Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การซักประวัติ หญิงตั้งครรภ์ G1P0000 GA13+5 wks -…
การซักประวัติ หญิงตั้งครรภ์
G1P0000 GA13+5 wks
การเปลี่ยนแปลง
ไตรมาสที่ 2
1.น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มประมาณเดือนละ 1-2 กก.
2.มดลูกโตขึ้น และจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นในสัปดาห์ที่ 16-22
3.ผิวคล้ำตามใบหน้า คอ ลำตัว รักแร้ มีเส้นดำขึ้นเป็นทางยาวกลางท้องตั้งแต่สะดือลงไปถึงหัวหน่าว(Linea Nigra) เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงอาจมีหน้าท้องลาย(Striae gravidarum)เกิดจากมดลูกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้หน้าท้องต้องยืดขยายมากขึ้น
4.ตกขาวหรือมูกในช่องคลอดมากขึ้นกว่าปกติ จากการเพิ่มระดับฮอร์โมนและเลือดที่หล่อเลี้ยงบริเวณช่องคลอดมากขึ้นในขณะตั้งครรภ์
5.ระบบย่อยอาหารเปลี่ยนแปลง อาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก
6.เป็นตะคริว
ไตรมาสที่ 3
1.น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ควรเพิ่มเดือนละ 2 กก. รวม 6 กก.
2.ปัสสาวะบ่อยขึ้น โดยเฉพาะช่วงใกล้คลอด ที่ศีรษะทารกเคลื่อนต่ำลง
3.เหนื่อยง่าย นอนหลับไม่สบาย ฮึดอัด จากภาวะที่มดลูกโต
4.ปวดหลัง จากสาเหตุน้ำหนักของมดลูกและตัวทารกที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มารดาต้องเกร็งกล้ามเนื้อหลังมากกว่าปกติ
5.ตะคริว เกิดจากกล้ามเนื้อขาต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติหรือจากการได้รับปริมาณแคลเซียมที่ไม่เพียงพอ
ไตรมาสที่ 1
1.ประจำเดือนไม่มาตามกำหนด
2.มีอาการแพ้ท้อง เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะแรกของการตั้งครรภ์ทำให้มีอาการคลื่นไส้
เต้านมขยายใหญ่ขึ้น คัดเจ็บเต้านม
4.เหนื่อยง่าย เพลียต้องการการนอนพักมากๆ
5.น้ำหนักตัวคงที่หรือเพิ่มขึ้น 1-3 กก. ในรายที่ไม่มีอาการแพ้
ข้อมูลส่วนบุคคล
หญิงไทยตั้งครรภ์อายุ 25 ปี G1P0000 LMP : 11 พฤศจิกายน 2564 EDC by date : 18 สิงหาคม 2565 GA 13+5 wks น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 54 kg. ส่วนสูง 165 cm. BMI = 19.83 (ปกติ)
น้ำหนักปัจจุบัน 54.7 kg. ไม่เคยได้รับวัคฉีดบาดทะยัก ได้รับวัคซีนCovid-19 2 เข็ม ปฏิเสธโรคประจำตัว มีประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว : มารดาของผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ปฎิเสธการผ่าตัด v/s : T = 36.6 องศาเซลเซียส HR = 62 ครั้ง/นาที BP = 113/51 mmHg.
Lab
ABO Group = O
RH Group = Positive
Ab Screening = Negative
HBs Aq = Negative
HIV Ab= Negative
VDRL = non-reactive
Urinalysis
Color = LT.Yellow
Transp = Clear
Blood = Negative
Ketone(UA) = Negative
Glucose(UA) = Negative
Albumin(UA) = Negative
pH = 6.5 (4.5-8.5)
Specific gravity = 1.001(1.003 - 1.030)
Leucocyte = Negative
Nitrite = Negative
Ascorbic acid = Negative
R.B.C. = Not found
W.B.C.= Not found
CBC
Hb = 10.7 g/dL (ค่าปกติ > 11 g/dL)
Hct = 32.9% (ค่าปกติ > 33 %)
MCV = 62.4 fL (ค่าปกติ 79.9 - 97.6 fL)
MCH = 20.3 pg (ค่าปกติ 25.9 - 32.4 pg)
RDW = 15.5% (ค่าปกติ 11.9 - 16.5%)
WBC = 7.49 10^3/uL(ค่าปกติ 4.24 - 10.18 10^3/uL)
Neutrophil = 65.0%(ค่าปกติ 48.2 - 71.2%)
Lymphocyte = 27.2%(ค่าปกติ 21.1 - 42.7%)
Platelet Count = 403 10^3/uL(ค่าปกติ 152 - 387 10^3/uL)
Glucose Challenge Test :glucose(50 gm) = 101 mg/dL
คัดกรองเนื่องจากมารดาของผู้ป่วยมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวาน
คำแนะนำการส่งเสริมการตั้งครรภ์คุณภาพ
โภชนาการ
