Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก - Coggle Diagram
การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก
ลักษณะของการเจริญเติบโตและพัฒนาการ
ความหมายของการเจริญเติบโตและพัฒนาการ
การเจริญเติบโต
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางร่างกายที่มีความเกี่ยวข้องกับ ขนาด น้ำหนัก ส่วนสูง กระดูก กล้ามเนื้อ รูปร่าง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงของปริมาณ เช่น ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น
พัฒนาการของมนุษย์ (Human Development)
หมายถึง การเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ในทางที่พึงปรารถนาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางด้านร่างกาย อารมณ์ ทางสังคม และทางสติปัญญา ซึ่งจะเกิดติดต่อกันไปเรื่อย ๆ จากระยะหนึ่งไปสู่อีกระยะหนึ่ง
ลักษณะของการเจริญเติบโตของเด็กในแต่ละวัย
1 ช่วงวัยของทารก
วัยทารก
หมายถึง ช่วงเวลาของชีวิตตั้งแต่กำเนิดสู่โลกภายนอก จนถึงอายุ 24 เดือนซึ่งสามารแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่างวัยแรกเกิด (infancy) และช่วงวัยทารก (babyhood)
ช่วงวัยทารกแรกเกิด
นับตั้งแต่คลอดจนถึง 2 สัปดาห์เป็นระยะที่ทารกฟื้นตัวจากการคลอด และมรการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะอุณหภูมิภายนอกครรภ์มารดา เนื่องจากขณะอยู่ในครรภ์มารดาจะอุณหภูมิระมาร 37 องศาเซลเซียส แต่คลอดออกมาแล้วจะอยู่ในอุณหภูมิประมาณ 37 องศาเซลเซียส
-
ช่วงวัยทารก
นับตั้งแต่อายุได้ 2 สัปดาห์ถึง 2 ปี ในช่วงวัยนี้ ทารกจะแสดงความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมภายนอก สามารถสื่อสารกับกับคนรอบตัวได้ดี
1 พัฒนาการทางด้านอารมณ์
เด็กวัยก่อนเรียนเป็นวัยที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุ่นแรงมาก เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็จะแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจน ล้มตัวลงนอนไปกับพื้น ดิ้นเร่าๆ ทุบตีผู้อื่น หรือกรีดร้องเสียดัง โดยลักษณะอารมณ์ของเด็กจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก
2 พัฒนาการทางด้านสังคม
เป็นวัยที่เริ่มแน่ใจตัวของตัวเองมากขึ้น มีความต้องการเป็นอิสระ ดังนั้นจึงเริ่มออกห่างจากพ่อแม่ ชอบที่จะมีเพื่อนเล่น จะเห็นว่าในช่วงต้นๆจะเล่นแบบต่างคนต่างเล่น แต่เล่นอยู่ในบริเวณเดียวกัน
3พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
โดยทั่วไปแล้ว พัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กก่อนวัยเรียนจะเป็นไปตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น
4 พัฒนาการทางด้านจริยะธรรม
เด็กอายุ 3 ขวบยังไม่รู้ว่าอะไรคือความผิดหรือความถูกต้องสามารถเรียนรู้กฎเกณฑ์ง่ายๆ รู้ว่าตนเองทำอะไรบางอย่างไม่ได้ เช่น ตนจะเตะเตาไฟไม่ได้
2.การเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กวัยเรียน
1 พัฒนาการด้านร่างกาย
โดยส่วนใหญ่การเจริญเติบโตด้านร่างกายจะเริ่มช้าลง ส่วนสูงจะเพิ่มร้อยละ 5-6 ต่อปี ปละเป็นร้อยละ 10 เมื่ออายุ 11-12 ขวบ โดยจะไปเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงวัยรุ่น
2 พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
เด็กเกิดกระบวนการคิดมากขึ้น สามารถเรียนรู้สิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดีขึ้น มีความเข้าใจในภาษาพูดมากขึ้นและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงอายุ 6-9ขวบ เด็กจะมีความสามารถในการใช้ภาษาอาศัยภาพเป็นสื่อเป็นส่วนใหญ่
3.พัฒนาการทางด้านอารมณ์สังคม
