Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ประเด็นทางจริยธรรมในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต และการดูแลระยะท้ายของชีวิต -…
ประเด็นทางจริยธรรมในการดูแลผู้ป่วยวิกฤต
และการดูแลระยะท้ายของชีวิต
การแจ้งข่าวร้าย(Breaking a bad news)
ข่าวร้าย
หมายถึง ข้อมูลที่ทําให้เกิดความรู้สึกหมดความหวัง มีผลกระทบต่อความรู้สึก การดําเนินชีวิต และอนาคตของบุคคลนั้น
ผู้แจ้งข่าวร้าย
ต้องได้รับการฝึกฝนและมีประสบการณ์ วิธีการแจ้งมีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการรักษา ผลการรักษา และการดำเนินของโรค รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของแพทย์ในการแจ้งข่าวร้าย แพทย์สามารถแจ้งแก่ญาติโดยไม่ต้องแจ้งแก่ผู้ป่วยโดยตรงในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคทางจิต เด็ก หรือผู้ป่วยมีแนวโน้มทำร้ายตนเองหากได้รับข่าวร้าย
ปฏิกิริยาจากการรับรู้ข่าวร้าย
ระยะปฏิเสธ (Denial) เป็นระยะแรกหลังจากผู้ป่วยและญาติรับทราบข้อมูล จะรู้สึกตกใจ ช็อค และปฏิเสธสิ่งที่ได้รับรู้ ไม่เชื่อ ไม่ยอมรับความจริง ไม่เชื่อผลการรักษา
ระยะโกรธ (Anger) ความโกรธเป็นภาวะธรรมชาติ จะเกิดขึ้นจากการสูญเสียหรือภาระที่ได้รับข่าวร้าย ความโกรธจะขยายไปยังแพทย์ครอบครัว ญาติ เพื่อน และทุกอย่างรอบตัว ทำให้อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรงและต่อต้าน
ระยะต่อรอง (Bargaining) เป็นระยะที่ต่อรองความผิดหวังหรือข่าวร้ายที่ได้รับ จะต่อรองกับตนเอง คนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ระยะซึมเศร้า(Depression) ผู้ป่วยและญาติจะเริ่มรับรู้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ความรู้สึกซึมเศร้าจะเกิดขึ้น
5.ระยะยอมรับ (Acceptance) เริ่มยอมรับสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงอารมณ์เจ็บปวดเลยซึมเศร้าดีขึ้น มองเหตุการณ์อย่างพิจารณามากขึ้น
ปรับตัวและเรียนรู้ให้ดำเนินชีวิตต่อไปได้
การพยาบาล
สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและครอบครัวประเมินการรับรู้ของครอบครัว
รับฟังผู้ป่วยและญาติด้วยความตั้งใจ เห็นใจ เปิดโอกาสให้ซักถาม
ให้ความช่วยเหลือบังคับของจิตใจให้ผ่านระยะเครียดและระยะวิตกกังวล
ในระยะโกรธ ยอมรับพฤติกรรมทางลบของผู้ป่วยและญาติ ให้โอกาสระบายความรู้สึกไม่บีบบังคับ เคารพผู้ป่วย เข้าใจเห็นใจ ไวต่อความรู้สึกและความต้องการของผู้ป่วย
ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับข้อมูล การดําเนินโรค แนวทางการรักษา
อธิบายให้ทราบถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยให้ข้อมูลที่เป็นความจริงเกี่ยวกับโรค
สะท้อนคิดให้ครอบครัวค้นหาเป้าหมายใหม่ในชีวิตอย่างมีความหมายช่วยให้ครอบครัวใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีคุณค่า
จัดการกับอาการที่รบกวนผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความสุขสบาย
ให้ความมั่นใจกับผู้ป่วยและญาติว่าแพทย์และทีมสุขภาพทุกคนจะดูแลอย่างดี
ทำหน้าที่แทนผู้ป่วยในการเรียกร้องปกป้องผู้ป่วยให้ได้รับประโยชน์และปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักจริยธรรมในการปฎิบัติการพยาบาล
มโนทัศน์เกี่ยวกับการเจ็บป่วยระยะท้ายและภาวะใกล้ตาย
การเจ็บป่วยระยะท้าย