ไตรมาส 1 แนะนำให้รับประทานอาหารปริมาณปกติเท่าก่อนตั้งครรภ์ หากมีอาการแพ้ท้องให้แบ่งทานเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 4-6 มื้อและควรรับประทานเป็นอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย
ไตรมาส 2 แนะนำให้รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อาหารประเภทแป้ง น้ำตาลและไขมัน ไม่ควรได้รับมากเกินไป หลีกเลี่ยงการทานข้าวขัดสีแนะนำให้ทานข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ
ไตรมาส 3 แนะนำให้รับประทานอาหารใหครบ 5 หมู่และควรเพิ่มอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ เนื้อปลา ผักใบเขียวชนิดต่างๆ
หญิงตั้งครรภ์มีภาวะซีดแนะนำให้ทานอาหารที่มีส่วนประกอบของธาตุเหล็กพบได้ใน ไข่แดง ตับ เครื่องในสัตว์
การฝากครรภ์
การฝากครรภ์คุณภาพ ควรจะฝากครรภ์ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์และการฝากครรภ์ครบ 5 ครั้งตลอดระยะการตั้งครรภ์ เพื่อให้มารดาและทารกได้รับการการดูแลที่ครบถ้วนและดีที่สุด
มีความสำคัญมาก เพื่อให้มารดาและทารกในครรภ์ได้รับดูแลตลอด 9 เดือน เพื่อติดตามความก้าวหน้าและความผิดปกติ วินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เพื่อป้องกันและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน พร้อมทั้งให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวตามไตรมาสที่เหมาะสม แนะนำให้มาฝากครรภ์ตามนัดทุกครั้ง
การรักษาความสะอาด
มารดาต้องดูแลสุขภาพช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ หากช่องปากไม่สะอาดอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อและส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้
การออกกำลังกาย
ทำให้ร่างกายแข็งแรง ระบบย่อยอาหารทำงานดี
ท้องไม่ผูก นอนหลับสบาย ไม่ควรออกกำลังกายแบบหักโหม(แนะนำให้ออกกำลังกายในรายที่เคยออกกำลังกายสม่ำเสมอตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์)
การจัดการกับอารมณ์
อารมณ์ของมารดามีผลต่อทารกในครรภ์ หากมารดามีความเครียด ให้หากิจกรรมหรือสิ่งที่ทำแล้วผ่อนคลาย ความเครียดลดลง
การพักผ่อน
แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
การมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์
ไม่มีข้อห้ามในการมีเพศสัมพันธ์ ยกเว้นในรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เคยมีประวัติการแท้งบุตรมาแล้วหลายครั้ง หรือมีเลือดออกขณะตั้งครรภ์ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ในไตรมาสแรก ในรายที่มีประวัติเคยคลอดบุตรก่อนกำหนด ควรงดเมื่อตั้งครรภ์ในไตรมาสสุดท้าย
การฉีดวัคซีน
วัคซีนบาดทะยัก มารดาไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ก็จะได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมด 3 เข็ม ห่างกัน 0,1,6 เดือน
อันตรายจากควันบุหรี่
ส่งผลให้มารดาและทารกในครรภ์มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ แนะนำให้ไม่ควรมีการสูบบุหรี่ในบ้าน ให้ความรู้เกี่ยวโทษของบุหรี่
ความผิดปกติที่ควรมาโรงพยาบาล
ไตรมาสที่ 2
1.มีเลือดออกทางช่องคลอด
2.ปวดท้องเป็นพักๆ
3.อาการตกขาวผิดปกติ เช่น สีเปลี่ยนไป คัน มีกลิ่น
ไตรมาสที่ 3
1.มีอาการท้องแข็ง หรือเจ็บครรภ์ทุก 5-10 นาที
2.มีมูกเลือดหรือเลือดสดๆ ออกทางช่องคลอด
มีน้ำเดิน (น้ำใสๆคล้ายปัสสาวะราด)
4.ลูกดิ้นน้อยลง
5.ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ บวม
ไตรมาสที่ 1
แพ้ท้องมาก จนทานอาหารไม่ได้
2.มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
3.ปวดมากบริเวณท้องน้อย
4.ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะเป็นเลือด
วินิจฉัยการตั้งครรภ์
Presumptive sign