เด็กจะต้องมีการปนรับตัวอย่างมากในช่วงต้นชองวัย เนื่องจากการเข้าโรงเรียนจะต้องมีการปรับตัวเข้ากับครู เพื่อน และบรรยากาศในโรงเรียน ซึ่งแตกต่างออกไปจากบรรยากาศที่บ้าน โดยเด็กมักจะมีความเครียดอย่างมาก คิดว่าพ่อแม่ไม่รักตน การไปโรงเรียนคือการทำโทษ เด็กจะรู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจ และต้องเตรียมความพร้อมให้เด็กล่วงหน้าก่อนจะเข้าโรงเรียน และคอยช่วยเหลือเมื่อเด็กเกิดปัญหาในการเรียนหรือการเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่โรงเรียน
การเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น
1.วัยรุ่นและการเปลี่ยนแปลง
วัยรุ่น แปลว่า การเจริญเติบโตไปสู่วุฒิภาวะ และส่วนใหญ่วัยรุ่นอยู่ในช่วงอายุ 10 - 20 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
2.วัยรุ่นตอนกลาง อายุ 14-16 ปี เป็นช่วงที่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย
3.วัยรุ่นตอนปลาย อายุ 17 - 19 ปี หรือ 20 ปี เป็นช่วงวัยที่กำลังฝึกฝนอาชีพ
1.วัยแรกรุ่น อายุ 10-13 ปี เป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย
1.1.การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของวัยรุ่นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 10 - 13 ปี และจะลดอัตราการเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู้วัยรุ่นตอนกลาง สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายได้แก่
1.2. การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์ วัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์ที่ต่างจากวัยเด็กเป็นอย่างมาก ดังนี้
1.3.การเปลี่ยนเปลงทางด้านสังคม ช่วงวัยนี้จำทำตัวออกห่างจากทางบ้าน ไม่ค่อยคลุกคลีกับคนในบ้านสักเท่าไหร่ มักจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเพื่อนๆและทำกิจกรรมนอกบ้าน
1.4.การเปลี่ยนแปลงทางด้านสติปัญญา วัยนี้สติปัญญาจะพัฒนาสูงขึ้นจนมีความคิดเป็นรูปธรรม มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ สิ่งต่างๆได้มากขึ้น จนเมื่อพ้นช่วงวันรุ่นแล้วจะมีความสามารถทางสติปัญญาเหมือนผู้ใหญ่
1.วิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
2.วิตกกังกลกับอารมณ์ทางเพศที่สูงขึ้น
3.วิตกกังวลกลัวการเป็นผู้ใหญ่
4.วิตกกังวลในความงดงามของร่างกาย
5.ต้องการเป็นอิสระทำอะไรด้วยตนเอง
6.การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้า
7.ต้องการเป็นตัวของตัวเอง
8.ต้องการความถูกต้อง ยุคิธรรม
9.ต้องการความตื่นเต้นท้าทาย ความแปลกใหม่
10.ความอยากรู้อยากลอง
2.ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของวัยรุ่น มีผลมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
2.2.สิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเจริญเติบโต ถ้าเกิดในสิ่งแวดล้อมดีๆก็จะทำให่้พัฒนาการด้านต่างๆดีตามไปด้วยแต่ถ้าเกิดในสถานที่มีสิ่งแวดล้อมไม่ดี เช่น สถานเริงรมย์ ชุมชนแออัด ก็จะมีผลต่อการเจริญเติบโตตามไปด้วย
2.3.การอบรมเลี้ยงดู
1.ทัศนคติของพ่อแม่
2.ลักษณะการอบรมเลี้ยงดู
3.ความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
2.1.พันธุกรรม หมายถึง ปรากฎการณ์ที่สิ่งมีชีวิตถ่ายทอดลักษณะต่างๆ จากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง หรือเป็นลักษณะทางร่างกายและพฤติกรรมของบุคคลที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษโดยการสืบสายเลือด
ลักษณะพัฒนาการเด็กในแต่ละวัย
วัยทารก
อายุตั้งแต่ แรกเกิด-1ปี
เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่จะเป็นสิ่งบ่งบอกว่าลูกของเรามีพัฒนาการสมวัยหรือไม่ พัฒนาการของทารกจะเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาของแต่ละคน
วัยเตาะแตะ
อายุตั้งแต่ 1-3ปี
•ฝึกระเบียบวินัยในการช่วยเหลือตนเอง เช่น เก็บของเล่น ถอดเสื้อผ้า ตักข้าวกินเอง
•เด็กต้องทำสิ่งต่างๆด้วยตัวเองมากขึ้น
•ฝึกเรื่องการขับถ่าย โดยสังเกตสีหน้าท่าทางหรือคำพูด
•ฝึกรู้จักการรอคอย
•ส่งเสริมการเคลื่อนไหว เช่น วิ่งเล่น กระโดด ปีนป่าย
•ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรง
วัยก่อนเรียน
