Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 67 ปี 3 วันก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการเหนื่อยมากนอนราบไม่ไ…
ผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 67 ปี 3 วันก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการเหนื่อยมากนอนราบไม่ได้ ท้องบวม แพทย์ thoracentesis release 1,500 ml จากนั้นติดตามหลังทำพบ pneumothorax แพทย์ให้ Admit หอผู้ป่วย สก.6 เตียง 16 วันที่ 24 มกราคม 2564
1. ข้อมูลส่วนบุคคล
ผู้ป่วยเพศ
หญิง
อายุ
67 ปี
ศาสนา
พุทธ
ระดับการศึกษา
ประถมศึกษาปีที่4
สถานภาพ
หม้าย
อาชีพ
ไม่ได้ประกอบอาชีพ
ภูมิลำเนา
จังหวัด ราชบุรี
วันที่รับไว้ในโรงพยาบาล
: 24 มกราคม 2565
วันที่นิสิตรับไว้ในความดูแล
: 25 มกราคม 2565
การวินิจฉัยโรคครั้งแรก
: น้ำในเยื้อหุ้มปอด (Pleural Effusion )
การวินิจฉัยโรคหลังการรักษา :
ปอดรั่ว (pneumothorax)
การผ่าตัด
: Total or Simple mastectomy ข้างซ้ายเมื่อปี 62 ข้างขวาเมื่อปี 64
2. ปัจจัยพื้นฐาน
แบบแผนการดำเนินชีวิต
: ผู้ป่วยอาศัยอยู่กับลูกชาย ไม่ได้ประกอบอาชีพ อยู่บ้านทำงานบ้าน ทำอาหาร ทำงานบ้าน เลี้ยงไก่เลี้ยงเป็ด ชอบทำอาหารใส่บาตรตอนเช้าทุกวัน
สภาพที่อยู่อาศัย
: ลักษณะบ้านเป็นบ้านปูน 1 ชั้น มีห้องนอนส่วนตัว และห้องน้ำส่วนตัว อาศัยอยู่ในชุมชน ใกล้ตลาดสด ใกล้อนามัยบ้านปึก ไกลห้างสรรพสินค้า แต่สามารถเดินทางได้สะดวก
ระบบครอบครัว :
ครอบครัวเดี่ยว ผู้ป่วยมีลูก 2 คน เป็นลูกสาว 1 คน ลูกชาย 1 คน ปัจจุบันอาศัยอยู่กับลูกชาย 2 คน สามีเสียชีวิต
แหล่งประโยชน์
: ผู้ป่วยมีข้าวของเครื่องใช้อำนวยสะดวกครบครัน เช่น เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าว ทีวี เป็นต้น ได้รับเงินจากบุตรชาย และเงินผู้สูงอายุจากรัฐบาล และได้รับความช่วยเหลือจากลูกสาวและลูกชายเป็นอย่างดี
3. ภาวะสุขภาพ
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล
: 3 วันก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการเหนื่อยมาก ท้องบวม
ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน
:
-3 วันก่อนมาโรงพยาบาล เหนื่อยมาก นอนราบไม่ได้ ท้องบวม
-ผู้ป่วยเป็นมะเร็งเต้านมและมีการแพร่กระจายไปที่ตับ ปอด และกระดูก
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
: ผู้ป่วยมีโรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งเต้านม
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
: มารดาและบิดาของผู้ป่วยมีโรคประจำตัวคือโรคความดันโลหิตสูง
4. สรุปอาการก่อนรับผู้ป่วยไว้ในการดูแล
สรุปประเด็นปัญหาและแนวทางการรักษาที่ได้รับ พร้อมเหตุผล ก่อนรับไว้ในความดูแล
:ผู้ป่วยมีอาการหายใจเหนื่อย ท้องบวม นอนราบไม่ได้ ฟังปอดพบ lung decrease breath sound Right lung มาก่อนวันนัด แพทย์วินิจฉัย Pleural Effusion ทำ thoracentesis release 1,500 ml. CXR หลังทำ thoracentesis release พบ pneumothorax admit หออายุรกรรมหญิง รับไว้ในโรงพยาบาลวันที่ 24 มกราคม 2565
อาการแรกรับไว้ในความดูแลของนิสิต :
ผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 67 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการหายใจเหนื่อย ท้องบวม นอนราบไม่ได้ ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว คือ โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งเต้านม เคยผ่าตัดเต้านมข้างซ้ายเมื่อปี 62 ข้างขวาปี64 ปฏิเสธการใช้สารเสพติด ปฏิเสธการแพ้ยาแพ้อาหาร แรกรับผู้ป่วยมีระดับความรู้สึกดี Glasgow Coma score E4M6V5 = 15 คะแนน เคลื่อนไหวร่างกายได้น้อย motor power grade 4 ตรวจร่างกายพบหายใจเหนื่อย พบ lung decrease breath sound Right lung ท้องบวม สัญญาณชีพแรกรับ BT=36.2 C, PR=116 bpm, RR= 24bpm, BP=125/79 mmHg
สัญญาณชีพแรกรับ
:
BT=36.2 C, PR=116 bpm, RR= 24bpm, BP=125/79 mmHg,
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากพื้นที่การแลกเปลี่ยนแก๊สน้อยลง
ข้อมูลสนับสนุน
S : จากการซักประวัติผู้ป่วยบอกว่า “แต่ก่อนสามารถทำกิจวัตรได้เองหมด แต่พอเริ่มท้องบวมก็ไม่สามารถทำได้เอง เหนื่อยมากเดินไม่ไหว”
O : ผู้ป่วยหายใจเหนื่อย หน้าท้องบวม นอนราบไม่ได้
RR=24bpm
PR=116 bpm
ฟังปอด: Rt. Lung decrease breath sound
CXR: Rt. Lung pneumothorax
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ภาวะน้ำในปอดเป็นภาวะผิดปกติอันเกิดจากการสะสมของสารผิดปกติในช่องเยื่อหุ้มอวัยวะถ้าระบบน้ำเหลือง (lymphatic system) ถูกอุดตันบกพร่องหรือสารถูกดูดซึมกลับไม่เพียงพอจึงก่อให้เกิด effusion ได้ ภาวะที่ก่อให้เกิด effusion ยังสามารถพบได้ในภาวะความดันไฮโดรสเตติกเพิ่มขึ้นและการลดลงของ Oncotic pressure ทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง
ผู้ป่วยจึงเกิดระดับออกซิเจนในเลือดลดลง จะมีอาการและอาการแสดง เช่น หายใจหอบเหนื่อย หายใจไม่สะดวก นอนราบไม่ได้ แน่นหน้าอก มีอาการบวมที่แขนหรือขาผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย นอนราบไม่ได้ ท้องบวม ทำให้การหายใจไม่มีประสิทธิภาพผู้ป่วยจึงเสี่ยงต่อการพร่องออกซิเจน
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
-ไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะพร่องออกซิเจนแต่ละระดับ
Mild hypoxemia : PaO260 – 80 mmHg เช่น หายใจไม่สะดวก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย มึนงง เป็นต้น
Moderate hypoxemia : PaO240 -60 mmHg เช่น หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ปีกจมูกบาน ชีพจรเต้นเบา หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
Severe hypoxemia : PaO2 < 40 mmHg เช่น หายใจเหนื่อยหอบ อกบุ๋ม เขียว หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เจ็บหน้าอก ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว ความดันโลหิตต่ำ เพ้อ ชัก หมดสติ เป็นต้น
มีสัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT = 36.5 – 37.4 องศาเซลเซียส
PR= 60 – 100 bpm
RR = 14 - 20 bpm
Systolic 120-90 mmHg
Diastolic 90-60mmHg
O2 sat =95-100%
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ CXR: No pneumothorax
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
ประเมินภาวะพร่องออกซิเจนแต่ละระดับ
Mild hypoxemia เช่น หายใจไม่สะดวก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย กระสับกระส่าย มึนงง เป็นต้น
Moderate hypoxemia เช่น หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ปีกจมูกบาน ชีพจรเต้นเบา หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
Severe hypoxemia เช่น หายใจเหนื่อยหอบ อกบุ๋ม เขียว หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เจ็บหน้าอก ระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลว ความดันโลหิตต่ำ เพ้อ ชัก หมดสติ เป็นต้น
ประเมินสัญญาณชีพ โดยเฉพาะวัดอัตราการหายใจ วัดค่าความเข้มข้นออกซิเจน เพื่อประเมินระดับความรู้สึกตัวและการเปลี่ยนแปลงของอาการ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยการให้ High flow nasal cannula Flow 60 Fio2 4.5 ตามแผนการรักษา keep O2 ≥94% ตรวจสอบค่า FiO2 และอัตราไหล (flow rate) ตามแผนการรักษา รวมทั้งปรับอุณหภูมิ ของน้ำในเครื่องทำความชื้น (heated humidifier) ให้อยู่ที่ระดับใกล้เคียง 37 องศาเซลเซียสเพื่อให้ออกซิเจนมีความชื้นที่เหมาะสมกับทางเดินหายใจ
จัดท่านอนหงายศีรษะสูง (High Fowler) เพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้ดีขึ้น
ลดกิจกรรมการพยาบาลที่รบกวนการพักผ่อนของผู้ป่วย ดูแลให้ผู้ป่วยลดการทำกิจวัตรเพื่อให้ผู้ป่วย ได้รับการพักผ่อนเพียงพอ และเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
ดูแลจัดสิ่งแวดล้อม และของใช้ที่จำเป็นไว้ใกล้มือผู้ป่วยได้หยิบใช้สะดวก เพื่อเป็นการลดการใช้ออกซิเจนที่อาจเป็นสาเหตุกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก
ดูแลให้ผู้ได้รับการทำหัตถการ thoracentesis release(เจาะน้ำในช่องปอด) เพื่อลดของเหลวในช่องปอด
สอนและฝึกให้ผู้ป่วยใช้เทคนิคการหายใจแบบห่อปาก (Pursed-lip breathing) โดยให้ผู้ป่วยหายใจเข้าผ่านทางจมูกช้าๆพร้อมทั้งปิดปากนับ1….2…ในขณะที่หายใจเข้าจนกระทั่ง มีลมเต็มปอด จากนั้นให้หายใจออกช้าๆทางปากโดยห่อปากและเป่าลมออกให้เหมือนการเป่าเทียนเบาๆและช้าๆ เหมือนเป่าเปลวเทียนให้โบกสะบัด โดยไม่ทำให้เปลวเทียนดับ นับ 1…2…3...4…ขณะที่หายใจออก และให้ช่วงเวลาที่ใช้ในการหายใจออกนานกว่าการหายใจเข้าเป็น 2 เท่า จากนั้นกลับมาหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก เพื่อเพิ่มความดัน ภายในทางเดินหายใจและช่วยให้ทางเดินหายใจ เปิดโล่ง วิธีนี้จะช่วยให้อากาศที่ค้างอยู่ในปอดระบายออกได้ดีขึ้น ทำให้มีช่องว่างสำหรับสูดอากาศ ที่มีออกซิเจนเข้ามาในปอดมากขึ้น
สอนผู้ป่วยให้บริหารร่างกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อการหายใจเพื่อป้องกันอาการหายใจลำบาก
ประเมินและบันทึกสารน้ำเข้าออกในร่างกายเพื่อประเมินความสมดุลน้ำในร่างกายของผู้ป่วย