ขาดประจำเดือนตั้งแต่เดือนธันวาคม เป็นเวลา 1 เดือน
LMP : 11 พฤศจิกายน 2564 คลื่นไส้อาเจียน
อยากทานอาหารรสจัดมากกว่าปกติ
Probable sign
ตรวจครรภ์ด้วยตนเอง 2 ครั้ง ขึ้น 2 ขีด
Positive sign
ไม่มีข้อมูล
11 แบบแผนกอร์ดอน
แบบแผนที่ 1 หญิงตั้งครรภ์ตั้งใจมีบุตร ก่อนตั้งครรภ์เมื่อเจ็บป่วยจะซื้อยามารับประทานเองและดื่มเครื่องแอลกอฮอล์เป็นประจำทุกวัน ขณะตั้งครรภ์ไม่ดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ หญิงตั้งครรภ์ไม่ใช้สารเสพติด ไม่สูบหรี่ แฟนสูบหรี่
แบบแผนที่ 2 ก่อนตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์ รับประทานอาหารครบ 5 หมู่และทานอาหารวันละ 3 มื้อ ก่อนตั้งครรภ์หญิงตั้งครรภ์รับประทานยาลดน้ำหนัก ขณะตั้งครรภ์ ไม่ได้รับประทานยาลดน้ำหนัก ชอบรับประทานอาหารรสจัด ดื่มน้ำวัน 5-6 แก้วต่อวัน
แบบแผนที่ 3 ก่อนตั้งครรภ์ ปัสสาวะวันละ 2-3 ครั้ง/วัน ลักษณะสีใส ไม่มีตะกอน การขับถ่ายอุจจาระ 2 ครั้ง/วัน ขณะตั้งครรภ์ปัสสาวะวันละ 3-4 ครั้ง/วัน การขับถ่ายอุจจาระ 2 ครั้ง/วัน ลักษณะสีใส ไม่มีตะกอน
แบบแผนที่ 4 หญิงตั้งครรภ์ไม่ค่อยออกกำลังกายทั้งก่อนตั้งครรภ์และขณะตั้งครรภ์
แบบแผนที่ 5 หญิงตั้งครรภ์นอนวันละ 9 ชั่วโมง เข้านอน 22.00 น. ตื่น 07.00 น.
แบบแผนที่ 6 การรับรู้ปกติทุกอย่าง รวมทั้งประสาทสัมผัสทั้ง 5 และระบบประสาท ความจำ การตัดสินใจที่ดี มึความเข้าใจในคำแนะนำต่างๆและสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง
แบบแผนที่ 7 เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงจากเดิม มีความพร้อมที่จะมีบุตร
แบบแผนที่ 8 อาศัยอยู่กับสามี มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
แบบแผนที่ 9 ไม่มีปัญหาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ ไม่มีการคุมกำหนด ยังไม่มีการวางแผนการมีคนต่อไป
แบบแผนที่ 10 หญิงตั้งครรภ์ไม่มีเครียด หากมีปัญาหาหรือมีเรื่องที่ไม่สบายใจ มักจะปรึกษากับมารดา
แบบแผนที่ 11 หญิงตั้งครรภ์ไม่มีความเชื่อทางศาสนาหรือความเชื่ออื่นๆทึ่ขัดต่อการรักษาของแพทย์
Anemia
ซีดจากThalassemia
โรคโลหิตจางชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรมเกิดจากความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการสังเคราะ ที่Hemoglobin
การคัดกรอง
MCV < 80 DCIP = Positive หรือ Negative ตัวใดตัวหนึ่ง มีความความเสี่ยง
Case นี้มารดา มีผลHb = 10.7 g/dL Hct = 32.9% MCV = 62.4 fL มีความเสี่ยงที่จะเป็นThalassemia
ผลกระทบต่อมารดา
Alpha (α) thalassemia
Hb Bart’s hydrops fetalis หรือ homozygous α-thal 1 ปัญหาที่พบขณะตั้งครรภ์คือ ความดันโลหิตสูง บวม และครรภ์เป็นพิษ
ผลกระทบต่อทารก
Alpha (α) thalassemia
Hb Bart’s hydrops fetalis หรือ homozygous α-thal 1 ชนิดที่รุนแรงที่สุด จะเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์หรือหลังคลอด
Hb H disease อาการซีด เหลือง พบตับม้ามโตเล็กน้อย แต่ถ้ามีภาวะติดเชื้อจะมีภาวะซีดลงอย่างรวดเร็ว
Beta (β) thalassemia
β thalassemia major หรือ homozygous β thalassemia disease มีอาการซีดเร็วภายในอายุ 2 ปี อาการอื่น ๆ ที่พบได้ คือ ตับม้ามโต รูปโครงหน้าเปลี่ยน (thalassemia face) การเจริญเติบโตไม่สมอายุ หากไม่ได้รับเลือดจะมีอาการซีดมาก และหัวใจล้มเหลว β thalasemia/Hb E disease ไม่มีอาการ
การดูแลรักษาขณะตั้งครรภ์
ด้านมารดา