อายุตั้งแต่3-6ปี
•เด็กจะสามารถวาดรูปวงกลมได้ เริ่มรู้จักจำนวนง่ายๆ รู้จักสี
•รู้จักทำความเคารพ การกล่าวขอบคุณ และการขอโทษได้ รู้จักแสดงอารมณ์โกรธ ชอบงอน
•เด็ก5-6 ปี นับว่าเป็นเด็กโตและรู้เรื่องพอควร สามารถช่วยทำงานบ้านได้ และเข้าใจกติกา พร้อมทำข้อตกลง
การเจริญเติบโตของร่างกายทั่วไป
น้ำหนัก
เป็นผลรวมของการเจริญเติบโตของอวัยวะในร่างกาย น้ำหนักจะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อการประเมินภาวะโภชนาการ การชั่งน้ำหนักควรชั่งก่อนอาหารเช้า และควรใช้เครื่องชั่งเดิม ทารกควรชั่งโดยไม่สวมเสื้อผ้า เด็กเล็กและเด็กโต สวมเสื้อเบาๆ เอาสิ่งของหนักๆที่ติดตัวเด็กออก
ความยาวหรือความสูง
เกือบจะเป็นการเจริญเติบโตของกระดูกเพียงอย่างเดียว และไม่เปลี่ยนแปลงในภาวะขาดสารอาหารในระยะแรกๆเหมือนน้ำหนักตัว วิธีการวัดในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ให้วัดในท่านอนหงายศรีษะและปลายเท้าชิดขอบแต่ละด้านของเครื่องวัดอ่านความยาวเป็นเซนติเมตรหรือนิ้ว ส่วนในเด็กโต ให้เด็กทอดรองเท้า ยืนตรง ส้นเท้าชิดกัน เข่าตรง ส้นเท้า ก้น ส่วนบนของหลังบริเวณท้ายทอยชิดฝาผนัง แขนปล่อยลงข้างลำตัว
เส้นรอบศรีษะ
การวัดเส้นรอบศีรษะมีความสำคัญในการติดตามการเจริญเติบโตของสมอง การวัดเส้นรอบศีรษะจะใช้ประเมินการเจริญเติบโตของสมองในขวบปีต้นๆ ของอายุ ควรวัดเส้นรอบศีรษะในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีวิธีวัด วัดผ่านบริเวณหน้าผาก หรือขอบบนของกระดูกเบ้าตา ไปยังส่วนที่นูนที่สุดของท้ายทอย เรียกเส้นรอบศีรษะนี้ว่า fronto-occipital Circumfence ในเด็กชายจะมีเส้นรอบศีรษะโตกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย
เส้นรอบอก
มีการเปลี่ยนแปลงตามอายุ และความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง ส่วนมากจะใช้เปรียบเทียบกับความยาวรอบศรีษะ เพื่อดูการเจริญเติบโตของสมองกับลำตัวได้สัดส่วนกันหรือไม่ วิธีการวัด รอบอก วัดโดยผ่านหัวนมทั้ง 2 ข้าง วัดในเด็กอายุแรกเกิดถึง 2 ปี เมื่อแรกเกิดเส้นรอบอกจะน้อยกว่าเส้นรอบ เส้นรอบอกจะเท่ากับเส้นรอบศีรษะเมื่ออายุ 6-8 เดือน หลังจากนั้นเส้นรอบอกจะมากกว่าเส้นรอบศีรษะ ศีรษะประมาณ 2 เชนติเมตร ถ้าเส้นรอบอกน้อยกว่าเส้นรอบศีรษะ 4 เซนติเมตร แสดงถึงการเกิดก่อนกำหนด
ความหนาของไขมันใต้ผิวหนัง
ปริมาณไขมันใต้ผิวหนังสามารถใช้บอกภาวะโภชนาการของการเจริญเติบโตของไขมันใต้ผิวหนังและกล้ามเนื้อจะเป็นไปพร้อมๆกันกับการเพิ่มน้ำหนัก ใช้เครื่องมือวัดเรียกว่า Harpenden calipers จุดที่วัดคือกึ่งกลางของต้นแขนซ้ายที่ห้อย สามารถวัดไขมันใต้ผิวหนังได้ที่บริเวณมุมล่างของกระดูกสะบัก หรือวัดเส้นรอบกึ่งกลาง
การเจริญเติบโตของสัดส่วนลำตัวหรือโครงกระดูก
อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย
วัดจากความยาวของลำตัวช่วงบนจากศรีษะถึงหัวหน่าว เทียบกับความยาวของช่วงลำตัวช่วงล่าง วัดจากหัวหน่าวถึงปลายเท้า
แรกเกิด อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.7
6 เดือน อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.6
1ปี อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.5
2ปี อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.4
3 ปี อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.3
4ปี อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.25
5ปี อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.2
10ปี อัตราส่วนของช่วงบนต่อช่วงล่างของร่างกาย เท่ากับ 1.0
อัตราส่วนช่วงกางแขนต่อความสูง
เป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงของความยาวแขน โดยวัดความยาวของแขนขณะกางแขนออกในระดับแนวนอนจากปลายนิ้วกลางข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง
แรกเกิด Span น้อยกว่า Height
7ปี (ชาย) Span เท่ากับ Height
9ปี (หญิง) Span เท่ากับ Height
