Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 46ปี เป็น Cervical cancer ระยะที่สอง
1…
ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 46ปี เป็น Cervical cancer ระยะที่สอง
1 วันก่อนมาโรงพยาบาลมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรงหลังได้รับเคมีบำบัด Admit หอผู้ป่วยสามัญหญิง เตียง 19 วันที่ 27/01/2565
ผู้ป่วย เพศหญิง อายุ 46 ปี ศาสนา พุทธ
ระดับการศึกษา ประถมศึกษาปีที่ 6 สถานภาพ สมรส อาชีพ ทำสวน ภูมิลำเนา จังหวัดสระแก้ว
-
-
-
-
ภาวะสุขภาพ
-
ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน
4เดือนก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดกะปริบกะปรอย ออกตลอดเวลายกของหนักจะไหลมาก มีอาการปวดท้องร่วมด้วย ไปตรงจชิ้นเนื้อที่โรงพยาบาลสระแก้ว พบ Mucin Producing adenocarcinoma, HPV-associated แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น CA cervix วันที่ 29/12/2564 พบว่ามะเร็งมีขนาด 8 เซนติเมตร อยู่ในระยะที่ 2 รักษาโดย CCRT เมื่อวันที่10/01/2565 จึงส่งต่อมาที่โรงพยาบาลมะเร็งชลบุรี และมีนัดใส่แร่ 4 ครั้ง เริ่มวันที่ 16/03/2565
1 วันก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีนัดให้เคมีบำบัด หลังทำเสร็จกลับบ้านพบว่ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียน รุนแรง
-
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
มารดามีโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
บิดามีโรคความดันโลหิตสูง
ปัจจัยพื้นฐาน
แบบแผนการดำเนินชีวิต ผู้ป่วยอาศัยอยู่กับบิดา มารดา สามีและลูกอีก 2 คน ประกอบอาชีพ ทำสวนผักขาย มีเวลานอนไม่เป็นเวลา เฉลี่ย 5ชั่วโมงต่อวัน ชอบรับประทานอาหารประเภทต้ม นึ่ง ชอบรสจัด ชอบกินผัก ไม่ดื่ม ชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ทุกชนิด
-
-
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
3) มีภาวะไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์เนื่องจากอาเจียน
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยบอกว่า "หลังจากได้รับยาเคมีบำบัด กลับบ้านมีคลื่นไส้อาเจียนรุนแรง กินไม่ได้ "
O: -ผู้ป่วยมีสีหน้าอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
-ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CL 91 mmol/L
K 3.4 mmol/L
Na 129 mmol/L
กิจกรรมการพยาบาล
- ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะไม่สมดุลของ อิเล็กโทรไลต์ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ตัวดี ไม่มีอาการสับสน เป็นต้น
- ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
- ติดตามและบันทึกสารน้ำเข้าและออกทุก8 ชั่วโมงเพื่อประเมินความสมดุลของน้ำในร่างกาย
- แนะนำให้ผู้ป่วยบ้วนปากด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำเกลือเจือจางหลังจากอาเจียนหรือรับประทานอาหารเสร็จ
4.ดูแลให้รับประทานอาหารทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง หลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด มันจัด รสจัด ควรดื่มน้ำอุ่น น้ำขิง น้ำส้ม หรือผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
- ดูแลให้รับยา Dexamethasone 8 mg Ondansetron 8 mg Plasil 10 mg ทุก 6 ชั่วโมง ตามแผนการรักษา เพื่อรักษาอาการคลื่นไส้อาเจียน ป้องกันความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ 5%/D/NSS 1000 ml IV drip 80 ml/hr เพื่อรักษาสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
- ติดตามผลแลป E'lyte เพื่อประเมินภาวะขาดสมดุลอิเล็กโทไลต์
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
- มีภาวะสมดุลของอิเล็กโทรไลต์
- มีอาการอาเจียนลดลง
เกณฑ์การประเมิน
- ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะไม่สมดุลของ อิเล็กโทรไลต์ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ตัวดี ไม่มีอาการสับสน เป็นต้น
- มีสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
PR 60-100 bpm
RR 14-20 bpm
Systolic 90-140 mmHg
Diastolic 60-90 mmHg
- ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
CL 98-107 mmol/L
K 3.5-5.1 mmol/L
Na 136-145 mmol/L
-
2) เสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะเนื่องจากใส่สายสวนปัสสาวะ
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยบอกว่า "มีไข้ หนาวสั่น "
O: ผู้ป่วยOn foley catheter
-ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Protein 2+
Blood 4+
Urobilinogen 1+
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
-ไม่เกิดภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
เกณฑ์การประเมิน
-ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะขุ่น มีเลือด
- มีสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
PR 60-100 bpm
