกนั่ง หรือยืน เดินจนกว่าจะหายชา โดยยาจะหมดฤทธิ์ภายใน 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะ orthostatic hypotension, เวียนศีรษะ, คลื่นไส้อาเจียน
  5. แนะนำมารดาหากลุกจากเตียงครั้งแรกให้แจ้งพยาบาล เพื่อทำการช่วยพยุง
  6. ทำการประเมิน Pain score = 0 คะแนน และ sedation score = 8 คะแนน

ข้อมูลสนับสนุน

11.Bonding & attachment

  1. มารดามีแผลผ่าตัด low transverse cesarean section ที่บริเวณแผลที่โพรงมดลูก
  2. Estimated blood loss 300 ml.
  3. น้ำคาวปลาใน 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดคลอด ประมาณ ml.
  4. มารดา G3P0A2 ไม่ได้ขูดมดลูก

N/A

วัตถุประสงค์

เพื่อป้องกันไม่ให้มารดาเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดในระยะ 24 ชั่วโมงแรก

เกณฑ์การประเมินผล

  1. ไม่มีอาการ และอาการแสดงของภาวะซีด เช่น เยื่อบุตา ริมฝีปาก หรือผิวหนังซีด
  2. สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่
    ความดันโลหิต SBP 90-140 mmHg.
    DBP 60-90 mmHg.
    ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที
    อัตราการหายใจ 18-24 ครั้ง/นาที
    อุณหภูมิร่างกาย 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
    Oxygen saturation > 95%
  3. Bleeding per vagina ไม่เกิน 1000 cc/day

กิจกรรมการพยาบาล

12.Baby

ทารกเพศหญิง คลอดวันที่ 2 มีนาคม 2565 เวลา 10.55 น. คลอดแบบ Caesarean section น้ำหนัก 2,615 กรัม ยาว 50 เซนติเมตร Apgar score นาทีที่ 1,5,10 = 9,10,10
No problem at birth

  1. ประเมินอาการ และอาการแสดงของภาวะซีด โดยทำการประเมินสัญญาณชีพ ทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
  2. ประเมินการหดรัดตัวของยอดมดลูก โดยสังเกตกระเพาะปัสสาวะทุก 4-6 ชั่วโมง ว่ามี bladder full หรือไม่
  3. ดูแล urine catheter ไม่ให้มีการหัก พับ งอ หรืออุดตันของสาย หากมี ให้ทำการ milking
  4. Record I/O
  5. สังเกต และบันทึกลักษณะปริมาณเลือดที่ออกจากช่องคลอด
  6. record bleeding per vagina
  7. ดูแลกระตุ้นให้มารดาปั๊มนม และกระตุ้นหัวนมบ่อยๆ เพื่อให้ oxytocin หลั่ง

ตรวจร่างกายทารก : N/A เนื่องจากทารก อยู่ SNCU ทารกมีปัญหาเรื่องการหายใจ (TTNB)

13.Belief model

ไม่ขัดกับแผนการรักษา

  • เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนครบ 6 เดือน
  • คุมกำเนิด

การตรวจร่างกายตามระบบ

การประเมินระดับยอดมดลูก

การประเมินแผลฝีเย็บ

คลำระดับยอดมดลูกได้ระดับต่ำกว่าสะดือ วัดความยาวตั้งแต่ Symphysis pubis ถึง ยอดมดลูกได้ 5 นิ้ว มดลูกหดรัดตัวดี

น้ำคาวปลา : bleeding per vagina 20 ml

แผลฝีเย็บ : ไม่มีแผลฝีเย็บ

ศีรษะ : เส้นผมสะอาด ไม่แห้งไม่หยาบ ไม่มีรังแค
ใบหน้า : สมมาตรกันทั้งสองข้าง ไม่มีบวม
ตา : เยื่อบุตาไม่ซีด หนังตาไม่บวม
จมูก หายใจสะดวกดี ไม่มีเยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ รับกลิ่นได้ปกติ
ปาก : ไม่มีฟันผุ ไม่มีเหงือกบวม
คอ : คลำไม่พบก้อน ไม่มีต่อมไทรอยด์โต
เต้านม : ไม่มีเต้านมคัดตึง คลำไม่พบก้อน หัวนมปกติ ไม่มีหัวนมสั้น บอด แบน บุ๋ม
แขน : ไม่บวม นิ้วไม่บวม ไม่มีลักษณะนิ้วปุ้ม Capillary refill < 2 วินาที ไม่มีภาวะซีด
ขา : ไม่มีภาวะบวมกดบุ๋ม ไม่มีเส้นเลือดขอด