ติดตามผลการตรวจเอกซเรย์ปอดและติดตามอาการหลังให้การพยาบาล
ประเมินผล
วันที่25/01/2565
ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น ไม่มีอาการหายใจเหนื่อยหอบ ผู้ป่วยสามารถลุกนั่งได้เอง สามารถนอนราบได้
ประเมินผลตามเกณฑ์
ผู้ป่วยไม่มีภาวะพร่องออกซิเจน
สัญญาณชีพ
BT=36.5 องศาเซลเซียส
BP=139/89 bpm
RR= 20 bpm
PR= 78 bpm
O2 sat =100%
CXR: No pneumothorax
กิจกรรมของผู้ป่วย
ผู้ป่วยนอนพักพักผ่อนบนเตียง ไม่ทำกิจกรรมที่ต้องใช้ออกซิเจนเยอะ
ผู้ป่วยสังเกตอาการผิดปกติ เช่น หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก ให้รายงานพยาบาลหรือแพทย์ทันที
ผู้ป่วยฝึกการหายใจ
กิจกรรมของญาติ
ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมเพื่อลดการใช้ออกซิเจน
ญาติสังเกตอาการผิดปกติ เช่น หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก ให้รายงานพยาบาลหรือแพทย์ทันที
ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อในเอื้อต่อความสะดวกและสงบ เรียบร้อยเพื่อให้ผู้ป่วยได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำสารอาหารที่เพียงพอ
2.มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเนื่องจากขาดความรู้ในการปฏิบัติตัว
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นในร่างกายรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองในบริเวณที่ไกลจากมะเร็งปฐมภูมิ ซึ่งเซลล์มะเร็งมักไปยังส่วนอื่นทางกระแส เลือด หรือทางเดินน้ำเหลืองที่มีอยู่ทั่วร่างกาย โดยมะเร็งที่สามารถแพร่กระจายได้นั้น จำเป็นต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ การออกจากก้อนมะเร็งปฐมภูมิและเข้าสู่กระแสเลือดหรือทางเดินน้ำเหลืองเพื่อไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย จากนั้นเซลล์มะเร็งจะแนบติดกับผนังของหลอดเลือดหรือท่อน้ำเหลืองเพื่อผ่านไปยังอวัยวะอื่นซึ่งเป็นที่ที่มะเร็งจะเจริญเติบโตขึ้นได้ในที่สุดจึงได้มีความพยายามคิดค้นวิธีที่จะยับยั้งกระบวนการเติบโตและแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งเหล่านี้ขึ้น เช่น การผลิตยาเพื่อป้องกันการกระจายของเซลล์มะเร็งเข้าสู่กระแสเลือด จากการศึกษาพบว่ามีสารพันธุกรรมหรือสารบางอย่างบนผิวของเซลล์มะเร็งที่เป็นตัวกำหนดว่าเซลล์มะเร็งนั้นจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะใด เช่น จากการศึกษาพบว่ามีสารพันธุกรรมหรือสารบางอย่างบนผิวของเซลล์มะเร็งที่เป็นตัวกำหนดว่าเซลล์มะเร็งนั้นจะแพร่กระจายไปยังอวัยวะใด เช่น มะเร็งเต้านมมักแพร่กระจายไปที่กระดูก ปอด ตับ และสมอง
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
-ไม่เกิดอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนจากกระแพร่กระจายของมะเร็ง
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของมะเร็งปอด เช่น ไอเรื้อรัง ไอมีเลือดปน หายใจสั้นหายใจมีเสียงหวีด เจ็บบริเวณหน้าอกตลอดเวลา ปอดบวม เหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา น้ำหนักลด เป็นต้น
ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของมะเร็งตับ เช่น ปวดท้อง ท้องบวม น้ำหนักตัวลดลง เบื่ออาหาร รู้สึกอ่อนเพลีย ตัวเหลืองและตาเหลือง เป็นต้น
ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของมะเร็งกระดูก เช่น ปวดกระดูก พบการบวมแดง ข้อบวมเป็นต้น
ไม่เกิดการลุกลามของมะเร็งไปที่ตำแหน่งอื่น
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
ประเมินภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งปอด เช่น ไอเรื้อรัง ไอมีเลือดปน หายใจสั้นหายใจมีเสียงหวีด เจ็บบริเวณหน้าอกตลอดเวลา ปอดบวม เหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา น้ำหนักลด เป็นต้น
ประเมินภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งตับ เช่น ปวดท้อง ท้องบวม น้ำหนักตัวลดลง เบื่ออาหาร รู้สึกอ่อนเพลีย ตัวเหลืองและตาเหลือง เป็นต้น
ประเมินภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งกระดูกเช่น ปวดกระดูก พบการบวมแดง ข้อบวมกระดูกบาง เป็นต้น
ประเมินวัดสัญญาณชีพ สัญญาณทางระบบประสาท และตรวจวัดความอิ่มตัวของปริมาณออกซิเจนในเลือดทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และระดับความรู้สึกตัว
ประเมินความโล่งของทางเดินหายใจ ได้แก่ เสียงครืดคราด ของเสมหะ ปริมาณ สี ความเหนียวของเสมหะ การขยายตัวของทรวงอก ฟังเสียงลมผ่านปอด อัตราและจังหวะการหายใจ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยการให้ High flow nasal cannula Flow 60 Fio2 4.5 ตามแผนการรักษา keep O2 ≥94% ตรวจสอบค่า FiO2 และอัตราไหล (flow rate) ตามแผนการรักษา รวมทั้งปรับอุณหภูมิ ของน้ำในเครื่องทำความชื้น (heated humidifier) ให้อยู่ที่ระดับใกล้เคียง 37 องศาเซลเซียสเพื่อให้ออกซิเจนมีความชื้นที่เหมาะสมกับทางเดินหายใจ