หมายถึง ภาวะบุคคลอยู่ในภาวะความเจ็บป่วยที่คุกคามต่อชีวิต มีการดำเนินโรคลุกลามอย่างมาก ทำให้การทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆของร่างกายไม่สามารถกลับคืนสู่ภาวะปกติ แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นผู้ที่อยู่ในระยะท้ายของโรคและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
ภาวะใกล้ตาย
หมายถึง ผู้ที่เข้าสู่ช่วงใกล้เสียชีวิต มีอาการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายมากขึ้น จากการทําหน้าที่ของอวัยวะสําคัญของร่างกายลดลงหรือล้มเหลว และมีค่าคะแนน Palliative performance scale (PPS) น้อยกว่า 30
แนวคิดการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย
1. แนวคิดการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative care)
การดูแลตามแนวคิดนี้เป็นการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบองค์รวมครอบคลุมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและจิตวิญญาณ โดยยึดตามความเชื่อทางศาสนา วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติของผู้ป่วยและครอบครัวเป็นสำคัญ โดยมีผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเผชิญและผ่านพ้นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอย่างสงบสบายพร้อมด้วยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
2. แนวคิดการดูแลตามทฤษฎีความสุขสบาย (comfort theory)
ความสุขสบายแบ่งออกเป็น3 ประเภท คือ
1) บรรเทา (relief) หมายถึง ความไม่สุขสบายที่มีอยู่ทุเลาเบาบางลง
2) ความสงบ ผ่อนคลาย (ease) หมายถึง ความไม่สุขสบายหายไปหรือสงบผ่อนคลาย
3) อยู่เหนือปัญหา (transcendence) หมายถึง ความสุขที่อยู่เหนือความไม่สุขสบายทั้งปวงแม้ว่าจะไม่สามารถขจัด หรือหลีกเลี่ยงได้
กิจกรรมการดูแลที่ส่งเสริมความสุขสบายของผู้ป่วยและครอบครัว
มาตรฐานการพยาบาลเพื่อความสุขสบาย เพื่อรักษาความสมดุลของร่างกาย (Homeostasis) ควบคุมความปวดและความไม่สุขสบายต่าง ๆ
การสอน แนะนํา เป็นพี่เลี้ยง (coaching) ได้แก่ ให้กําลังใจ ให้ข้อมูล ความหวัง ชี้แนะ รับฟังและช่วยเหลือเพื่อวางแผนฟื้นฟูสภาพ
อาหารด้านจิตวิญญาณ (comfort food for the soul) การดูแล ใส่ใจ เอื้ออาทร และสร้างความเข้มแข็งด้านจิตวิญญาณ
การดูแลแบบประคับประคองมุ่งให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบหรือ ตายดี (Good death) ให้ช่วงท้าย ของชีวิตอยู่อย่างมีความหมาย บุคคลในครอบครัวได้มีโอกาสอําลากันและกัน ความเจ็บปวดทางกายและทาง ใจลดลง รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ป่วยและครอบครัวเพื่อการตายอย่างสงบ
ประเด็นจริยธรรมที่สำคัญในการพยาบาลผู้ป่วยภาวะวิกฤตการเจ็บป่วยระยะท้าย และภาวะใกล้ตาย
1. การุณยฆาต หรือ ปราณีฆาต หรือ เมตตามรณะ(mercy killing or euthanasia)
ทําให้ผู้ป่วยที่หมดหวังจากการรักษาไม่สามารถคืนสู่สภาพปกติและต้องทนทุกข์ทรมานพบกับความตายอย่างสงบ แบ่งได้ 2 ประเภท
1.1 การทําการุณยฆาตโดยความสมัครใจ (Voluntary euthanasia)
ผู้ป่วยร้องขอให้ยุติการรักษาพยาบาลแพทย์ทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตโดยเจตนาตามความประสงค์ของผู้ป่วย
1.2 การทําการุณยฆาตโดยผู้ป่วยไม่สามารถตัดสินใจได้เอง (Involuntary euthanasia) ทำให้ผู้ป่วยถึงแก่ชีวิตโดยเจตนาโดยปล่อยให้เกิดการตายตามธรรมชาติตามพยาธิสภาพของโรคโดยปราศจากการช่วยชีวิตด้วยเครื่องมือทางการแพทย์