มากกว่า 9 ปี (ชาย) Span มากกว่า Height 2 cm
(หญิง) Span มากกว่า Height 0.5-0.8 cm
การเจริญเติบโตของฟัน
การนับจำนวนฟันและอายุที่ฟันซี่ต่างๆ เทียบกับค่ามาตราฐานจะสามารถบอกถึงอายุได้ ฟันมี2ชุด คือ ฟันน้ำนม 20 ซี่ เริ่มโผล่พ้นเหงือกเมื่ออายุ 6 เดือน หลังจากนั้นฟันขึ้นเฉลี่ยเดือนละ 1 ซี่ ดังนั้น สามารถคำนวณฟันได้จากอายุของเด็กหรือทราบอายุเด็กได้จากจำนวนฟัน ในเด็กอายุต่ำกว่า 2ปี
ใช้สูตร อายุเป็นเดือน = 6 + จำนวนฟัน
สำหรับทารกบางคนเกิดมาพร้อมกับมีฟันซี่เล็กๆ 1 หรือ 2 ซี่ จะต่างจากฟันน้ำนมปกติ คือ มีแต่ตัวฟัน ไม่มีรากฟัน เรียกว่า Predeciduous teeth มีสีขาวประกอบด้วยเคราตินเป็นส่วนใหญ่ สามารถจับโยกออกได้ง่าย แต่พบน้อย
ฟันแท้ มี 32 ซี่ ฟันกรามซี่แรกเริ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 ปี และซี่อื่นๆขึ้นตามลำดับ
ฟันกรามซี่แรก ขึ้นเมื่ออายุ 6-7 ปี
ฟันกัดซี่กลาง ขึ้นเมื่ออายุ 6-8 ปี
ฟันกัดซี่ข้าง ขึ้นเมื่ออายุ 7-9 ปี
เขี้ยว ขึ้นเมื่ออายุ 9-12 ปี
กรามน้อยซี่แรก ขึ้นเมื่ออายุ 10-12 ปี
กรามน้อยซี่ที่2 ขึ้นเมื่ออายุ 10-13 ปี
กรามซี่ที่2 ขึ้นเมื่ออายุ 12-13 ปี
กรามซี่ที่3 ขึ้นเมื่ออายุ 17-22 ปี
พัฒนาการเด็กของอนามัย
1 เดือน
สบตา จ้องหน้าแม่
วิธีที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
กินนมแม่อย่างเดียว
ยิ้มแย้ม มองสบตา เล่นคุยกับลูก
เอียงหน้าไปช้าๆ ให้ลูกมองตาม
2 เดือน
คุยอ้อแอ้ ยิ้ม • ชันคอในท่าคว่ำ
วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
เล่นกับลูกโดยแขวนของสีสด ห่างจากหน้าลูกประมาณ 1 ศอก ให้ลูกมองตาม
พูดคุยทำเสียงต่างๆ และร้องเพลง
3 เดือน
ชันคอได้ตรง เมื่ออุ้มนั่ง
ส่งเสียงโต้ตอบ
วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
อุ้มท่านั่ง พูดคุยทำเสียงโต้ตอบกับเด็ก
ให้ลูกนอนเปล หรืออู่ที่ไม่มืดทึบ
4 เดือน
ไข่วคว้า
หัวเราะเสียงดัง
ชูคอตั้งขึ้นในท่าคว่ำ
วิธีการที่พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการตามวัย
จัดที่ที่ปลอดภัยให้ลูกหัดคว่ำ คืบ
เล่นกับลูกโดยชูของเล่นให้ลูกไขว่คว้า
ชมเชย ให้กำลังใจลูก เมื่อลูกทำได้
6 เดือน
•รู้จักชื่อตนเอง เรียกแล้วหันมอง หันตามเสียงเรียกชื่
•ส่งเสียงสูงๆ ต่ำๆ เลียนเสียงได้บ้าง
•คว้าของมือเดียว และสลับมือถือของได้
•นั่งได้มั่นคงมากขึ้น
•ชอบโยนของทิ้งลงพื้น ชอบสังเกตุการเคลื่อนไหวของวัตถุ
แรกเกิด
หมั่นให้ความสนใจเมื่อเด็กร้องและอุ้มเด็กไว้ เพื่อให้เกิดความอบอุ่นและเชื่อมั่น มองสบตาเด็กอยู่ในระยะตื่น พยายามยิ้มทำสีหน้า แลบลิ้น ทำปากจู๋ พูดคุย ร้องเพลงระหว่างให้ลูกดูดนมแม่ ลูบไล้สัมผัส โอบอุ้มเด็กบ่อยๆ
9 เดือน
•บางคนอาจคลานขึ้นบันไดได้
•เวลาคลานมือได่มือนึงถือของได้
•บางคนนั่งลงจากท่ายืนได้
•ชอบปรบมือ เอาของเล่นเคาะกัน โยนของลงพื้น
•ชอบใช้นิ้วแหย่รู แงะของ
12 เดือน
ลุกยืนเองได้ ยืนได้ตรง แต่ชอบคลานมากกว่า ชอบพูดตาม
พูดเสียงอื่นๆได้มากขึ้น และจะฝึกพูดอยู่สม่ำเสมอ
15 เดือน
วัยนี้เริ่มมีทักษะการสื่อสารที่ก้าวหน้ามากขึ้น สามารถชี้แสดงความต้องการ และส่งเสียงโต้ตอบกับพ่อแม่ได้แล้ว แต่ความสามารถนี้ก็จะมาพร้อมกับความงอแง เเละเอาแต่ใจ
18 เดือน
สามารถเดินและใช้คำศัพท์พื้นฐานได้แล้ว ในวัยนี้ เด็ก ๆ ชอบเล่นและสำรวจ เริ่มเป็นอิสระและอาจชอบเล่นสมมติ และชี้ไปยังวัตถุที่ต้องการ นอกจากนี้ยังเริ่มเข้าใจว่าสิ่งของในบ้านใช้ทำอะไร เช่น ถ้วยหรือช้อน
2 ปี
จะพูด เดิน ปีนป่าย กระโดด วิ่ง และใช้พลังเต็มที่ มีวงศัพท์เพิ่มและเรียนรู้คำใหม่ตลอดเวลา สามารถแยกรูปทรงและสีได้ และอาจแสดงให้เห็นว่าอยากฝึกขับถ่าย เมื่อลูกน้อยเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เขาอาจเริ่มดื้อ และสำรวจโลกรอบตัว
3 ปี
สามารถเล่นและเรียนรู้ในรูปแบบที่ซับซ้อนเป็นระบบมากขึ้น มีจินตนาการที่สูง ลูกสามารถเปิดหนังสือทีละแผ่น ต่อก้อนไม้สูง 8 ชั้น รู้จักจำนวน 1-3 ชิ้น เริ่มนับเลขได้ และเริ่มหัดขีดเขียนตัวอักษรได้