ให้นอนพัก (Absolute bed rest) จัดท่านอนศีรษะสูง 90 องศา
บันทึกจำนวนน้ำเข้าออก อย่างถูกต้องทุกวัน ทุกเวร เพื่อประเมินความสมดุลของน้ำในร่างกายและค้นหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
9.จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบ ลดสิ่งกระตุ้น เพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและให้ผู้ป่วยพักผ่อนได้มากขึ้น ส่งผลให้ เลือดและออกซิเจนไปแลกเปลี่ยนที่ปอดดีขึ้น
ประเมินความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเองจากผู้ป่วยและญาติ พร้อมวางแผนการพยาบาลดูแลตนเองเมื่อผู้ป่วยกลับบ้านตามหลัก D-METHOD
D-Diagnosis :
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนของโรคมะเร็ง การรักษาที่ได้รับ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง การสังเกตอาการและอาการแสดงที่ผิดปกตอของภาวะแทรกซ้อน คือ ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งปอด เช่น ไอเรื้อรัง ไอมีเลือดปน หายใจสั้นหายใจมีเสียงหวีด เจ็บบริเวณหน้าอกตลอดเวลา ปอดบวม เหนื่อยง่ายหรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา น้ำหนักลด เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งตับ เช่น ปวดท้อง ท้องบวม น้ำหนักตัวลดลง เบื่ออาหาร รู้สึกอ่อนเพลีย ตัวเหลืองและตาเหลือง เป็นต้น าวะแทรกซ้อนของมะเร็งกระดูกเช่น ปวดกระดูก พบการบวมแดง ข้อบวมกระดูกบาง เป็นต้น
M-Medicine:
ให้คำแนะนำเกี่ยวกับยาที่ต้องรับประทานต่อที่บ้านทั้งวิธีการใช้ วิธีการเก็บรักษา การเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์จากยาการแก้ไขเบื้องต้น
E-Environment :
การเตรียมสภาพแวดล้อมที่บ้านให้เหมาะสมกับสภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง
T-Treatment:
ให้คำแนะนำการรักษาพยาบาลที่ต้องทำเมื่อกลับบ้านอย่างต่อเนื่อง เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจวัตร การสังเกตอาการที่ผิดปกติ
H-Health :
ผู้ป่วยมาตามนัดให้ยาเคมีบำบัด และการทำ thoracentesis release ทุกครั้ง รวมถึงการรักษาความสะอาดร่างกาย
O-Out patient:
การมาตรวจตามนัด หรือการติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน ในกรณีฉุกเฉินตลอดจนการส่งต่อผู้ป่วยให้ได้รับการดูแลต่อเนื่อง
D-Diet:
ให้คำแนะนำการรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับโรคและผู้ป่วยที่รักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัดมักมีปัญหาเม็ดเลือดขาวต่ำเป็นบางช่วง ทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ ควรระวังความสะอาดของอาหาร ได้แก่ ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ ก่อนรับประทานอาหาร และการหยิบอาหารสดบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ปลาดิบ ไข่สด ต้องล้างมือ ทำความสะอาดอุปกรณ์ เครื่องใช้ในการปรุงประกอบอาหาร ล้างผัก ผลไม้ให้สะอาด อาหารที่ปรุงสุกแล้วเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสม รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ การรับประทานอาหารนอกบ้านควรดูแลความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น สลัดผัก อาหารยำ น้ำแข็ง น้ำดื่มไม่สะอาด อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ
กิจกรรมของผู้ป่วย
ผู้ป่วยพักผ่อนให้เพียงพอ
ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับโรค
ผู้ป่วยมาตามนัดของแพทย์ทุกครั้ง
ผู้ป่วยปฏิบัติตามหลักD-METHOD
กิจกรรมของญาติ
ดูแลการทำกิจกรรมของผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาและสารอาหารตามแผนการรักษา
ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อผู้ป่วย ให้สงบ สะอาด และปลอดภัย
ดูแลให้ผู้ป่วยมาตามนัดแพทย์
สังเกตอาการผิดปกติให้รีบนำมาพบแพทย์ทันที
ประเมินผล
วันที่ 25/01/2565
ผู้ป่วยไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากมะเร็งที่ปอดคือ มีอาการเหนื่อย เนื่องจากมีน้ำในเยื้อหุ้มปอดจากพยาธิสภาพของโรคมะเร็ง แต่มีอาการดีขึ้นจากวันแรกรับ
ข้อมูลสนับสนุน
S: จากการซักประวัติผู้ป่วยบอกว่า 3 วันก่อนมาโรงพยาบาลมีอาการไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก และเคยมีมะเร็งเต้านมทั้ง2ข้าง แพทย์บอกว่ามีกระจายของมะเร็งไปที่ปอด ตับ และกระดูก