มีข้อพิจารณา 3 ประการ คือ
1) เมื่อผู้ป่วยอยู่ในภาวะเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส
2) สิทธิส่วนบุคคลที่จะยุติชีวิตลง
3) บุคคลไม่ควรจะถูกบังคับให้ยืดชีวิตออกไปในสภาพที่ช่วยตนเองไม่ได้และไร้การรับรู้ทางสมอง
2. การยืดหรือการยุติการรักษาที่ยืดชีวิต
2.1 การยับยั้งการใช้เครื่องมือช่วยชีวิตในการบําบัดรักษา (withholding of life-sustaining treatment) หมายถึง การไม่เริ่มต้นใช้เครื่องมือช่วยชีวิต
2.2 การเพิกถอนการใช้เครื่องมือช่วยชีวิตในการบําบัดรักษา (withdrawal of life-sustaining treatment) หมายถึง การเพิกถอนใช้เครื่องมือช่วยชีวิตในการบําบัดรักษา
3. การฆ่าตัวตายโดยความช่วยเหลือของแพทย์(Physician-assistedsuicide)
คือการฆ่าตัวตายโดยเจตนาและได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์
4. การจัดสรรทรัพยากรที่มีจํานวนจํากัด
ผู้ป่วยวิกฤติมักจะเกิดความล้มเหลวของอวัยวะต่างๆหลายระบบ จึงต้องอาศัยเครื่องมือทางการแพทย์และทรัพยากรอื่นๆช่วยชีวิตไว้ซึ่งเครื่องมือมีค่อนข้างจำกัดดังนั้นการจัดสรรทรัพยากรจึงควรคำนึงถึงการเกิดประโยชน์มากที่สุดความจำเป็นของบุคคลความเสมอภาคอายุและโอกาสประสบความสำเร็จ
5. การบอกความจริง (Truth telling)
แพทย์ควรบอกให้ผู้ป่วยและญาติเพื่อการเตรียมตัวเตรียมใจจัดการภาระค้างอยู่ให้เรียบร้อย ผู้ป่วยอาจจะยังมีสติและเวลาในการทำพินัยกรรมก่อนตาย การบอกความจริง ได้แก่ การบอกความจริงทั้งหมด การบอกความจริงบางส่วน การหลอกลวง การประวิงเวลาการบอกความจริง
6. การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ (Organ transplantation)
ประเด็นนี้ต้องพิจารณาเกี่ยวกับโอกาสรอดชีวิตหลังผ่าตัด ระยะเวลาการมีชีวิตอยู่หลังผ่าตัด แหล่งที่มาของอวัยวะ ซึ่งพบว่าการซื้อขายอวัยวะเป็นประเด็นปัญหาทางจริยธรรมที่สำคัญ
ความแตกต่างระหว่างการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย
ในหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติในทั่วไป
Professional cultureบุค
บุคลากรของทีมสุขภาพที่ทำงานในหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติคุ้นชินกับการรักษาผู้ป่วยให้มีชีวิตรอดจากภาวะวิกฤต การตายของผู้ป่วยอาจทำให้ทีมสุขภาพรู้สึกถึงความล้มเหลว
ความคาดหวังของผู้ป่วยและครอบครัว
ผู้ป่วยที่เข้ารักษาในหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติมักขาดการเตรียมตัวเพื่อรับมือกับภาวะสุขภาพที่ทรุดลงอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้มีความคาดหวังสูงที่จะดีขึ้น
ความไม่แน่นอนของอาการ
ผู้ป่วยICUมีโอกาสที่จะดีขึ้นแล้วกลับไปทรุดลงได้หลายครั้ง ส่งผลให้ผู้ป่วยเข้าใจว่ามีการแย่ลงก็จะสามารถกลับมาดีขึ้นเหมือนเดิมได้ซึ่งอาจไม่เป็นจริงเสมอไป
Multidisciplinary team
ในหออภิบาลผู้ป่วยวิกฤติมีทีมแพทย์ที่ดูแลรักษาร่วมกันมากกว่า 1 สาขา ส่งผลให้แพทย์แต่ละสาขามุ่งเน้นในการรักษาอวัยวะที่ตนรับผิดชอบ อาจทําให้ไม่ได้มองผู้ป่วยแบบองค์รวม
ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยวิกฤติมีอาการไม่สุขสบายหลายอย่างและมีแนวโน้มถูกละเลย เนื่องจากทีมสุขภาพมักมุ่งประเด็นไปที่การหายของโรคมากกว่าความสุขสบายของผู้ป่วย