การประเมินผล

ไม่ได้ประเมิน

ข้อมูลสนับสนุน

  1. มารดามีแผลผ่าตัดคลอด Lt. c/s due to CPD with PPROM with GDMA1
  2. Bleeding per vagina 20 ml. (02/03/65)

วัตถุประสงค์

เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะติดเชื้อ

เกณฑ์การประเมินผล

  1. อุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
  2. Gauze ปิดแผลผ่าตัด ไม่มีเลือด หรือ discharge ไหลซึมออกมา

กิจกรรมการพยาบาล

  1. ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิของร่างกาย เนื่องจากเป็นอาการ และอาการแสดงของภาวะติดเชื้อในร่างกาย
  2. ดูแลสิ่งแวดล้อมผู้ป่วยให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค และป้องกันการติดเชื้อจากภายนอกเข้าสู่ร่างกาย
  3. ล้างมือให้สะอาดตามหลัก 5 moments คือ
  • ก่อนสัมผัสผู้ป่วย
  • ก่อนทำหัตถการ
  • หลังสัมผัสอุปกรณ์ และสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
  • หลังสัมผัสผู้ป่วย
  • หลังสัมผัสสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วย
  1. ประเมินแผลบริเวณที่ผ่าตัด โดยสังเกตที่ gauze ว่ามีเลือด หรือ discharge ไหลซึมหรือไม่
  2. กระตุ้นให้มารดาลุกเดิน (ambulate) บ่อยๆ เพื่อช่วยให้ blood circulation ทำงานดี เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงแผลได้ดีขึ้น

ด้านบุตร

1.การส่งเสริมการเลี้ยงดูบุตรด้วยนมแม่
ควรเลี้ยงดูด้วยนมแม่อย่างเดียว อย่างน้อย 6 เดือน และหลังจาก 6 เดือน ควรให้นมแม่ควบคู่กับอาหารตามวัยจนครบอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น
การใช้หลักการให้นมแม่ 4 ด

  1. ดูดเร็ว : ลูกดูดนมแม่หลังคลอดทันที จะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนม ให้นมมาเร็วขึ้น
  2. ดูดบ่อย : การให้ลูกดูดนมบ่อยตามที่ลูกต้องการ คือ หิวเมื่อไหร่ก็ให้ดูดได้ทันที
  3. ดูดถูกวิธี : ท่าดูดนมที่ถูกต้อง คือ ปลายจมูกชิดเต้า ปากอมมิดถึงลานนม คางชิดเต้านม ลูกดูดแรงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ได้ยินเสียงกลืนเป็นจังหวะ
  4. ดูดเกลี้ยงเต้า : การให้นมแม่แต่ละครั้ง จะต้องนานพอจนลูกดูดเกลี้ยงเต้าไปทีละข้าง เพราะน้ำนมในส่วนหลัง จะมีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อสมองและร่างกาย

การประเมินผล

ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 4 : มารดาเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม เนื่องจากมีอาการอ่อนเพลีย

2.อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ :

  • อาการหายใจหอบ รอบปากเขียวคล้ำ
  • มีไข้สูง >38.0 องศาเซลเชียส ร้องกวน หรือซึม ไม่ดูดนม
  • อาเจียนทุกครั้งที่กินนม
  • สะดือมีหนองกลิ่นเหม็น
  • อุจจาระเหลวมากกว่า 3 ครั้งหรือถ่ายปนมูกเลือด
  • มีอาการตัวเขียวขณะกินนมหรือร้องไห้


3.สอนมารดาเรื่องการเข้าเต้า

  1. การเอาหัวนมทารกใส่ปาก โดยใช้นิ้มือกดคางเบาๆให้อ้าปากและอมให้ถึงลานนม เพราะกระเปาะน้ำนมอยู่ที่ลานนม ให้ทารกดูดนมทั้ง2ข้าง ให้เกลี้ยงเต้าทีละข้าง โดยดูดข้างละ 10-15 นาที สลับกันทั้ง2ข้าง เพื่อกระตุ้นการไหลของน้ำนมทั้ง 2 ข้าง
  2. หลังทารกดูดนมเสร็จแล้ว ให้ช่วยทารกเรอเพื่อขับลมในกระเพาะอาหารออก ในการป้องกันการสำรองนมจะอุ้มพาดบ่าหรือนั่งบนตักลูบหลังเบาๆจนกว่าจะเรอ จากนั้นจัดท่าตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง

ข้อมูลสนับสนุน

วัตถุประสงค์

เกณฑ์การประเมินผล

กิจกรรมการพยาบาล

การประเมินผล

มารดามีอาการอ่อนเพลีย

  1. มารดามีแผลผ่าตัด LT C/S ที่บริเวณหน้าท้อง
  2. มารดามีอาการอ่อนเพลีย สีหน้าไม่สดชื่น
  3. ผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกแบบ Spinal block

เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการพลัดตกหกล้ม

  1. ผู้ป่วยไม่เกิดอุบัติเหตุจากการพลัดตกหกล้ม
  2. Fall score อยู่ในเกณฑ์ปกติ 0-3 คะแนน
  1. ปรับเตียงให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อลดความรุนแรงหากเกิดอุบัติเหตุ
  2. ตรวจสอบล้อของเตียงให้ล็อคอยู่เสมอ และยกราวกั้นเตียงขึ้นทุกครั้ง หลังให้การพยาบาลเสร็จ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
  3. ตรวจสอบความแข็งแรงของราวกั้นเตียง เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันการพลัดตกหกล้ม
  4. จัดผู้ป่วยให้อยู่ใกล้ Nurse station เพื่อให้สามารถมองเห็น และดูแลได้อย่างใกล้ชิด
  5. จัดสิ่งแวดล้อมให้เป็นระเบียบ จัดกริ่งเรียกพยาบาล และจัดของใช้ที่จำเป็นให้อยู่ใกล้ตัวผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถหยิบได้อย่างสะดวก
  6. ทำการประเมิน และติดตาม fall score

ด้านมารดา

1.อาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์
-มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ
-น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น สีไม่จางลง ปวดท้องน้อย
-หลังคลอด 2 สัปดาห์ ยังคลำพบมดลูก
-ปัสสาวะแสบขัด
-ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
-ฝีเย็บบวมแดง มีหนอง
-คลื่นไส้อาเจียน
-เต้านมอักเสบ บวมแดง คัดตึงมาก กดเจ็บ มิไข้ หนาวสั่น-
-น่องบวมแดง กดเจ็บ
-ปวดศีรษะรุนแรง ตาพร่ามัว

2.การมาตรวจตามนัด
เนื่องจากเป็นการตรวจเพื่อติดตามการฟื้นฟูกลับเข้าสู่สภาวะปกติของร่างกายมารดาและการเปลียนแป้ลงของร่างกาย
เช่น มดลูก น้ำคาวปลา แผลฝืเย็บ ตรวจประเมินปากมดลูก เต้านม เป็นต้น โดยจะนัดเพื่อพบแพทย์ 6
สัปดาห์หลังคลอด

3.การดูแลรักษาความสะอาด
แนะนำมารดาอาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น
ไม่ควรแช่น้ำในอ่างเนื่องจากเชื้อโรคอาจผ่านเข้าสู่แผลฝีเย็
บหรือช่องคลอดได้หลังการขับถ่าย แนะนำมารดาล้างให้สะอาดและซับให้แห้งทุกครั้ง
เพื่อเป็นการป้องกันการอับชื้นและติดเชื้อ

4.การมีเพศสัมพันธ์
ควรงดมีเพศสัมพันธ์ในระยะหลังคลอดูอย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะตรวจภายในเสร็จ
เนื่องจากปากมดลูกยังปิดไม่สนิท แผลที่มดลูกและแผลฝีเย็บยังหายไม่สนิท
อาจเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อหากมีเพศสัมพันธ์

5.การดูแลเต้านม
อาบน้ำทำความสะอาดตามปกติ ชับให้เต้านมแห้งเสมอหลีกเลี่ยงการใช้ครีมทาหัวนม
เพราะจะไปอุดตันต่อมน้ำนมที่ลานนม และอาจทำให้แห้งมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาหัวนมแตกระวังบริเวณหัวนมไม่ให้อับชื้น โดยรักษาหัวนมให้แห้งระหว่างมื้อให้นมสวมยกทรงที่มีขนาดพอดี เพื่อประคองเต้านมถ้ามีเต้านมใหญ่และหนัก

6.การพักผ่อน
เนื่องจากมารดาจะมีการอ่อนเพลียจากการคลอดและการให้นมบุตร จึงควรพักผ่อนให้มากที่สุด ขณะที่บุตรหลับ
เนื่องจากทารกแรกเกิดจะตื่นทุก 3-4 ชั่วโมง โดยในกลางวันมารดาสามารถบหลั่บได้ระหว่างที่ให้นม