4 ปี
มีทักษะการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น เรียนรู้วิธีควบคุมร่างกาย ทรงตัว มีพัฒนาการทางกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ที่แข็งแรงขึ้น ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น เริ่มวาดรูปหน้าคนและแขนขา รูปทรงต่าง ๆ เช่น วงกลม สี่เหลี่ยม
5 ปี
เด็กเริ่มพึ่งพาตนเอง เริ่มให้ความสนใจกับคนภายนอกครอบครัว เริ่มอยากออกไปเล่นซุกซน และมีคำถามเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวมากยิ่งขึ้น บอกแสดงความต้องการด้วยคำพูด เล่าเรื่อง ที่สื่อสารกับผู้อื่นให้เข้าใจได้ ลูกเริ่มพูดเป็นประโยคได้
6 ปี
ลูกเริ่มมีอารมณ์ขัน เข้าใจมุกตลก หรือแม้แต่การเล่นคำ คำผวนตลก ๆ บอกใครต่อใครเรื่องอายุของตัวเองได้ ใช้ตรรกะและเหตุผลได้ดี มีสมาธิที่ดีขึ้น สามารถตั้งใจทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ได้นานกว่า 15 นาที
การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย
ช่วงวัยทารกแรกเกิด
พัฒนาด้านร่างกาย
โดยส่วนใหญ่ทารกแรกเกิดจะมีน้ำหนักโดยเฉลี่ยประมาณ 3,100 กรัมและมีลำตัวยาวประมาณ 50 เซนติเมตร สัดส่วนของศีรษะต่อลำตัวของทารกแรกเกิดเป็น 1 ต่อ 4 จะมีแขนขาสั้นและงออยู่แทบตลอดเวลา มือและเท้าค่อนข้างเล็ก ผิวหนังอ่อนนุ่ม มีสีอมชมพู ผมเส้นเล็กอ่อนนุ่ม ตามหน้าผาก หลัง และแขนขามีขนอ่อนๆขึ้น ซึ่งจะค่อยๆร่วงไปในที่สุด โคงกระดูกอ่อน โดยเฉพาะกะโหลกศีรษะ จึงต้องจับด้วยความระมัดระวังกล้ามเนื้อยังมีน้อย และควบคุมการเคลื่อนไหวไม่ได้
•
พัฒนาการด้านทางด้านพฤติกรรม
ทำอะไรได้ไม่มาก เนื่องจากสมองและประสาทยังพัฒนาได้ยังไม่เต็มที่ พฤติกรรมของทารกแรกเกิดมีไว้เพื่อตอบสนองต่อการอยู่รอดของชีวิต เช่น การดิ้นไปมาของทารก หรือการหลับตาเมื่อมีแสงจ้า การรู้จักดูดนิ้วหรือหัวนิ้วหรือหัวนมแม่ที่มีผู้ใส่เข้าไปในปาก
ทารกแรกเกิดจะรับรู้สิ่งแวดล้อมโดยใช้อวัยวะสัมผัส คือ ตา หู จมูก ปาก และผิวหนังโดยในระยะแรกเกิดจะมองเห็นเป็นสีดำ ขาว และเทาจนเมื่ออายุได้ 2 สัปดาห์จะรู้จักแยกสีได้ ในด้านการได้ยินนั้น แรกเกิดจะไม่ค่อยได้ยิน ต่อมาเริ่มมีปฏิกิริยาเริ่มตอบสนองโดยเฉพาะเสียงสูงและดัง โดยการหยุดซะงักหรือเริ่มร้องไห้ เป็นต้นการติดต่อกับโลกภายนอกเป็นไปใน 2 ลักษณะได้แก่ การยิ้ม และการร้องไห้ ซึ่งใช้สื่อความเข้าใจกับคนเลี้ยงทำให้คนเลี้ยงมีปฏิกิริยาตอบโต้ เช่น พูดด้วย เอานมให้ดูด
•พัฒนาการทางด้านอารมณ์
อารมณ์ของทารกแรกเกิด มี 3 ลักษณะคือ ความรัก ความโกธร และความกลัว ซึ่งมีอิทธิพลมาจากคนรอบข้าง โดยเฉพาะมารดาซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดู หากมารดามียอมรับและเอาใจใส่ในตัวทารก ก็จะทำให้อารมณ์แจ่มใส่
• พัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพ
เป็นการพัฒนาตั้งแต่เกิด โดยระยะแรกนั้น เป็นผลมาจากพันธุกรรมต่อมาเป็นผลของสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยสิ่งแวดล้อมนั้นเริ่มมีความสำคัญมากตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ของแม่ หากทารกได้รับความกระทบกระเทือน เนื่องจากที่มารดาไม่ดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตนเอง ก็จะส่งผลกระทบด้วย
• การปรับตัวของทารกแรกเกิด
ต้องมีการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมภายนอกที่แตกต่างจากครรภ์มารดา และยังมีการปรับตัวในการหายใจการดูดและกลืน รวมถึงการขับถ่ายอีกด้วย
ช่วงวัยทารก
•พัฒนาทางด้านร่างกาย
เติบโตรวดเร็วมากกว่าวัยอื่น
- ส่วนสูงของทารก
แรกเกิดทารกจะมีส่วนสูงประมาณ 45-50 เซนติเมตร และเมื่อมีอายุได้ขวบปีแรก จะมีความสูงประมาณ 75 เซนติเมตร
- น้ำหนักของทารก