ทรัพยากรมีจํากัด
เตียง รวมทั้งอุปกรณ์หรือเครื่องมือต่างๆมีจำกัดการใช้จึงควรพิจารณาใช้กับผู้ป่วยที่มีโอกาสรักษาให้อาการดีขึ้นไม่ใช่กับผู้ป่วยทุกราย
สิ่งแวดล้อมในหออภิบาล
ผู้ป่วยซึ่งมีอัตราการตายสูงแต่สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่มักจะทุกพล่านวุ่นวายมีเสียงสัญญาณดังตลอดเวลาไม่เหมาะกับการเป็นสถานที่สุดท้ายของผู้ป่วยจะจากไป
หลักการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย ใกล้ตาย
การประเมินสภาพ
1.1 การประเมินอาการทางร่างกาย เช่น ประเมินอาการไม่สุขสบาย ความสามารถในการทำกิจกรรม ซึ่งอาการที่พบบ่อยในผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้แก่การปวด อ่อนแรงหรือเหนื่อยล้า ปากแห้ง ปัญหาของผิวหนัง
1.2 การประเมินด้านจิตใจ ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายจะมีความผิดปกติ 3 อย่าง คือ 1)ภาวะซึมเศร้า (Depression)
2) ภาวะวิตกกังวล (Anxiety)
3) ภาวะสับสน (Delirium)
1.3 การประเมินด้านสังคม
เช่น บทบาทของผู้ป่วยในครอบครัว ความรักความผูกพันของผู้ป่วยกับสมาชิกในครอบครัว ความต้องการของครอบครัว ผู้ป่วยในระยะสุดท้ายมันต้องการกลับไปอยู่ที่บ้าน ที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมเครือข่ายทางสังคมและการสนับสนุนทางสังคม
1.4 การประเมินด้านจิตวิญญาณ
เกี่ยวข้องกับปรัชญาชีวิต เป้าหมายชีวิต หรือคุณค่าทางด้านจิตใจความเชื่อทางศาสนา เพื่อให้ได้รับการให้อภัย ความรัก ความหวังความไว้วางใจ ความหมายและเป้าหมายสูงสุดหรือความต้องการที่ตนเองคิดว่าดีและหลีกเลี่ยงสิ่งที่ชั่วร้าย เช่น ความต้องการทางศาสนา
การประเมินระดับPalliative Performance Scale (PPS)
เพื่อสื่อสารอาการปัจจุบันของผู้ป่วยระหว่างในทีมที่ร่วมดูแลผู้ป่วยเพื่อให้มองเห็นภาพของผู้ป่วยและการพยากรณ์ไปในทางเดียวกัน
เพื่อประเมินพยากรณ์โรคอย่างคร่าวๆและติดตามผลการรักษา
ใช้เป็นเกณฑ์การัดเลือกผู้ป่วยเพื่อเข้าดูแลในสถานที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Hospice)
ใช้บอกความยากของภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์และครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย
ใช้ในการวิจัย
หลักการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยระยะท้ายใกล้ตาย
1. การสื่อสาร
1) ควรมีแผ่นพับแนะนำครอบครัวถึงการเตรียมตัวก่อนทำการประชุมครอบครัว เพื่อได้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์แบะมีการเตรียมตัวก่อนล่วงหน้า
2) ปิดเครื่องมือสื่อสารทุกครั้งที่คุยกับครอบครัวสถานที่ควรเป็นห้องส่วนตัวไม่มีการรบกวน
3) หลีกเลี่ยงคําศัพท์แพทย์
4) ให้เกียรติครอบครัวโดยการฟังอย่างตั้งใจและให้เสนอความคิดเห็น
5) มีความเห็นใจครอบครัวที่ต้องประเชิญเหตุการณ์นี้
6) บทสนทนาควรเน้นที่ตัวตนของผู้ป่วยมากกว่าโรค
7) ปล่อยให้มีช่วงเงียบ เพื่อให้ญาติได้ทบทวน รวมถึงฟังอย่างตั้งใจทุกครั้งที่ครอบครัวพูด
8) บอกพยากรณ์โรคที่ตรงจริงที่สุด ถ้าเป็นการแจ้งข่าวร้ายอาจจะใช้ SPIKES protocol บางครั้งแพทย์กังวลว่าการบอกความจริงคือทำลายความหวังของญาติแต่ในอีกมุมหากญาติไม่ได้รับข้อมูลที่ตรงจริง การตัดสินใจการรักษาอาจจะออกมาในรูปแบบที่ส่งผลเสียกับผู้ป่วยได้