O: มีอาการท้องบวม หายใจลำบาก เหนื่อย นอนราบไม่ได้
มีโอกาสเกิดการติดเชื้อเนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลงเนื่องจากพยาธิสภาพของมะเร็ง
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ผู้ป่วยมะเร็งมีผลให้ระบบการสร้างเม็ดเลือดและระบบน้ำเหลืองมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องทำให้ติดเชื้อได้ง่าย อาจเกิดจากความผิดปรกติของเซลล์ต่าง ๆ ในระบบ ภูมิคุ้มกัน ในภาวะปกติเม็ดเลือดขาวชนิดแกรนูโลซัยต์ โมโนชัย และมาโครฟาจ จะทำหน้าที่เสมือนหนึ่ง ทหารกองหน้าในการต่อสู้ทำลายแบคทีเรียและเชื้อรา ผู้รุกรานเข้ามาในร่างกายเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้น เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ ลิมโฟซัยต์ natural killer หรือ NK cells มีบทบาทในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อต้านเชื้อโรค อย่างมาก ในผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีจำนวนเม็ดเลือดขาว ชนิดแกรนูโลซัยต์ต่ำ ซึ่งอาจจะเกิดจากโรคของผู้ป่วยเอง (เช่น acute leukemia) หรือเป็นผลจากการให้ ยาต้านมะเร็งก็ตาม จะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้ง่าย และการติดเชื้อนั้นมักจะรุนแรงและลุกลามไปอย่าง รวดเร็ว นอกจากนั้นหน้าที่ของเม็ดเลือดขาวเหล่านี้ในผู้ป่วยโรคมะเร็งก็ลดลงได้แก่ ความผิดปกติ ใน chemotaxis, phagocytosis และความสามารถ ในการฆ่าแบคทีเรียภายในเซลล์ ยาต้านมะเร็งและ การฉายรังสีรักษา จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้มีความผิด ปรกติในหน้าที่ของเม็ดเลือดขาวมากขึ้นไปอีก ในผู้ป่วยเหล่านี้จะมีการติดเชื้อแบคทีเรียทั้งชนิดกรัมบวก และกรมลบ รวมทั้งเชื้อราบางอย่าง เช่น Candida และ Aspergillus
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ไม่เกิดการติดเชื้อจากภูมิต้านทานต่ำ
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่พบอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ เช่น ไข้ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ใจสั่น ไอ หอบ เป็นต้น
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT = 36.5 – 37.4 oc
PR= 60 – 100 bpm
RR = 14 - 20 bpm
Systolic 120-90 mmHg
Diastolic 90-60 mmHg
ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ปกติ
WBC 4,500-10,000
N 40-70%
L 20-50%
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ เช่น ไข้ หายใจเร็ว หอบเหนื่อย ใจสั่น ไอ หอบ เป็นต้น
ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย
ล้างมือทุกครั้ง ก่อน-หลังให้การพยาบาลหรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งผู้ป่วย และให้การพยาบาลโดยใช้หลัก Aseptic Technique
หากมีการติดเชื้อ ดูแลให้ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาและเฝ้าระวังอาการข้างเคียง
ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้อากาศถ่ายเท สะอาด สงบ เพื่อลดการปนเปื้อเชื้อและช่วยให้ผู้ป่วยนอนหลับพักผ่อน
บันทึกปริมาณจำนวนน้ำที่ได้รับและขับออกใน 8 ชั่วโมง เพื่อประเมิความสมดุลของน้ำในร่างกาย
ติดตามผลโลหิตวิทยาโดยดูจากเม็ดโลหิตขาว (WBC) และค่า neutrophil เพื่อประเมินภาวะติดเชื้อ
8.ดูแลผู้ป่วยให้มีความสมดุลของน้ำและอิเล็กโตรไลท์โดยมีการติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการถ้าพบความผิดปกติรายงาน แพทย์ทราบเพื่อการแก้ไข
กิจกรรมของผู้ป่วย
ผู้ป่วยรักษาความสะอาดของร่างกาย
ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดอุบัติเหตุ
ผู้ป่วยสังเกตอาการและอาการแสดงที่ผิดปกติ เช่น มีไข้ หอบเหนื่อย หายใจเร็ว เป็นต้นหากมีรายงานแพทย์และพยาบาลทันที
กิจกรรมของญาติ
สังเกตอาการและอาการแสดงที่ผิดปกติ เช่น มีไข้ หอบเหนื่อย หายใจเร็ว เป็นต้นหากมีรายงานแพทย์และพยาบาลทันที
ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้อากาศถ่ายเท สะอาดเรียบร้อย
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาและอาหารตามแผนการรักษา
ประเมินผล
วันที่25/01/2565
ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อ
-สัญญาณชีพ
T=36.5 องศาเซลเซียส
BP=139/89 bpm
RR= 20 bpm
PR= 78 bpm
ไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
มีภาวะท้องผูกเนื่องจากการปฏิบัติตัวหลังได้รับยาบำบัดไม่ถูกต้อง
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