RR 14-20 bpm
Systolic 90-140 mmHg
Diastolic 60-90 mmHg
- ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ UA อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- Urine culture ไม่พบเชื้อ
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะขุ่น มีเลือด
- ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
- ประเมินความสมดุลของน้ำในร่างกาย โดยบันทึกจำนวนน้ำเข้าและออกทุกวัน
- ให้การพยาบาลด้วยหลัก Aseptic technique
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับ Ceftriaxone 2 gm วันละ 1 ครั้งทาง IV และคอยสังเกตอาการหลังให้ยา
- ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์และสายสวนอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น และทุกครั้งหลังขับถ่าย
- กระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย
- ติดตามผลตรวจ UA ทางห้องปฏิบัติการเพื่อประเมินอาการติดเชื้อ
ประเมินผล วันที่ 4/02/2565 ผู้ป่วยไม่มีภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ไม่มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะสีเหลือง ใสดีไม่มีตะกอน ปริมาณปัสสาวะ 200ml
4) มีความวิตกกังวลเนื่องจากการเจ็บป่วย ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยบอกว่า "มีรู้สึกท้อแท้ คิดว่าโรคมันรุนแรงมาก และไม่หายได้ ทำไมต้องเกิดขึ้นกับตัวเองด้วย สามีก็ทำงานคนเดียว ลูกชายก็ยังเล็ก "
O: จากการสังเกต เวลาพูดคุยเกี่ยวกับโรคผู้ป่วยไม่สบตา หันหน้าไปทางอื่น แววตาเศร้า ถอนหายใจก่อนพูด"
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
-ผู้ป่วยมีความวิตก
กังวลลดลง
เกณฑ์การประเมิน
- ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น ยิ้มแย้ม
กิจกรรมการพยาบาล
- สร้างสัมพันธภาพกับมารดาด้วยการ
ทักทาย พูดคุยเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ
- เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และรับฟังด้วยความตั้งใจ
- เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ชักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับโรค และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโรค
- ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การรักษา ให้กับผู้ป่วยได้ทราบเพื่อให้เกิดความสบายใจ
- ประสานงานให้ผู้ป่วยได้สอบถามการดำ เนินโรคและแผนการรักษากับแพทย์เจ้าของไข้เพื่อคลายความวิตกกังวล
- แนะนำวิธีผ่อนคลายความเครียด เช่น
ฟังเพลง ทำสมาธิ กำหนดลมหายใจ อ่านหนังสือ หรือทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจและไม่ขัดต่อโรคหรือการรักษา
- แนะนำให้ญาติมาช่วยดูแลผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
- คอยแจ้งการรักษาและอาการของผู้ป่วยแก่ผู้ป่วยและญาติทุกครั้งหลังการรักษา
- ประเมินความวิตกกังวลของผู้ป่วยภาย
หลังให้การดูแลเพื่อปรับเปลี่ยนแผนการพยาบาล
ประเมินผล วันที่ 4/02/2565 ผู้ป่วยมีสีหน้าอ่อนเพลีย สอบถามผู้ป่วยบอกว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับ และยังบอกอีกว่าคิดถึงครอบครัวอยากกลับบ้าน แต่ก็กลัวว่าถ้าไปไหนไกลจากโรงพยาบาล ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะไม่ทัน
1) เสี่ยงต่อภาวะช็อกเนื่องจากมีเลือดออกทางช่องคลอด
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยบอกว่า "เลือดไหลทางช่องคลอดตลอด แบบกะปริบกะปรอย ไหลแรงเมื่อยกของหนัก"
O : - มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อย
-ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Hb 9.9 g/dL
Hct 29.9%
-Vaginal packing
กิจกรรมการพยาบาล
- ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะช็อกเช่น อ่อนเพลีย เหนื่อย หน้ามืดเวียนศีรษะ ชีพจรเต้นเบา ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
- ประเมินสัญญาณชีพทุก 4ชั่วโมง
- ดูแลช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันเพื่อลด
การใช้ออกซิเจน และให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดูแลให้ได้รับ LPRC 1 unit vein drip in 4 hr เพื่อเพิ่มปริมาณเม็ดเลือด
- ดูแลให้ได้รับ Transamin 250 mg ทุก 8 ชั่วโมงเพื่อรักษาภาวะเลือดออกทางช่องคลอด
- ดูแลให้รับประทานอาหารอ่อน อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับรักษาด้วย Vaginal packing เพื่อควบคุมเลือดออกทางช่องคลอด
- ติดตามและบันทึกสารน้ำเข้าและออกทุก8 ชั่วโมงเพื่อประเมินภาวะช็อก
- ติดตามประเมินผล และลงบันทึกทางการพยาบาลเพื่อนำมาปรับเปลี่ยนแผนการพยาบาลให้เหมาะสม
ประเมินผล
วันที่ 4/02/2565 ผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกตัวดี ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะช็อก สามารถช่วยเหลือตนเองได้ สามารถไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำและสระผมเองได้ แต่ยังคงมีอาการเหนื่อยแต่ลดลงจากเดิม