7.ประจำเดือน
เนื่องจากเมื่อคลอดบุตรแล้ว อิทูธิพลของฮอร์โมนต่างๆจะคงอยู่ระยะหนึ่ง ทำให้ยับยั้งการตกไข่ มารตาจึงไม่มีประจำเดือน
กรณีให้นมบุตร : การให้นมอย่างสม่ำเสมอจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
กระตุ้นให้มีการสร้างและหลั่งน้ำนม ส่งผลอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่มีการตกไข่เกิดขึ้น
ทำให้มารดาอาจไม่มีประจำเดือน นานถึง 5-6 เดือน ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

8.อาหาร
แนะนำให้มารดรับประทานอาหารที่มีคุณค่า และปริมาณมากกว่าในระยะตั้งครรภ์ เพื่อส่งสริมให้ร่างกายกลับมาแข็งแรง และส่งเสริมการหายของแผล ได้แก่

  1. อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ แต่ไม่ควรติดหนัง
  2. ควรรับประทานไข่ วันละ 1ฟอง เนื่องจากมีโปรตีนสูงและ มีธาตุเหล็กสูง
    3.เสริมการรับประทานนม เนื่องจากมีโปรตีนและแคลเซียมสูง
    4.ควรรับประทานผักและผลไม้ต่างๆ เนื่องจากมีกากใยสูง ช่วยป้องกันภาวะท้องผูกได้
  3. ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
    6.อาหารที่ควรงต เช่น อาหารหมักดองง อาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    แนะนำอาหารบำรุงน้ำนมเช่น น้ำขิง ฟักทอง มะละกอ ใบแมงลัก แกงเลียง เป็นต้น

9.การทำงานบ้าน
ไม่ควรยกของหนักหรือเดินขึ้นลงบันไดบ่อยๆในระยะหลัง คลอด 6 wks. แรก
เนื่องจากหากออกแรงมากจะทำให้ความตันในช่องท้องมา กขึ้น ทำให้มดลูกเคลื่อนต่ำลง
อาจเกิดมตลูกหย่อนภายหลัง

10.การบริหารร่างกาย
การบริหารร่างกายหลังคลอดช่วยให้ระบบไหลเวียนดีขึ้น และช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกุรานกลับสู่สภาวะปกติเร็วขึ้น และท่าบริหารอื่นๆ

  1. เทคนิดการบีบน้ำนม
    1.ล้างมือให้สะอาด
    2.ควรบิมน้ำนมในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ ผ่อนคลาย จะทำให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้น
    3.ประคบด้วยน้ำอุ่น 5 นาที ก่อนบีบนม
    4.นวดหรือลึงบริเวณเต้านมเบาๆด้วยนิ้วมีอ โดยเริ่มจากด้านนอกนเข้าหาหัวนม
    5.วางนิ้วหัวแม่มือบนขอบนอกของลานนม นิ้วชีอยู่ตรงข้ามกับนิ้วหัวแม่มือ โดยให้ลานนมและหัวนมอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วขึ้ ส่วนนิ้วอื่นๆประคองเต้านมไว้
    6.กดนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้าหาผนังหน้าอก แล้วบีบนิ้วทั้ง 2 เข้าหากัน บีบแล้วปล่อยหลายๆครั้ง
    7.หาภาชนะทีสะอาดรองรับ เช่น ขาดนมที่ต้มฆ่าเชื่อแล้ว
    8.ให้บีบน้ำนมออกจากเต้านมจนเกลี้ยงเต้าทั้ง 2 เต้า
    9.ไม่ควรใช้นิ้วรูตไปตามผิวหนังบริเวณเต้านมเพราะจะทำให้ฝึวหนังระคายเคืองถลอก และไม่ควรกดูหรือขึ้บหัวนม เพราะน้ำนมจะไม่อก และยังอาจทำให้หัวนมูกลอกแตกเป็นแผลได้
    10.หลังบีบน้ำนมลงในขวด ปิดฝาชวดให้มิตด อาจแบ่งเก็บในปริมาณที่เด็กต้องการใน 1 มื้อ ปิดป้ายบอกวันและ เวลาที่บีบ
    11.นมแม่สามารถก็บที่อุณหภูมิท้องมากกว่า 25องศาเซลเซียสได้นาน1ชั่โมง หรือห้องที่น้อยกว่า 25 องศาเชลเซียส ได้นาน 4 ชั่โมง และสามารถเก็บในตู้เย็นช่องธรรมดาได้ 3-5 วัน

