Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระยะเฉียบพลันและเรื…
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพระบบกระดูกและกล้ามเนื้อในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง
โรคกระดูกพรุน
อาการ โรคกระดูกพรุน ได้ชื่อว่าเป็น “มฤตยูเงียบ” เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีอาการ กว่าจะรู้ว่าเป็นโรคกระดูกพรุนก็ต่อเมื่อกระดูกหักเสียแล้ว ส่วนอาการที่พบได้คือปวดหลัง ซึ่งเกิดจากกระดูกบางมาเป็นเวลานาน อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีกระดูกสันหลังยุบตัว และจะทำให้หลังค่อมและเตี้ยลงได้ นอกจากกระดูกสันหลังแล้ว กระดูกอื่น ๆ ที่ถูกทำลายมาก คือ ข้อมือและสะโพก
โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) คือ โรคที่ความหนาแน่นและมวลของกระดูกลดน้อยลงจนทำให้กระดูกเสื่อม เปราะบาง ผิดรูป และมีโอกาสแตกหักได้ง่าย ในผู้ป่วยบางรายกระดูกพรุนมีผลให้ส่วนสูงลดลง เนื่องจากมวลกระดูกผุกร่อน ผลจากโรคกระดูกพรุนคือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก เนื่องจากกระดูกสามารถรับน้ำหนัก แรงกระแทก หรือแรงกดได้ลดลง
สาเหตุ โรคกระดูกพรุนเกิดจากการทำงานที่ไม่สมดุลกันของเซลล์กระดูกทั้ง 2 ชนิดจึงทำให้มีการสลายกระดูกมากกว่าการสร้างกระดูกเกิดขึ้น โดยมีสาเหตุมาจากการที่ปริมาณแคลเซียมในร่างกายไม่เพียงพอต่อกระบวนการสร้างกระดูก หรืออาจมีความผิดปกติของเซลล์กระดูก
การรักษาด้วยยา มีทั้งการรับประทานยาและการฉีดยา การรักษาโดยการเพิ่มฮอร์โมนบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างกระดูก เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนในวัยหมดประจำเดือน หรือผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกไป ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ในระดับปกติ
เก๊าท์
เป็นโรคข้ออักเสบที่ทำให้มีอาการปวดแสบร้อน บวม แดงตามข้อต่ออย่างเฉียบพลันเป็นระยะ ๆ อาจเกิดขึ้นกับข้อต่อเดียวหรือหลายข้อต่อพร้อมกัน
อาการ ผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีอาการปวด บวมแดง ร้อนบริเวณข้ออย่างฉับพลันทันทีทันใด โดยมักเริ่มจากข้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ซึ่งจะเป็นๆ หายๆ ในระยะแรก โรคเก๊าท์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยปวดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวาย
การรักษา แนวทางการรักษาโรคเก๊าท์คือการลดกรดยูริกในเลือดให้ต่ำลง ซึ่งทำได้โดยการรับประทานยาละลายผลึกกรดยูริกแล้วให้ร่างกายขับออก เมื่อกรดยูริกลดต่ำลงก็จะเกิดการอักเสบน้อยลง ทั้งนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะเป็นการรักษาอาการอักเสบเฉียบพลันแล้ว ยังเป็นการป้องกันการกลับมาสะสมใหม่และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรค รวมถึงการเกิดปุ่มหรือก้อนผลึกกรดยูริกในเนื้อเยื่อที่เรียกว่าก้อนโทฟัส (tophus) ซึ่งทำให้ดูไม่สวยงาม
สาเหตุ โรคเก๊าท์เกิดจากภาวะกรดยูริก (uric acid) ในเลือดสูงติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกิดเป็นผลึกสะสมอยู่ในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบ ปวดบวมอย่างรุนแรง ทั้งนี้ กรดยูริกเปรียบเสมือนของเสียในร่างกายที่เหลือจากการกำจัดเซลล์ที่หมดอายุลง โดยร่างกายของแต่ละคนจะมีกรดยูริกอยู่ประมาณร้อยละ 80 ส่วนอีกร้อยละ 20 มักได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป
Rheumatoid arthritis
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) เป็นโรคของข้อต่อที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของเยื่อหุ้มข้อซึ่งอยู่บริเวณรอยต่อระหว่างกระดูก โดยจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) ที่มีลักษณะเฉพาะคือมีการอักเสบรุนแรงของข้อโดยเฉพาะข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จะส่งผลให้ข้อถูกทำลายและเกิดความพิการตามมาได้
สาเหตุ แพทย์วินิจฉัยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จากการตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการตรวจร่างกายจะดูว่าอาการปวดข้อนั้นมีการอักเสบซึ่งได้แก่ อาการบวม แดง ร้อน เกิดขึ้นหรือไม่ การขยับข้อติดขัดหรือไม่ ในกรณีที่การบวมหรืออักเสบยังไม่ชัดเจน แพทย์จะเอกซเรย์กระดูก หรือตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพิ่มเติม
อาการ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อโดยเฉพาะข้อเล็กๆ เช่น ข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า ส่วนข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพกพบได้น้อยกว่า ซึ่งการปวดนี้จะแตกต่างจากการปวดจากการใช้งานที่มักปวดเมื่อมีการใช้ข้อมากกว่าปกติ แต่การปวดจากข้ออักเสบมักจะปวดในขณะไม่ได้ใช้งานข้อ เช่น ปวดกลางดึก ปวดตอนเช้าหลังจากตื่นนอน หรือขณะพักผ่อน โดยปวดเป็นเวลานานแม้รับประทานยาแก้ปวดแล้วอาการดีขึ้นแต่ก็ไม่หายขาด
การรักษา การใช้ยา ประกอบด้วยยารับประทานหรือยาฉีดสำหรับรักษาเฉพาะเจาะจงกับโรคเพื่อลดการอักเสบ ควบคุมการลุกลามของโรค และยาช่วยบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวด หรือยาสเตียรอยด์เพื่อช่วยไม่ให้ผู้ป่วยต้องเจ็บปวดทรมานจากโรค กายภาพบำบัด รวมถึงการออกกำลังกายเพื่อให้ข้อคงความยืดหยุ่น การผ่าตัด สำหรับกรณีที่ข้อถูกทำลายไปมากแล้ว การผ่าตัดซ่อมแซมหรือเปลี่ยนข้อจะช่วยให้ข้อทำงานได้ดีขึ้น ลดความเจ็บปวด และแก้ไขความพิการได้
กระดูกหัก
อุบัติเหตุทางจราจรถือเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกหัก กระดูกหักจึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะแม้บางทีจะไม่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่การรักษาที่ไม่เหมาะสมอาจนำมาซึ่งความพิการถาวรได้ สาเหตุหลักของภาวะกระดูกหักที่นอกจากอุบัติเหตุจราจรแล้ว ยังมีอุบัติเหตุจากการทำงาน รวมไปถึงการเล่นกีฬา และที่น่าเป็นห่วงเพราะพบตัวเลขสูงขึ้นเรื่อย ๆ คือ ภาวะกระดูกหักในผู้สูงอายุ
การวินิจฉัย ในการวินิจฉัยกระดูกหัก แพทย์จะตรวจร่างกายและซักประวัติ เพื่อดูว่ากระดูกหักส่วนไหน หักแบบใด รุนแรงแค่ไหน หักเข้าไปในข้อหรือไม่ กระทบต่อเส้นเลือดหรือเส้นประสาทใกล้เคียงหรือไม่ จากนั้นจะนำมาวิเคราะห์และวางแผนรักษาร่วมกับผู้ป่วย เพื่อให้ตรงกับความต้องการและเหมาะสมกับผู้ป่วย
5R รักษากระดูกหัก หลักในการรักษากระดูกหักมีอยู่ด้วยกัน 5 ขั้นตอน เรียกง่าย ๆ ว่า 5R คือ1.Recognition การตรวจวินิจฉัยดูลักษณะการหักโดยละเอียด เพื่อวางแผนและเตรียมอุปกรณ์รักษาให้พร้อม 2.Reduction การจัดกระดูกให้เข้าที่ใกล้เคียงสภาพเดิม 3.Retention การให้กระดูกอยู่นิ่งหลังจัดกระดูกก่อนเข้าเฝือกเพื่อให้กระดูกสมานตัวตามธรรมชาติ4.Rehabilitation การฟื้นฟูส่วนที่ได้รับบาดเจ็บและจิตใจผู้ป่วย 5.Reconstruction การแก้ไขซ่อมแซมส่วนที่สูญเสียหรือจากผลแทรกซ้อนให้กลับมาใช้งานได้ตามเดิม
COMPARTMENT SYNDROME