การขับถ่ายเป็นวิธีการหนึ่งที่จะรักษาความ สมดุลของร่างกายถือเป็นกิจกรรมขั้นพื้นฐานที่ จำเป็น สำหรับมนุษย์ กระบวนการขับถ่ายอุจจาระ (defecation) เริ่มขึ้นเมื่อกากอาหารถูกขับออกจาก ลำไส้ลงมาที่ลำไส้ตรง เกิด Defecation reflex โดย Sensory nerve fibers ในลำไส้ตรง ถูกกระตุ้นโดยการยืดขยายส่งสัญญาณไปที่ spinal cord แล้ว reflex กลับไปที่ Lower gastrointes tinal tract ทางระบบประสาทหาราชิมพาเธติก (parasympathetic) สัญญาณนี้จะกระตุ้นให้เกิด การเคลื่อนไหวของลำไส้อย่างแรง ที่สามารถขับสิ่งที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ ออกมา พร้อมทั้งทำให้เกิด reflex response ในส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น การหายใจแบบ deep breath บีบตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ซึ่ง reflex response เหล่านี้จะช่วยควบคุมการขับถ่ายทำให้ สามารถกลั้นอุจจาระได้ถ้ายังไม่สะดวก ที่จะถ่าย ในขณะนั้น โดยอุจจาระจะถูกเก็บกักไว้ที่ Anorectal angle โดยปกติอุจจาระที่ขับออกวันละ 200 มิลลิกรัม
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ผู้ป่วยไม่มีอาการท้องผูก
เกณฑ์การประเมินผล
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะท้องผูก เช่น ขับถ่าย 2-3 วัน/ครั้ง อุจจาระไม่สุด อุจจาระเป็นก้อนแข็ง อุจจาระเป็นสีดำ อุจจาละเป็นเม็ดเล็กๆ เป็นต้น
ไม่บ่นแน่นท้อง
bowel sound 4-6ครั้ง/นาที
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
ประเมินการขับถ่ายอุจจาระทุกวัน
2.แนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากกว่า 6 – 8 แก้วต่อวัน เพื่อช่วยให้ลักษณะของอุจจาระ
นุ่ม ไม่ระคายเคืองลำไส้ และแก้ไขภาวะขาดน้ำ
แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักบุ้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นการขับถ่าย
แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย หรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ร่วมกับการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกราน ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกรานแข็งแรงเพิ่มแรงบีบตัวของลำไส้ เพื่อกระตุ้นการขับถ่ายอุจาระออก
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยามะขามแขก รับประทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 1 ครั้งก่อนนอน
ประเมิน Bowel sound วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นเพื่อประเมินการเคลื่อนไหวของลำไส้
บันทึก และสังเกตลักษณะอุจจาระ สี และการมีเลือดปนหรือไม้
กิจกรรมของผู้ป่วย
ผู้ป่วยดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว/วัน
ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีกากใย
ผู้ป่วยเคลื่อนไหวร่างกาย หรือมีการออกกำลังกาย
กิจกรรมของญาติ
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับน้ำและอาหารที่ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
สังเกตอาการท้องผูก เช่น หน้าท้องโป่งตึง ไม่ขับถ่ายทุกวัน บ่นแน่นท้อง ให้รีบรายงานแพทย์และพยาบาลทันที
ประเมินผล
วันที่ 25/01/2565
ผู้ป่วยไม่มีการขับถ่ายมาแล้ว 3 วัน มีหน้าท้องโป่งตึง ผู้ป่วยบ่นแน่นท้อง ฟังเสียง Bowel sound ได้ 3 ครั้ง/นาที
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยบอกว่าไม่ขับถ่ายมา3 วันแล้ว ปกติเป็นคนขับถ่ายทุกวัน แต่เมื่อได้รับยาเคมีบำบัดก็ถ่ายยากขึ้น
O: มีหน้าท้องโป่งตึง
bowel sound 3ครั้ง/นาที
เสี่ยงต่อการเกิดพลัดตกหกล้มเนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายได้น้อยลง
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ไม่เกิดการพลัดตกหกล้ม
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
ประเมินรอยแผลจากการพลัดตกหกล้มของ ด้วยall
score ผู้ป่วยเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง และ
ประเมินระดับความรู้สึกตัวของผู้ป่วย เพื่อ
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงทราบความเสี่ยงใน
การพลัดตกหกล้ม
ประเมินกำลังกล้ามเนื้อของผู้ป่วย ทั้งแขนและขาทั้งสองข้างเพื่อทราบความเสี่ยงในการพลัดตก หกล้ม และการช่วยเหลือตนเองของผู้ป่วย
ประเมินกำลังกล้ามเนื้อของผู้ป่วย ทั้งแขนและขาทั้งสองข้างเพื่อทราบความเสี่ยงในการพลัดตก หกล้ม และการช่วยเหลือตนเองของผู้ป่วย
ดูแลช่วยจัดสิ่งแวดล้อมในห้องผู้ป่วยให้เป็นระเบียบ ไม่กีดขวางทางเดิน มีแสงสว่างเพียงพอ
ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มแก่ผู้ป่วย
กิจกรรมของผู้ป่วย
ผู้ป่วยระมัดระวังในการเกิดอุบัติเหตุ