9) เนื้อหาที่จะพูดคุยนั้นอาจแบ่งตามช่วงเวลาที่ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาควรเริ่มประชุมครอบครัวอย่างช้าวันที่3และ5
2. การจัดการอาการไม่สุขสบายต่าง ๆ
การช่วยเหลือดูแลทางกายตามอาการที่พบได้บ่อยในระยะสุดท้าย
อาการปวด ควรดูแลควรดูแลให้ผู้ป่วยกินยาต่างๆให้ครบถ้วนตามแผนการรักษาและคอยพูดคุยให้ผู้ป่วยผ่อนคลายทางอารมณ์เพื่อบรรเทาอาการปวด
อาการท้องผูก ควรป้องกันและควรจัดอาหารที่มีกากใย และดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอไม่ขัดกับโรค กระตุ้นให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายเท่าที่ทำได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับยามอร์ฟีนควรได้รับยาระบาย
เบื่ออาหาร ควรจัดอาหารที่ย่อยง่ายครั้งละน้อยๆแต่บ่อยครั้งจัดสิ่งแวดล้อมให้ผ่อนคลายรู้สึกสุขสบาย
อาการปากแห้ง เจ็บในปาก กลืนลำบาก ควรดูแลทำความสะอาดในช่องปากทุกวันอย่างน้อยวันละสองครั้ง
อาการท้องมานหรือบวมในท้อง ควรดูแลโดยให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูงหรือนั่งพิงเพื่อบรรเทาอาการ
อาการไอ ป้องกันสาเหตุที่ทำให้ไอ ระวังการสำลักขณะได้รับอาหาร ให้ได้รับน้ำในปริมาณที่มากในรายที่ไม่มีข้อจำกัดเพื่อช่วยละลายเสมหะและดูแลให้ได้รับยาแก้ไอตามแผนการรักษา
อาการหอบเหนื่อย หายใจลำบากใควรจัดให้ผู้ป่วยพักในท่าศีรษะสูงเล็กน้อยเพื่อให้หน้าอกขยายได้ง่าย ดูแลให้ได้รับออกซิเจนและยาเพื่อช่วยระงับอาการ
อาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ควรจัดหาอุปกรณ์ให้ผู้ป่วยปัสสาวะได้สะดวกใช้ผ้ารองซับและหมั่นเปลี่ยนผ้ารอง ระวังขาหนีบและทวารระคายเคืองเป็นแผล ดูแลความสะอาดสม่ำเสมอ
อาการบวม ดูแลอย่าให้เกิดแผลต่างๆเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
อาการคัน ควรให้ผู้ป่วยตัดเล็บสั้น หลีกเลี่ยงการเกา ใส่เสื้อผ้านุ่มและหลวม ใช้สบู่อ่อนอ่อนและอุณหภูมิน้ำไม่อุ่นจะดูแลความชุ่มชื้นของผิวหนัง
การเกิดแผลกดทับ ควรพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยทุก 2 ชั่วโมงและจัดหาเตียงลมเพื่อให้นอนสบาย มีการกระจายน้ำหนักตัวไม่กดลงจุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป
3. การดูแลทั่วไป
ดูแลความสะอาดร่างกายดูแลให้ได้รับสารน้ำอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายดูแลให้ได้รับการพักผ่อนนอนหลับจัดสิ่งแวดล้อมให้สะอาดสงบลดการกระตุ้นที่รบกวนผู้ป่วย
4. การดูแลด้านอารมณ์และสังคมของผู้ป่วยและครอบครัว (Psychosocial care)
ช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับความตายถึง
ช่วยให้ติดซ้ำช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ดีงาม เช่น
นำสิ่งที่ผู้ป่วยเคารพนับถือมาไว้ที่ห้องเพื่อให้ระลึกถึง
ช่วยปลดเปลื้องสิ่งที่ค้างคาใจ เช่น ภาระการงานที่ยังค้าง
ทรัพย์สมบัติที่ยังไม่มีใครจัดการ หรือความรู้สึกผิดในใจบางอย่าง
แนะนำให้ผู้ป่วยปล่อยวางสิ่งต่างๆ
สร้างบรรยากาศที่สงบและเป็นส่วนตัว
5. การดูแลด้านจิตวิญญาณผู้ป่วยระยะสุดท้ายและครอบครัว
5.1 ประเมินใบบันทึกความต้องการทางจิตวิญญาณในระหว่างการดูแลเป็นระยะ
5.2 สนับสนุนให้มีสถานที่หรือกิจกรรมส่งเสริมด้านจิตวิญญาณ เช่น
การประกอบพิธีตามศาสนา
5.3 สอบถามและส่งเสริมให้เกิดการปฎิบัติตามศรัทธาความเชื่อ
เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความสงบผ่อนคลายในระยะสุดท้าย