ภาวะความดันในช่องปิดของกล้ามเนื้อสูงขึ้น คือภาวะช่องปิดกล้ามเนื้อมีความดันสะสมในระดับที่เป็นอันตราย เนื่องจากพังผืดไม่ขยายตัวอันเป็นผลมาจากการบวมภายในช่องปิดของกล้ามเนื้อ ซึ่งมักพบบริเวณขา แขน และท้อง ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวม หรือแสบร้อน เป็นต้น นอกจากนี้ ความดันที่สูงขึ้นอาจปิดกั้นการลำเลียงออกซิเจน สารอาหาร และการไหลเวียนของเลือดไปยังช่องปิดกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้เซลล์บริเวณนั้นตายและเกิดการขาดเลือดเฉพาะที่ได้
อาการ มีอาการปวดอย่างรุนแรง หรือรู้สึกว่าอาการปวดมีความรุนแรงมากกว่าการบาดเจ็บที่เห็นหรือที่ควรจะเป็น รู้สึกชา หรือเป็นอัมพาตในส่วนนั้น ๆ ซึ่งทั้งสองอาการนี้อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บแบบถาวร สึกตึงและปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนัง เคลื่อนไหวไม่สะดวก กล้ามเนื้อบวมและช้ำ เป็นเหน็บหรือรู้สึกคล้ายมีเข็มทิ่ม
สาเหตุ เกิดจากการบาดเจ็บที่ทำให้มีเลือดออก หรือของเหลวจากอาการอักเสบสะสมภายในช่องปิดของกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดความดันภายในร่วมกับพังผืดไม่ขยายตัว โดยความดันที่สะสมในปริมาณมากจะส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปยังช่องปิดกล้ามเนื้อลดลงจนถูกปิดกั้น เป็นเหตุให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาทโดยรอบถูกทำลายเนื่องจากได้รับสารอาหารและออกซิเจนไม่เพียงพอ
การรักษา การเปลี่ยนการออกกำลังกายเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อลดผลที่มีต่อร่างกายส่วนล่าง เช่น หากคุณเคยวิ่ง การเปลี่ยนไปเล่นกีฬาประเภทอื่นที่ไม่มีผลกระทบกับขาแทนจะช่วยได้ การผ่าตัดเพื่อคลาย Fascia และทำให้มีพื้นที่ในช่องกล้ามเนื้อมากขึ้น เป็นอีกการรักษาที่นักกีฬาหลายรายเลือก หรือได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ผ่าตัด การผ่าตัดนั้นไม่ซับซ้อนนักแต่ก็ยังคงมีความเสี่ยง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพูดคุยกับแพทย์เพื่อทำความเข้าใจ ทั้งเรื่องความเสี่ยง และประโยชน์ที่จะได้รับจากการผ่าตัด
การตัดแขน - ขา
การตัดแขนขา (Amputation) เป็นการผ่าตัดเอาแขน ขา เท้า มือ นิ้วเท้า หรือนิ้วมือ บางส่วนหรือทั้งหมดออก จัดเป็นตัวเลือกสุดท้ายในการรักษาอาการบาดเจ็บ โรค อาการติดเชื้อ หรือนำเนื้องอกออกจากกระดูกและกล้ามเนื้อ การตัดแขนขาจะมีโอกาสเกิดกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง และส่วนใหญ่เป็นผู้ชายอายุตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป วิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อนหรือปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์
ความจำเป็นในการตัดแขน-ขา อาการติดเชื้อ หรือเสียเลือดขั้นรุนแรง อาการติดเชื้อหลังผ่าตัด เบาหวานชนิดที่ 1 และเบาหวานชนิดที่ 2 (ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำลายเส้นเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถไหลได้อย่างปกติ) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) อาการบาดเจ็บร้ายแรง เช่น อุบัติเหตุ บาดแผลไฟไหม้ เนื้องอกหรือมะเร็งในกระดูกและกล้ามเนื้อของส่วนแขนหรือขา อาการติดเชื้อร้ายแรงซึ่งทำให้ยาปฏิชีวนะ หรือการรักษามีประสิทธิภาพที่ไม่เต็มที่ เนื้องอกของเส้นประสาท (Neuroma) เนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะความเย็นจัด (Frostbite) ปัญหาสุขภาพหัวใจ เช่น หัวใจวาย หัวใจล้มเหลว ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน โรคปอดบวม (Pneumonia) อาจมีอาการอื่นๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการดังกล่าว โปรดปรึกษาแพทย์