เมื่อแรกเกิดทารกจะมีน้ำหนักประมาณ 5 ของน้ำหนักตัวของผู้ใหญ่ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวชองเด็กจะพบว่าเป็น 2 เม่าของทารกวัยแรกเกิด เมื่ออายุได้ประมาณ 5เดือน และอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า และ 4 เท่า เมื่ออายุได้ 12 เดือนและ 30 เดือน
- ศรีษะและสมอง
เด็กแรกเกิดกะโหลกศรีษะยังมีกระดูกไม่เต็ม วัดรอบศีรษะไปประมาณ 33-37เซนติเมตร ในขณะที่สมองของเด็กแรกเกิดนั้นจะมีน้ำหนักประมาณร้อยละ 25 ของน้ำหนักสมองของผู้ใหญ่และในระยะ 6เดือน จะเพิ่มเป็นร้อยละ 50 เมื่ออายุได้ 4 ปีซึ่งนับว่าเป็นอวัยวะที่มีการพัฒนาการอย่างรวดเร็ว
- สัดส่วนของร่างกาย
โดยสัดส่วนของศีรษะต่อเมื่อแรกเกิด จะเท่ากับประมาณ 1:4 และเมื่อโตเต็มที่จะเป็น 1:7 ในขณะที่สัดส่วนของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
จะเป็นไปตามวัยและต้องอาศัยการทำหน้าที่ในส่วนอื่นของร่างกายประกอบกันด้วย เช่น การรับรู้ การเรียนรู้ และความรู้เรื่องภาษา โดยที่ในขวบปีแรกการรับรู้จะอาศัยอวัยวะสัมผัสต่างๆ เช่น ปาก จมูก มือ ลิ้น และผิวหนัง โดยที่พบว่าเมื่ออายุประมาณ 7-8 เดือนทารกจะสามารถเห็นความแตกต่างของใบหน้ามารดา กับใบหน้าบุคคลอื่นที่ไม่เคยพบได้และเมื่ออายุได้ประมาณ 1-2 ขวบทารกจะสามารถแยกแยะสิงของที่ที่มีรูปร่างและสีสันแตกต่างกันได้และแยกความแตกต่างระหว่างเสียงของสัตว์ เสียงของรถ และเสียงอื่นๆได้ ในช่วงปลายปีที่ 2 ของชีวิตก็จะสามารถแสดงความชอบสิ่งที่รับรู้ได้ เช่น ชอบรสหวาน ชอบสีบางสี หรือเสียงบางเสียงเป็นต้น
พัฒนาการทางด้านอารมณ์
แรกเกิดนั้นอารมณ์ของทารกที่สังเกตได้จะเป็นอารมณ์สงบหรืออารมณ์ตื่นเต้นเท่านั้น ต่อมาจะแยกแยะได้มากขึ้นตามอิทธิพลของสิ่งเร้า เช่น ความกลัว ความเกลียด เบิกบาน ร่าเริง เป็นต้น โดยทั่วไปอารมณ์ของทารกที่พบคือ อารมณ์รัก โกธร กลัว เบิกบานและอยากรู้อยากเห็น
พัฒนาการทางด้านสังคม
ในระยะ 2-3 เดือนแรกของชีวิต ทารกจะแสดงออกโดยสบตา การส่งเสียอือออ ต่อมาอายุได้ 6-7 เดือน จะแสดงความสนใจหรือผูกพันกับคนใกล้ชิดโดยเฉพาะมารดา
พัฒนาการทางด้านบุคลิกภาพ
เป็นไปตามวิธีการโต้ตอบชงพ่อแม่หรือคนเลี้ยงดูที่มีต่อทารก เช่น มารดาที่รักลูกแนบอก ทำให้ทารกเกิดความเชื่อมั่น และไว้วางใจต่อโลกมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากมารดาแสดงออกอย่างเย็นชา หรือกระแทกกระทั้น ทารกจะรับรู้ได้ และมีการรู้สึกขาดความเชื่อมั่น และมองโลกแง่ร้ายได้ในอนาคต
ช่วงวัยเด็ก
พัฒนาการของร่างกาย
อายุ 2 ปีจะเริ่มวิ่งได้อย่างดี สามารถที่จะเตะฟุตบอล โดนลูกบอลได้ ชี้บอกส่วนบนของอวัยวะต่างๆของร่างกายได้
อายุ 3 ปี เด็กในอายุขนาดนี้จะสามารถปีนป่ายและกระโดนโหนได้ เดินถอยหลัง ขี่รถสามล้อถีบ
อายุ 4 ปีจะสามารถเดินสลับขาขึ้นบันไดได้ กระโดดข้ามสิ่งของ หรือกระโดดขาเดียวได้ รวมถึงการเขย่งลายเท้าก็สามารทำได้เช่นกัน
อายุ 5 ปีเด็กสามารถกระโดดสลับขา หรือกระโดดเชือกได้ เต้นเป็นจังหวะ รวมถึงมีความสามารถในการทรงตัวเป็นอย่างดี
อายุได้ 6 ปี ในอายุขนาดนี้ เด็กวัยก่อนเรียน จะสามารถโดดจากที่สูง และสามารถเล่นฟุตบอลแบบคนโตได้ มีความสามารถในการทรงตัวมากยิ่งขึ้น
พัฒนาการทางด้านอารมณ์
เด็กวัยก่อนเรียนเป็นวัยที่มีอารมณ์ค่อนข้างรุ่นแรงมาก เมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็จะแสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างชัดเจน ล้มตัวลงนอนไปกับพื้น ดิ้นเร่าๆ ทุบตีผู้อื่น หรือกรีดร้องเสียดัง โดยลักษณะอารมณ์ของเด็กจะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก พัฒนาทางอารมณ์ของเด็กในวัยนี้จะไม่สารมารถจำแนกออกเป็นช่วงอายุในแต่ละปีได้อย่างชัดเจนนัก หากแต่พบว่าเมื่ออายุ 2-3 ปีเด็กจะมีอารมณ์อิจฉาริษยา โดยอารมณ์นี้จะลดลงเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
พัฒนาการทางด้านสังคม
เป็นวัยที่เริ่มแน่ใจตัวของตัวเองมากขึ้น มีความต้องการเป็นอิสระ ดังนั้นจึงเริ่มออกห่างจากพ่อแม่ ชอบที่จะมีเพื่อนเล่น จะเห็นว่าในช่วงต้นๆจะเล่นแบบต่างคนต่างเล่น แต่เล่นอยู่ในบริเวณเดียวกัน และอายุมากขึ้นจะเริ่มเล่นเป็นกลุ่มและจะเปลี่ยนเรื่อยๆ ตามลักษณะที่ตัวเองสนใจ