TRAMOL (50) IV prn q 6 hr
ให้ทางสารน้ำ เมื่อมีอาการปวด ทุก 6 ชั่วโมง
ใช้บรรเทาอาการปวดระดับปานกลางถึงระดับรุนแรง
ผลข้างเคียง : คลื่นไส้ อาเจียน ง่วงซึม มึนงง วิงเวียน ปวดศีรษะ ท้องผูก ชัก หากใช้เกินขนาดทำให้เกิดอาการเซื่องซึม (drowsiness) รูม่านตาหรี่ (constricted pupils) ภาวะกายใจไม่สงบ อัตราหัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตสูง

12.การดูแลเต้านมคัดตึง
1.การประคบร้อนด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นจัด พันโดยรอบเต้านมก่อนให้นมลูก จะช่วยให้ น้ำนมจะไหลได้ดีขึ้น โดยใช้เวลาในการประคบประมาณ 5 -10 นาที
2.หากปวดเต้านมมากสามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ เช่น พาราเชตามอลูการนวดูเต้านมเบาๆ ขณะที่ลูกดูดนม จะทาให้มารตารู้สึกผ่อนคลาย และช่วยกระตุ้นทาให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้น
3.หากลานหัวนมตึงแข็งจะทาให้ลูกดูดนมได้ยากขึ้น การบีบน้ำนมออกจากบริเวณลานหัวนมจะทำให้ลานหัวนมนิ่มทำให้ลูกดูดุนมได้ดีขึ้นให้ลูกดูดนมบ่อยขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน อาจทุก 2 -3 ชั่วโมงหรือเร็วกว้านั้นได้หากลูกต้องการ โดยไม่จากัดระยะเวลาการดูดนมของลูกถ้าแม่เจ็บมากจนทนให้ลูกดูดนมไม่ไหว อาจงดให้ลูกดูดนมชั่วคราวและระบายน้ำนมออกเรื่อยๆ เพื่อคลายความเจ็บจนกว่าอาการเต้านมคัดจะดีขึ้น
4.หลีกเลี่ยงการให้นมเสริมจากขวด หรือการใช้จุกหลอกบ่อยเกินไปสวมยกทรงที่ช่วยพยุงเต้านม หลีกเลี่ยงการสวมยกทรงที่มีขอบลวดหรือคับแน่นเกินไป
5.แนะนำหากมีอาการเต้านมคัดเกิน 2 วัน ควรปรึกษาคลินิกนมแม่

บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานพร้อมกัน
วิธีบริหาร : นอนหงายชันเข่าขึ้นทั้ง 2 ข้าง สูดหายใจเข้าลึก ๆ
แขม่วท้องพร้อมขมิบก้น ยกก้นให้ลอยเล็กน้อย แต่ให้หลังชิดกับพื้นขณะแขม่วท้องพร้อมหายใจออก เกร็งค้างไว้นับ 1-5 แล้วคลายพร้อมกับหายใจเข้า ทำซ้ำ 10 ครั้ง

ท่าลดอาการบวมบริเวณขาและเท้า
วิธีบริหาร : นอนหงายวางเท้าให้อยู่ในระดับสูงกว่าลำตัว จากนั้นกระดกข้อเท้าขึ้นลงให้สุด ทำติดต่อกัน 15-20 ครั้ง/รอบ จนครบ 3 รอบ ควรทำ 3 ช่วงเวลา คือ เช้า กลางวัน และเย็น

ท่าบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและสะโพก ก้นย้อยและฝีเย็บ เพื่อช่วยให้มดลูกเข้าที่เร็วขึ้น
วิธีบริหาร : นอนหงายชันเข่าขึ้น 2 ข้าง
กดหลังให้แนบกับพื้นพร้อมขมิบกัน แขม่วท้อง แล้วยกกันให้ลอยพ้นพื้น เกร็งค้างไว้นับ 1 -10 จึงค่อย ๆ
วางกันลง ทำซ้ำ 10 ครั้ง

277746B8-EF72-4CD3-9119-8D0CE47CD3E4

5BCC8C4F-B65C-4424-B77B-F42467A63FC8

A81CB6CB-5535-45DF-9273-C5677F036C96

Preg 16+3 wk ตรวจ OGTT ผล 76,137,108,77
Preg 27+3 wk ตรวจ OGTT ผล 82,117,78,83 แพทย์ให้ทำ diet control (GDMA1)
Preg 33+2 wk ตรวจ FBS = 132 , 2 hr pp = 98

อาการสำคัญ

น้ำเดิน 1 ชั่วโมงก่อนมารพ. (1.30 น.)

การประเมินผล

ไม่ได้ประเมิน

ไม่ได้ประเมิน

ไม่ได้ประเมิน