6. ดูแลให้ได้รับการประชุมครอบครัว (Family meeting)
เป็นกิจกรรมที่มีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างทีมสุขภาพกับผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับโรคและระยะของโรครวมไปถึงการดำเนินโรคและพยากรณ์โรคแนวทางของการดูแลผู้ป่วยในอนาคตรวมทั้งประเมินความต้องการด้านอื่นๆของผู้ป่วยและครอบครัวและวิธีการที่ครอบครัวใช้จัดการกับปัญหาด้านต่างๆที่เกิดขึ้น
การประชุมครอบครัว มีข้อระวังอย่างยิ่งในการพูดคุยเกี่ยวกับการพยากรณ์โรคของผู้ป่วยคือ การพยากรณ์โรคแบบไม่มีอคติ ควรให้คำแนะนำไปตามจริง ครอบครัวอาจมีหวังที่ดีขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ควรมีการเตรียมรับมือในกรณีที่ผลการรักษาไม่เป็นไปตามคาดหวัง การประชุมครอบครัวควรทำโดยผู้ชำนาญและมีประสบการณ์และทักษะการสื่อสารควรเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาประชุมโดยพร้อมเพรียง
7. การดูแลให้ผู้ป่วยและญาติเข้าถึงการวางแผนการดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning [ACP])
7.1 Living will หรือ พินัยกรรมชีวิต หรือ หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสง์รับบริการสาธารณสุข
คือ หนังสือที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ด้วยการเขียนหรือแสดงเจตนาด้วยวาจาต่อหน้าแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สุขภาพญาติหรือผู้ใกล้ชิด เพื่อแสดงให้คนอื่นทราบว่า ตนไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย
7.2 Proxy คือ บุคคลใกล้ชิดที่ผู้ป่วยมอบหมายให้มีอํานาจตัดสินใจในเรื่องการดูแลทางการแพทย์ในวาระสุดท้ายของตน
บทบาทของพยาบาลในการดูแลให้ผู้ป่วยและญาติ เข้าถึงการวางแผนการดูแลล่วงหน้า
สื่อสารร่วมกันระหว่างทีมสุขภาพกับผู้ป่วยและญาติ เพื่อทบทวนเป้าหมายและแผนการรักษารวมทั้งความต้องการของผู้ป่วยเป็นระยะ
คอยช่วยเหลือเมื่อผู้ป่วยต้องการทำการวางแผนการดูแลล่วงหน้า โดยการจัดหาตัวอย่าง รวมทั้งอธิบายข้อมูล ข้อดี ข้อเสียของหัตถการที่ต้องระบุ
รวบรวมเอกสาร ได้แก่ สำเนาหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวและเก็บไว้ในเวชระเบียน และแจ้งให้ญาติ ผู้ใกล้ชิดของผู้ป่วยทราบ เพื่อให้การปฏิบัติต่อผู้ป่วยในวาระสุดท้ายเป็นไปตามที่ผู้ป่วยแสดงเจตนาไว้
8. การดูแลผู้ป่วยที่กําลังจะเสียชีวิต (manage dying patient)
การเตรียมผู้ป่วย ได้แก่
1)ทำการปิดเครื่องติดตามสัญญาณชีพต่างๆ
2) ยุติการเจาะเลือด
3) ควรปิดประตูหรือปิดม่านให้มิดชิด
4) ทำความสะอาดใบหน้าช่องปากและร่างกายผู้ป่วย
5)ยุติการรักษาที่ไม่จำเป็น เช่น น้ำเกลือ
6) นำสายต่างๆที่ไม่จำเป็นออก เช่น NG tube
7) คงไว้เพียงการขอพรุ่งนี้
8) คุมอาการไม่สุขสบายต่างๆ
9) ควรทำการยุติการให้ผู้ป่วยได้รับยายนกล้ามเนื้อ
(neuromuscular blocking agent)
10)ให้ยาที่มักจำเป็นต้องได้ เช่น มอร์ฟีน
11) อธิบายครอบครัวถึงอาการต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น และวิธีการจัดการช่วงเวลานี้
12) ประเมินความสุขสบายของผู้ป่วยและเป็นการทำให้ญาติมั่นใจว่า
ทีมสุขภาพไม่ได้ทอดทิ้งผู้ป่วย
9. การดูแลจิตใจครอบครัวผู้ป่วยต่อเนื่อง (bereavement care)
หลังจากที่ผู้ป่วยเสียชีวิตไปแล้วทีมสุขภาพอาจทำการแสดงความเสียใจต่อการสูญเสีย