งดการรักษาด้วยยาขับเหล็ก รับประทานกรดโฟลิกเสริม 5 มก.ต่อวัน ทั้งก่อนและระหว่างการตั้งครรภ์ ทานอาหารที่มีโปรตีนสูง งดสูบบุหรี่และสารเสพติด เฝ้าระวังการติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ให้การดูแลช่องปากและรักษาฟันผุ หลีกเลี่ยงการรับเชื้อจากผู้อื่น และระวังการติดเชื้อจากการรับเลือด ตรวจคัดกรองหรือค้นหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยเมื่อตั้งครรภ์ ได้แก่ คัดกรองโรคเบาหวาน (glucose tolerance test) การประเมินการทำงานของหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน ในรายที่ตัดม้ามหรือได้รับเลือดไม่สม่ำเสมอจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดอุดตัน จึงควรพิจารณาให้ยาต้านเลือดแข็งตัวหลังคลอด เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรม เช่น การคลอดก่อนกำหนด ความดันโลหิตสูง การตกเลือดหลังคลอด กำหนดเวลาคลอดและวิธีคลอด พยายามให้คลอดทางช่องคลอด ยกเว้น มีข้อบ่งชี้จึงผ่าตัดทำคลอด
ด้านลูก วินิจฉัยทารกก่อนคลอดกรณีที่บิดาและมารดาเป็นคู่เสี่ยงต่อการเกิดโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง
เฝ้าระวังการเติบโตและตรวจสุขภาพของทารกในครรภ์เป็นระยะ ทั้งทางคลินิก การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง และการตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้าทารกในครรภ์ (electronic fetal monitoring; EFM)
หลังคลอดให้ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบบีแก่ทารกแรกเกิด
ซีดจากการขาดธาตุเหล็ก
ได้รับธาตุเหล็กน้อยเนื่องจากรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เลือด ตับ เช่น คนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติหรือรับประทานผักที่มีสารต่อต้านการดูดซึมของธาตุเหล็กเป็นจํานวนมาก
การดูดซึมธาตุเหล็กผิดปกติเป็นสาเหตุที่พบได้ไม่บ่อย อาจเกิดจากการมีกรดในกระเพาะอาหารลดลง เช่น ผู้ที่ รับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหารนาน ๆ หรือผู้สูงอายุผู้ที่เคยได้รับการผ่าตัดเอากระเพาะอาหารออกผู้ที่ได้รับการ
ผ่าตัดเอาลําไส้เล็กส่วนต้นออกหรือ ผู้ที่มีการอักเสบของลําไส้เล็กส่วนต้นเรื้อรัง เป็นต้น
ร่างกายมีความต้องการธาตุ เหล็กเพิ่มมากขึ้น พบได้บ่อยในผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตรโดยความต้องการธาตุเหล็กจะมากกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า
สูญเสียธาตุเหล็กมากกว่าปกติมักเกิดจากการเสียเลือดเรื้อรัง สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ เลือดประจําเดือนออกมาก และนานกว่าปกติในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์และเลือดออกในทางเดินอาหารจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น แผลในกระเพาะอาหาร เรื้อรัง เลือดออกในทางเดินอาหาร ริดสีดวงทวารหนัก หรือแม้แต่มะเร็งลําไส้ใหญ่ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลหิตจางจากการ ขาดธาตุเหล็ก รวมทั้งการบริบาคเลือดบ่อยครั้งกว่าที่กำหนด และไม่รับประทานยาเสริมธาตุเหล็กทดแทน และการเกิดพยาธิต่างๆ โดยเฉพาะพยาธิปากขอและพยาธิแส้ม้า เป็นต้นเหตุสำคัญของภาวะโลหิตจาง
ผลกระทบต่อมารดา ในระยะตั้งครรภ์มารดาจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เวียนศีรษะเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีภูมิต้านทานต่อโรคลดลง นอกจากนี้อาจเกิดการแท้งการคลอดก่อนกำหนด และภาวะ Pre-eclampsiaได้ง่าย ในระยะคลอดและหลังคลอดอาจเกิดภาวะช็อคเมื่อสูญเสียเลือด แผลหายช้า และมีโอกาสติดเชื้อภายหลังคลอดได้ง่าย
ผลกระทบต่อทารก อัตราตายของทารกแรกเกิดเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในทารกที่คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากปอดยังไม่สมบูรณ์ทำให้เกิดกลุ่มอาการหายใจลำบาก (Respiratory Distress Syndrome: RDS) ตัวเหลือง และติดเชื้อง่ายนอกจากนี้ยังพบน้ำหนักทารกแรกเกิดน้อยกว่าปกติ (น้อยกว่า 2,500 กรัม)