ผู้ป่วยบริหารร่างกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
กิจกรรมของญาติ
ญาติคอยสังเกตและช่วยเหลือการทำกิจกรรมของผู้ป่วย เช่น การดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำ
ดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วยให้ปลอดภัย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ประเมินผล
วันที่ 25/01/2565
ผู้ป่วยไม่มีการเกิดพลัดตกหกล้ม ไม่พบบาดแผลการการพลัดตกหกล้ม
ผู้ป่วยสามารถสาธิตการปฏิบัติตัวขณะกลับบ้านได้ถูกต้องทุกข้อ
สัญญาณชีพ
BT=36.5 องศาเซลเซียส
BP=139/89 bpm
RR= 20 bpm
PR= 78 bpm
ประเมิน fall scales ได้1 คะแนน ไม่มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่เกิดพลัดตกหกล้ม ไม่พบบาดแผลตามร่างกาย
ผู้ป่วยและครอบครัวปฏิบัติตามคำแนะนำ เพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้มได้ถูกต้อง
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BT = 36.5 – 37.4 oc
PR= 60 – 100 bpm
RR = 14 - 20 bpm
Systolic 120-90 mmHg
Diastolic 90-60 mmHg
fall scales 0-1 คะแนน ไม่มีความเสี่ยงต่อการหกล้ม
ข้อมูลสนับสนุน
S: จากการซักประวัติผู้ป่วยบอกว่า เดินไม่ไหว เดินนิดหน่อยเหนื่อย ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เอง
O: - มีอาการหายใจเหนื่อยมาก นอนราบไม่ได้ ท้องบวมมาก
-fall score 5 คะแนน มีความเสี่ยงต่อการพลัดตดหกล้ม
-motor power grade 4
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
การพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ เป็นปัญหาที่พบใต้ การหกล้มเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการบาตเจ็บ ความพิการ หรือเสียชีวิตไต้ การพลัดตกหกล้ม เป็นปัญหาที่สามารถพบใต้โตยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ เนื่องจากใยกล้ามเนื้อที่มีขนาดและจำนวนลดลง หดตัวของกล้ามเนื้อจึงลดลงด้วย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มมากขึ้น สาเหตุของการพลัดตกหกล้มมีปัจจัยที่สำคัญ 2 ประการคือ ปัจจัยภายในบุคคล ซึ่งรวมปัจจัยทางต้านร่างกาย และปัจจัยทางต้านจิตใจและปัจจัยภายนอกบุคคล เช่นพื้นที่มีลักษณะไม่ปลอดภัย แสงสว่างที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น การหกล้มส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้สูงอายุทั้งทางต้านร่างกาย จิตใจ สังคม และยังกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโตยเฉพาะระบบบริการสุขภาพ ดังนั้นจึงควรมีการพยาบาลป้องกันการพลัดตกหกล้มแก่ผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลา
สูญเสียภาพลักษณ์เนื่องจากได้รับการผ่าตัดเต้านม
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
มะเร็งเต้านมเกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่อยู่ภายในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลเหล่านี้มีการแบ่งตัวผิดปกติ ไม่สามารถควบคุมได้ มักแพร่กระจายไปตามทางเดินน้ำเหลือง ไปสู่อวัยวะที่ใกล้เคียงเช่น ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ หรือแพร่กระจายไปสู่อวัยวะที่อยู่ห่างไกล เช่น กระดูก ปอด ตับ และสมองการผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งหมด (รวมผิวหนังส่วนที่อยู่เหนือก้อนมะเร็งและหัวนมด้วย) การผ่าตัดวิธีนี้เป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้กับผู้ป่วยที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ มีก้อนมะเร็งหลายก้อน เต้านมขนาดเล็ก หรือผู้ป่วยที่ไม่สะดวกหรือมีข้อห้ามในการฉายรังสีที่เต้านมหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อน ลดความรุนแรงและลด อัตราการตายของมะเร็งเต้านม แต่อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสูญเสียในสิ่งที่เคยมี ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอับอาย หรือเกิดความรู้สึกด้อยค่าได้
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
ผู้ป่วยรู้สึกตนเองมีคุณค่า มีความภาคภูมิใจในการเจ็บป่วยของตนเอง
เกณฑ์การประเมินผล
ผู้ป่วยไม่มีวิตกกังวล ยอมรับภาพลักษณ์ ของตนเอง
ผู้ป่วยไม่มีสีหน้าวิตกกังวล หรือเศร้าเมื่อพูดถึงเต้านมที่ถูกตัดออกไป
ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติตามเดิม
ผู้ป่วยสามารถพูดถึงอวัยวะที่สูญเสียไปได้อย่างภาคภูมิใจ
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วยเพื่อให้เกิดความไว้วางใจ
การพยาบาลด้วยความเป็นกันเองกับผู้ป่วย
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกถึงการสูญเสีย
สังเกตลักษณะและการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจ ของผู้ป่วย
อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจและยอมรับถึงความจำเป็นในการตัดเต้านม และหลังผ่าตัดสามารถใส่เต้านม เทียมโดยคนอื่นไม่รู้ได้และสามารถทำงาน ในอาชีพและกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
อธิบายให้ญาติเข้าใจว่า การสูญเสียเต้านม เป็นการคุกคามต่อความรู้สึกและภาพลักษณ์ของผู้ป่วย ญาติควรมีบทบาทในการช่วยปลอบโยนให้ผู้ป่วยคลาย ความวิตกกังวล เพิ่มความสนใจและดูแลอย่างใกล้ชิด จะช่วยให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจและมีกำลังใจในการเผชิญ ปัญหาและปรับตัวได้ดียิ่งขึ้น
กิจกรรมของผู้ป่วย
ผู้ป่วยรู้สึกภูมิใจกับการเจ็บป่วยของตนเอง
ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
กิจกรรมของญาติ
ญาติให้กำใจผู้ป่วย และเข้าใจเกี่ยวกับการเจ็บป่วย
ปฏิบัติกับผู้ป่วยแบบเดิมเพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกด้อยค่า
ประเมินผล
วันที่ 25/01/2565
ผู้ป่วยมีสีหน้าสดชื่น และเมื่อพูดถึงการผ่าตัดเอาเต้านมออกผู้ป่วยสามารถสบตาและพูดคุยได้แบบปกติ ไม่มีสีหน้าเศร้าหรือวิตกกังวล
ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้แบบปกติ
ข้อมูลสนับสนุน
S: ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดเต้านมออกทั้ง 2 ข้าง จากการสอบถามเกี่ยวกับเต้านมที่ถูกตัดออกไปผู้ป่วยจะไม่มองหน้า
O: ผู้ป่วยมีความวิตกกังวลเมื่อพูดถึงการเจ็บป่วย
ผู้ป่วยมีสีหน้าอ่อนเพลีย
การตรวจร่างกายตามระบบต่างๆ
ลักษณะทั่วไป : ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 67ปี รูปร่างสมส่วน ผมสั้น มีสีหน้าอ่อนล้า พบหายใจเร็วเหนื่อยหอบ ท้องบวม นอนราบไม่ได้ ระดับความรู้สึกตัวดี ถามตอบรู้เรื่องตรงประเด็น
สัญญาณชีพ : สัญญาณชีพแรกรับ
BT=36.2 oC, PR=116 bpm, RR= 24bpm, BP=125/79 mmHg,
ผิวหนัง : เท้าแห้งหลังจากได้รับยาเคมีบำบัด ผิวหนังมีความสม่ำเสมอ บริเวณเท้าผิวแห้งแตกลอก
ศีรษะ : ผมร่วงจากการทำเคมีบำบัด เส้นผมมีการกระจายตัวทั่วหัว ไม่พบรอยโรค ไม่พบการกดเจ็บ
ใบหน้า ตา : ใบหน้าสมมาตรกันทั้ง 2 ข้าง ไม่พบการบวมแดง
หู : ใบหูทั้งสองข้างสมมาตรกัน ไม่มีก้อน ไม่พบการกดเจ็บ ใบหูสะอาด ไม่มีหนอง ได้ยินชัดเจนทั้ง 2ข้าง
จมูก : จมูกมีความสมส่วนกับใบหน้า ไม่มีการกดเจ็บ รูจมูกไม่มีสิ่งคัดหลังไม่มีเลือดไม่มีหนอง
ปากและคอหอย :ริมฝีปากซีด และลอกเล็กน้อย กระพุ้งแก้ม และเหงือกสีชมพูไม่พบการอักเสบ
ลำคอ : คอตั้งตรง ไม่พบต่อมน้ำเหลืองโต ไม่พบอาการกดเจ็บ
ทรวงอก ทางเดินหายใจ และปอด : จากการซักประวัติผู้ป่วยบอกว่า 3 วันก่อนมาอาการผู้ป่วยมีอาการเหนื่อย หายใจร็ว
ทรวงอกสมมาตร พบการหายใจหอบเหนื่อย Rt. Lung decrease breath sound
หัวใจ: มีการเต้นของหัวใจปกติ
เต้านมและต่อมน้ำเหลือง: ตัดนมถูกตัดออกทั้ง2ข้าง และต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ถูกตัดออกทั้ง 2ข้าง
หน้าท้อง : จากการซักประวัติผู้ป่วยบอกว่ามีอาการท้องบวม และไม่มีการขับถ่ายมาเป็นเวลา 3 วัน หน้าท้องบวม ตึงแข็ง สีผิวสม่ำเสมอ ไม่พบการกดเจ็บ ไม่พบรอยโรค
ทางเดินปัสสาวะ : มีการปัสสาวะบ่อยครั้ง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เวลาไอ หรือจามแรงๆ
อวัยวะสืบพันธุ์ : จากการซักประวัติผู้ป่วยบอกว่า หมดประจำเดือนตั้งแต่ 10ปีที่แล้ว ไม่มีการเจ็บป่วยบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
ระบบกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ : มีการเคลื่อนไหวร่างกายได้เล็กน้อย เนื่องจากมีอาการเหนื่อย motor power grade 4
ต่อมน้ำเหลือง : ไม่พบความผิดปกติ
ระบบประสาท : ไม่พบความผิดปกติ
ยาที่ผู้ป่วยได้รับในปัจจุบัน
2% xylocaine : ผู้ป่วยได้รับการทำ thoracentesis release จึงต้องใช้ยาชาเพื่อระงับความรู้สึก
Folic acid : ผู้ป่วยเป็นมะเร็ง จึงทำให้ผู้ป่วยซีดเนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดแดงถูกแทนที่ด้วยเซลล์มะเร็ง
Ferrous Fumarate : เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับธาตุเหล็กและรักษาภาวะซีด
dextromethorphan :รักษาอาการไอจากการได้รับยาเคมีบำบัด
มะขามแขก : เพื่อรักษาอาการท้องผูก
plasil : รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการได้รับยาเคมีบำบัด
onsia : รักษาอาการคลื่นไส้ อาเจียนจากการได้รับยาเคมีบำบัด
Dexamethasone : ป้องกันการอักเสบจากการทำ thoracentesis release
fluimucil : แก้อาการได้รับพาราเซตามอลเกินขนาด
paracetamol : บรรเทาอาการปวด