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
โดยทั่วไปแล้ว พัฒนาการทางด้านสติปัญญาของเด็กก่อนวัยเรียนจะเป็นไปตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น
พัฒนาการทางด้านจริยะธรรม
เด็กอายุ 3 ขวบยังไม่รู้ว่าอะไรคือความผิดหรือความถูกต้องสามารถเรียนรู้กฎเกณฑ์ง่ายๆ รู้ว่าตนเองทำอะไรบางอย่างไม่ได้ เช่น ตนจะเตะเตาไฟไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเข้าใจในเรื่องของความดี หรือความไม่ดีก็ได้ก็ตาม แต่เด็กเรียนรู้ว่าเขาจะเป็นเด็กดี เมื่อเขาประพฤติดีหรือประพฤติตามที่พ่อแม่บอกให้ทำ และเขาจะกลายเป็นเด็กไม่ดีเมื่อเขาประพฤติหรือกระทำในสิ่งที่พ่อแม่ไม่อนุญาตให้ทำ
ช่วงเด็กวัยเรียน
พัฒนาการด้านร่างกาย
การเจริญเติบโตด้านร่างกายจะเริ่มช้าลง ส่วนสูงจะเพิ่มร้อยละ 5-6 ต่อปี ปละเป็นร้อยละ 10 เมื่ออายุ 11-12 ขวบ โดยจะไปเพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วงวัยรุ่น โดยทั่วไปพบว่าเด็กชายจะมีส่วนสูงมากกว่าเด็กผู้หญิงในช่วงอายุ 6-10 ขวบ จากนั้นเด็กหญิงจะมีส่วนสูงมากกว่า เมื่ออายุ 11-15 ปี เด็กในวัยนี้จะมีการใช้กล้ามเนื้อในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ดีขึ้น โดยพบว่าเด็กชายจะมีความแข็งแรง ความว่องไวมากกว่าและมีโครงสร้างของร่างกายใกล้เคียงกับผู้ใหญ่มากกว่าในเรื่องของฟันนั้นพบว่าฟันน้ำนมจะเริ่มหักเมื่อมีอายุประมาณ 6 ขวบและจะมีฟันแท้ขึ้นครบเมื่ออายุประมาณ 18-30 ปี
พัฒนาการทางด้านอารมณ์สังคม
เด็กจะต้องมีการปนรับตัวอย่างมากในช่วงต้นชองวัย เนื่องจากการเข้าโรงเรียนจะต้องมีการปรับตัวเข้ากับครู เพื่อน และบรรยากาศในโรงเรียน ซึ่งแตกต่างออกไปจากบรรยากาศที่บ้าน โดยเด็กมักจะมีความเครียดอย่างมาก คิดว่าพ่อแม่ไม่รักตน การไปโรงเรียนคือการทำโทษ เด็กจะรู้สึกโดดเดี่ยว ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจ และต้องเตรียมความพร้อมให้เด็กล่วงหน้าก่อนจะเข้าโรงเรียน และคอยช่วยเหลือเมื่อเด็กเกิดปัญหาในการเรียนหรือการเข้ากลุ่มกับเพื่อนที่โรงเรียน
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
เด็กเกิดกระบวนการคิดมากขึ้น สามารถเรียนรู้สิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดีขึ้น มีความเข้าใจในภาษาพูดมากขึ้นและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได้มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงอายุ 6-9ขวบ เด็กจะมีความสามารถในการใช้ภาษาอาศัยภาพเป็นสื่อเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น การเรียนรู้ที่มีรูปภาพประกอบจึงช่วยดึงดูดความสนใจของเด็กอย่างมากและเมื่อเด็กมีอายุมากขึ้นก็จะสามารถใช้ภาษาได้ดีมากขึ้น โดยในช่วงอายุ 10-12 ขวบ เด็กจะเริ่มมีแนวคิดของตนเอง สามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจเองได้ มีลักษณะหุนหันพลันแล่นน้อยลง ชอบกิจกรรมรู้จักวางแผนและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มากขึ้นด้วย
ช่วงวัยรุ่น
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายของวัยรุ่นจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงอายุ 10 - 13 ปี และจะลดอัตราการเจริญเติบโตเมื่อเข้าสู้วัยรุ่นตอนกลาง สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกายได้แก่
1.ขนาดของร่างกาย
2.การเปลี่ยนแปลงของกระดูก
3.การเปลี่ยนแปลงของไขมันและกล้ามเนื้อ
4.การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้า
การเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์
วัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและอารมณ์ที่ต่างจากวัยเด็กเป็นอย่างมาก ดังนี้
1.วิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
2.วิตกกังกลกับอารมณ์ทางเพศที่สูงขึ้น