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตัดแขนขา วัดความดันเลือดบริเวณแขนหรือขา วัดการไหลเวียนของเลือดโดยใช้สารเภสัชรังสี Xenon 133 วัดระดับความดันของออกซิเจนตามผิวหนัง วัดการไหลเวียนของเลือดบริเวณผิวหนังโดยใช้ Laser Doppler วัดระดับสารฟลูออเรสเซนต์บริเวณผิวหนัง วัดรังสีอินฟาเรดจากอุณหภูมิบริเวณผิวหนัง นอกจากนี้ แพทย์อาจต้องมีการประเมินภาวะทางจิตใจ และอารมณ์ของผู้ป่วยด้วย เพราะผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการตัดแขนขามักมีอาการเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล อาจมีการตรวจหรือทดสอบนอกเหนือจากที่ระบุข้างต้น โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ขั้นตอนการผ่าตัด วิสัญญีแพทย์จะให้ยาระงับความรู้สึกแก่ผู้เข้ารับการผ่าตัด โดยชนิดของยาระงับความรู้สึกขึ้นอยู่กับอวัยวะส่วนที่ต้องผ่าตัด ส่วนใหญ่แล้วการตัดแขนขาจะเป็นการตัดอวัยวะออกเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น ไม่ใช่การตัดแขนขาออกทั้งหมด เมื่อแขนขาถูกตัดออกไปแล้ว แพทย์อาจใช้การรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อช่วยให้อวัยวะส่วนที่เหลืออยู่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแทรกซ้อน หลังตัดแขนขาออกไปแล้ว แพทย์จะเย็บปิดแผลด้วยไหมหรือลวดเย็บผิวหนัง จากนั้นจึงพันผ้าพันแผล หรือในบางกรณีอาจต้องสอดอุปกรณ์ดูดซับสารคัดหลั่งเข้าไปที่ใต้ผิวหนัง เพื่อทำให้แผลแห้งเร็วขึ้น โดยปกติแล้ว ต้องพันผ้าพันแผลไว้ 2-3 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ รายละเอียดในการผ่าตัดอาจแตกต่างไปในแต่ละกรณี หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดปรึกษาแพทย์
การพักฟื้น หลังการตัดแขนขา หลังเข้ารับการผ่าตัดแขนขาออก ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนผ่านทางหน้ากาก ได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ และอาจต้องใส่สายสวนปัสสาวะ หรือใช้หม้อนอน (อุปกรณ์รองรับปัสสาวะหรืออุจจาระจากผู้ป่วยที่ไม่สามารถลุกจากเตียงได้) เป็นเวลา 2-3 วันขณะพักฟื้นอยู่ในห้องพักผู้ป่วย การตัดแขนขาอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ในกรณีนี้ แพทย์จะให้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น ยาแก้ปวด ยาพาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะ การกายภาพบำบัดหลังจากการผ่าตัด เช่น การยืดเส้น คลายเส้น การออกกำลังแบบพิเศษ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยลุกนอนเตียง หรือแต่งตัวได้สะดวกขึ้น และการใช้รถวีลแชร์เพื่อช่วยรับน้ำหนักส่วนที่บาดเจ็บ ก็สามารถช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกยิ่งขึ้นเช่นกัน คุณควรปฏิบัติตามข้อควรปฏิบัติหลังจากผ่าตัด เช่น ดูแลส่วนที่ผ่าตัด การเปลี่ยนเสื้อผ้า การอาบน้ำ การทำกายภาพบำบัด และกินยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ร่วมกับการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ดังต่อไปนี้ ควบคุมประเภทอาหารที่รับประทาน ไม่รับประทานอาหารเกินปริมาณแคลอรี่ที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลาย งดสูบบุหรี่ อกกำลังกายสม่ำเสมอ