มีเลือดออกน้อยลง เปลี่ยนผ้าอนามัย 2 แผ่น แผ่นแรกไม่พบเลือด แผ่นที่2 มีเลือดออกมาจางๆเป็นจุดเล็ก off Vaginal packing แล้ว
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
- ไม่มีภาวะช็อกจากการมีเลือดออกทางช่องคลอด
- ไม่มีเลือดออกทางช่องคลอด
เกณฑ์การประเมิน
- ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะช็อกเช่น อ่อนเพลีย เหนื่อย หน้ามืดเวียนศีรษะ ชีพจรเต้นเบา ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
- ปัสสาวะมากกว่า 30 cc/hr
- มีสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
PR 60-100 bpm
RR 14-20 bpm
Systolic 90-140 mmHg
Diastolic 60-90 mmHg
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ CBC อยู่ในเกณฑ์ปกติ
4) มีภาวะท้องผูก เนื่องจากเคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย
ข้อมูลสนับสนุน
S:ผู้ป่วยบอกว่า "ไม่ได้ขับถ่ายอุจจาระมา 5 วันแล้ว ไม่สุขสบายอึดอัดท้อง"
O : ผู้ป่วยมีหน้าท้องแข็งตึง
Bowel sound 4 ครั้ง/นาที
กิจกรรมการพยาบาล
- ประเมินการถ่ายอุจจาระทุกวัน
- สังเกต บันทึกลักษณะ และระยะเวลาในการขับถ่าย
- ฟัง Bowel sound วันละ 1-2 ครั้งเช้า-เย็น
- แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากกว่า 6 – 8 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ลักษณะของอุจจาระนุ่ม ไม่ระคายเคืองลำไส้
- แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักสด ถั่ว ผลไม้ เพื่อเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย
- แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ร่วมกับการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกราน ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกรานแข็งแรงเพิ่มแรงบีบตัวของลำไส้ เพื่อกระตุ้นการขับถ่าย
- ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาระบาย หรือสวนอุจจาระเพื่อกระตุ้นให้มีการขับถ่ายอุจจาระ
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
- มีการขับถ่ายอุจจาระ
เกณฑ์การประเมิน
- มีสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
PR 60-100 bpm
RR 14-20 bpm
Systolic 90-140 mmHg
Diastolic 60-90 mmHg
- Bowel sound 4 ครั้ง/นาที
ประเมินผล
วันที่ 4/02/2565 ผู้ป่วยมีการขับถ่ายอุจาระเมื่อเช้า ลักษณะอุจจาระเป็นก้อนนิ่ม ไม่มีอาการปวดบิด Bowel sound 8 ครั้ง/นาที
พยาธิสภาพโรคมะเร็งปากมดลูก Cervical Cancer โรคมะเร็งปากมดลูก เกิดจากเซลล์บุของปากมดลูก บริเวณรอยต่อของเยื่อบุ Squamo-Columnar Junction มีการเจริญเติบโตผิดปกติทั้งขนาด รูปร่าง และ องค์ประกอบภายในเซลล์กลายเป็นรอยโรค และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ควบคุมไม่ได้ และเข้าสู่มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม สามารถแทรกซึมทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง จนกระทั่งกระจาย ไปยังอวัยวะอื่นๆได้ทางหลอดเลือดและระบบน้ำเหลืองของร่างกาย สาเหตุยังไม่แน่ชัด ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อHuman Papillomavirus) หรือ HPV ซึ่งมักจะติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในระยะแรกที่เป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมักจะไม่แสดงอาการ ผิดปกติใด ๆ แต่ในภายหลังเมื่อเริ่มเป็นหนักมากขึ้นร่างกาย จะเริ่มแสดงอาการผิดปกติ เช่น มีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด หรือตกขาวผิดปกติ และอาจมีอาการปวดร่วมด้วย
มะเร็งปากมดลูกแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้
• ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งจำกัดอยู่เฉพาะในบริเวณปากมดลูก
• ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งลุกลามไปบริเวณโดยรอบ เช่น ช่องคลอดส่วนบน เนื้อเยื่อที่อยู่ติดกับปากมดลูก
• ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งแพร่ไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง เช่น ช่องคลอดส่วนล่าง ต่อมน้ำเหลือง เนื้อเยื่อภายในอุ้งเชิงกราน
• ระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือออกนอกอุ้งเชิงกราน รวมทั้งปอด ตับ กระดูก
ผู้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 2 จึงทำให้มีอาการมีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริบกะปรอย ออกมากเวลายกของหนัก ร่วมกับมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
-
ยาที่ผู้ป่วยได้รับ
-
-
Carboplatin
-
คลื่นไส้ อาเจียน จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับยา
และอาจเกิดขึ้นเป็นเวลานานถึง 24 ชม.
จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง ภายใน3 - 4 สัปดาห์ หลังจากได้รับยา
เกล็ดเลือดลดลง ภายใน 3 สัปดาห์หลังได้รับยา
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-