3.วิตกกังวลกลัวการเป็นผู้ใหญ่
4.วิตกกังวลในความงดงามของร่างกาย
5.ต้องการความรักความห่วงใย
6.ต้องการเป็นอิสระทำอะไรด้วยตนเอง
7.ต้องการเป็นตัวของตัวเอง
8.ต้องการความถูกต้อง ยุคิธรรม
9.ต้องการความตื่นเต้นท้าทาย ความแปลกใหม่
10.ความอยากรู้ อยากเห็น อยากลองสูง
การเปลี่ยนเเปลงทางด้านสังคม
ช่วงวัยนี้ทำตัวออกห่างจากบ้าน ไม่ค่อยคลุกคลีกับคนในบ้านสักเท่าไหร่มักจะใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆและทำกิจกรรมนอกบ้าน
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสติปัญญา
วัยนี้สติปัญญาจะพัฒนาสูงขึ้นจนมีความคิดเป็นรูปธรรม มีความสามารถในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น จนเมื่อพ้นช่วงวัยรุ่นแล้วจะมีความสามารถทางสติปัญญาเหมือนผู้ใหญ่
ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก
1.
การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
คือการถ่ายทอดลักษณะทางกายภาพจากพ่อแม่สู่ลูกผ่านยีน เช่น ความสูง น้ำหนัก โครงสร้างของร่างกาย สีของดวงตา สีผิว และแม้แต่สติปัญญา
2.
สิ่งแวดล้อม
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม มีบทบาทในการพัฒนาของเด็ก เช่น สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ความสัมพันธ์กับของครอบครัวและเพื่อน ซึ่งมีผลต่อการกระ
ตุ้นทางด้านร่างกายและจิตใจที่เด็กจะได้รับ
เพศของเด็ก
เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเจริญเติบโตทางร่างกายและพัฒนาการของเด็ก ซึ่งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงจะมีการเติบโตที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะ ใกล้วัยรุ่น เด็กผู้ชายมักจะสูงและแข็งแรงกว่าเด็กผู้หญิง แต่ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเติบโตเร็วกว่าเด็กผู้ชาย
4.
การออกกำลังกายและสุขภาพ
การทำกิจกรรม การเล่นกีฬาที่ช่วยให้ร่างกายได้รับความแข็งแรงเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มมวลกระดูก ดังนั้นการออกกำลังกายที่เหมาะสมช่วยให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี
5.
ฮอร์โมน
เป็นต่อมไร้ท่อและมีอิทธิพลต่อระบบการทำงานต่าวๆของร่างกาย ผลิตโดยต่อมต่างๆที่อยู่ในส่วนต่าวๆของร่างกาย เพื่อหลั่งฮอร์โมนที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ซึ่งความไม่สมดุลในการทำงานของร่างกายของต่อมฮอร์โมนลดลง อาจส่งผลให้เกิดข้อบกพร่องในการเจริญเติบโต
6.
โภชนาการ
เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเจริญเติบโตเพราะทุกส่วนที่ร่างกายต้องการในการสร้างและซ่อมแซมตัวเองมาจากอาหารที่เรากิน หากขาดสารอาหารอาจทำให้เกิดโรค ซึ่งส่งผลเสียต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก
7.
อิทธิพลของครอบครัว
มีผลกระทบลึกซึ้งที่สุดในการเลี้ยงดูเด็กและกำหนดวิธีการพัฒนาจิตใจและสังคม ไม่ว่าเด็กๆจะได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย
อิทธิพลทางภูมิศาสตร์
หรือสถานที่ที่อยู่อาศัย มีอิทธิพลอย่างมากต่อการที่เด็กเป็นอย่างไร โรงเรียน ชุมชนเป็นปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็ก การใช้ชีวิตที่มีคุณค่าล้วนมีบทบาทในการพัฒนาทักษาความสามารถและพฤติกรรมของเด็ก
9.
สถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว
กำหนดคุณภาพของโอกาสที่เด็กจะได้รับ ครอบครัวที่มีฐานะดีสามารถเสนอแหล่งเรียนรู้ที่ดีกว่าให้กับลูกของตนเอง และมีความช่วยเหลือเป็นพิเศษหากเด็กต้องการ และจากครอบครัวที่ยากจนกว่าอาจไม่สามารถเข้าถึงแหล่งการศึกษาและโภชนาการที่ดี เพื่อให้ได้เต็มศักยภาพ
10.การเรียนรู้เกี่ยวข้องกับการสร้างเด็กให้มีสภาพจิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม การเสริมสร้างกำลังเป็นองค์ประกอบของการเรียนรู้ที่มีกิจกรรม การออกกำลังกายและปรับปรุงเพื่อเสริมบทเรียนที่ได้เรียนรู้ของเด็ก