Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

การพยาบาลผฝุ้ป่วยวิกฤติในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต, mcdc11_heartforafib…

- - - - ปริมาณเลือดที่ถูกปั๊มออกจากหัวใจ
      - แรงต้านการไหลเวียนของเลือด (กำหนดด้วยความแคบของเส้นเลือด)
        
        ถ้าปริมาณเลือดที่ถูกปั๊มออกจากหัวใจสูงขึ้นจะทำให้ความดันยิ่งสูงขึ้น ถ้าเราเปลี่ยนปั๊มน้ำเป็นตัวที่ใหญ่ขึ้นโดยใช้ท่อขนาดเดิม ยิ่งทำให้แรงดันในท่อสูงขึ้น
        
        ถ้าเส้นเลือดแคบลง จะทำให้เกิดแรงต้านการไหลเวียนของเลือด เหมือนกับแรงดันในระบบการจ่ายน้ำในบ้านเรา ถ้าเราไม่ทำความสะอาดท่อ ปริมาณตะกอนยิ่งมากขึ้น ทำให้ท่อแคบลงและเพิ่มแรงต้านการไหลเวียนของเลือดจนทำให้ความดันสูงขึ้น
  - - - การรักษาโดยไม่ใช้ยา คือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิต เช่น ลดอาหารเค็ม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลิกสูบบุหรี่ ควบคุมปริมาณแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนัก
      - การรักษาโดยการใช้ยา การรักษาความดันโลหิตสูงโดยการใช้ยาจะช่วยลดโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากความดันโลหิตสูงได้ โดยคนไข้แต่ละคนจะตอบสนองต่อยาชนิดต่างๆ ไม่เหมือนกัน ซึ่งแพทย์จะปรับยาให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน
  - - - ป้องกันการลดลงของความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว ในผู้ป่วยที่มีสมองขาดเลือดร่วมกับความดันโลหิตสูงวิกฤต ควรควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 180/105 มม.ปรอท ใน 24 ชั่วโมงแรก
- - - - ความหมาย ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว เกิดจากจุดปล่อย
        กระแสไฟฟ้า (ectopic focus) ใน atrium ส่งกระแสไฟฟ่าออกมาถี่และไม่สม่ำเสมอและไม่ประสานกัน ทําให้ atrium บีบตัวแบบสั่นพริ้วและคลื่นไฟฟ้าไม่สามารถผ่าน ไปยัง ventricle ได้ทั้งหมด
      - ประเภท
        
        Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา หรือการช็อคไฟฟ้า (Electrical Cardioversion)
        
        Persistent AF หมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา หรือการช็อคไฟฟ้า
        
        Permanent AF หมายถึง AFที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปี โดยไม่เคยรักษาหรือเคยรักษาแต่ไม่หาย
        
        4.Recurrent AFหมายถึง AF ที่เกิดซ้ํามากกว่า 1 ครั้ง
      - สาเหตุ พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหัวใจรูห์มาติก ภาวะหัวใจล้มเหลว ความดันโลหิตสูง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบผู้ป่วยหลังผ่าตัดหัวใจ (open heart surgery), hyperthyrodism
      - อาการและอาการแสดง
        
        อ่อนเพลีย
        
        เหนื่อยง่าย
        
        ใจสั่น
        
        ชีพจรเบา
      - การพยาบาล
        
        ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
        
        สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
        
        ดูแลให้ได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, amiodarone
        
        ดูแลให้ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษา
        
        เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ในการทํา Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
        
        เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation)
    - - ความหมายภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกําเนิดการเต้นของหัวใจ ในอัตราที่เร็วมากแต่สม่ำเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที อาจมีตําแหน่งเดียวหรือหลายตําแหน่ง ลักษณะ ECG ไม่พบ P wave ลักษณะ QRS complex
      - สาเหตุ พบบ่อยในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจตายบริเวณกว้าง (Myocardial infarction) โรคหัวใจรูหTมาติก (Rheumatic heart disease) ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
      - ประเภท
        
        Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30วินาที
        
        Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
        
        Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30 วินาที ซึ่งมีผลทําให้ไหลเวียนโลหิตในร่างกายลดลง
        
        Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
      - อาการและอาการแสดง
        
        ความดันโลหิตสูงต่ำ
        
        หน้ามืด
        
        ใจสั่น
        
        เจ็บอก
        
        หัวใจหยุดเต้น
      - การพยาบาล
        
        นําเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที
        
        คลําชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง
        
        ร่วมกับแพทย์ในการดูแลให้ได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลําชีพจรได้ร่วมกับ BP drop ให้เตรียมผู้ป่วยในการทํา Synchronized cardioversion
        
        ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลําชีพจรไม่ได้ (Pulseless VT) ให้เตรียมเครื่องDefibrillator
    - - หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เป็นจุดกําเนิดการเต้นของหัวใจตําแหน่งเดียวหรือหลายตําแหน่ง เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ ลักษณะ ECG จะไม่มี P wave ไม่เห็นรูปร่างของ QRS complex
      - สาเหตุ ที่ทําให้เกิด VF และ Pulseless VT มีดังนี้ Hypovolemia, Hypoxia, Hydrogen ion (acidosis), Hypokalemia, Hyperkalemia, Hypothermia, Tension pneumothorax, Cardiac tamponade, Toxins, Pulmonary thrombosis, Coronary thrombosis
      - อาการ
        
        หมดสติ
        
        ไม่มีชีพจร
        
        รูม่านตาขยาย
        
        เสียชีวิต
      - ข้อวินิจฉัย
        
        ปริมาณเลือดออกจากหัวใจในหนึ่งนาทีลดลงเนื่องจากความผิดปกติของ อัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ
      - การพยาบาล
        
        ป้องกันภาวะ tissue hypoxia โดยให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา
        
        ติดตามค่าเกลือแร่ในเลือด เพื่อหาสาเหตุนําของการเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
        
        ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยว่ามียาชนิดใดที่มีผลต่ออัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจ
        
        ติดตามและบันทึกอาการแสดงของภาวะอวัยวะและเนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยง (Tissueperfusion) ลดลง จากระดับความรู้สึกตัวลดลง ความดันโลหิตลดลง
        
        ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของ สัญญาณชีพ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยเฉพาะ (Tissueperfusiont)
        
        ทํา CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย ในกรณีเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง (lethal dysrhythmias)
- - - - เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เกิดได้จากหลายสมมติฐาน ทั้งการคั่งของน้ําและเกลือแร่ ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิต ภาวะเหล่านี้ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงอาการที่แย่ลง ทําให้มีปริมาณเลือดในหัวใจมากเกินไป เกิดพังผืด เซลล์ตาย กล้ามเนื้อหัวใจหนา เป็นผลให้ประสิทธิภาพการทํางานของหัวใจลดลง ร่างกายจึงมีการปรับสมดุล (compensatory mechanism) สารเหลวจากหลอดเลือดซึมเข้าสู่ถุงลม ส่งผลให้เกิดภาวะน้ําท่วมปอดเกิด congestive heart failure หากหัวใจห้องล่างขวาวาย (right heart failure)จะทําให้เกิดการคั่งของเลือดในหลอดเลือดทั่วร่างกาย เกิดภาวะน้ําเกิน หัวใจทํางานหนักมากขึ้น
  - - - 1.2 ดูแลให้ได้รับยาขยายหลอดเลือดตามแผนการรักษา
      - 1.3 ดูแลจํากัดสารน้ำและเกลือโซเดียม
      - 1.1 ดูแลให้ได้รับยาขับปัสสาวะตามแผนการรักษา
    - - 2.1 ดูแลให้ได้รับยาลด/ควบคุม จังหวะหรืออัตราการเต้นของหัวใจ
        
        2.2 ดูแลจํากัดกิจกรรมแบบสมบูรณ์ (Absolute bed rest) หรือช่วยในการทํากิจกรรม
        
        2.3 ดูแลควบคุมอาการปวดโดยให้ยาตามแผนการรักษา
  - - - 3.1 ยาเพิ่มแรงบีบตัวของหัวใจ เช่น digitalis (digoxin)
      - 3.2 ยารักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น amiodarone
      - 3.3 ยาขยายหลอดเลือดหัวใจเช่น nitroglycerine
      - 3.4 ยาขยายหลอดเลือด เช่น sodium nitroprusside (NTP)
      - 3.5 ยาที่ใช้ในช็อค เช่น adrenaline, dopamine
      - 3.6 ยาบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก เช่น morphine
      - 3.7 ยาละลายลิ่มเลือด เช่น coumadin
- - - - ประสาทส่วนกลาง
        
        กระสับกระส่าย ซึม หมดสติ
    - - หายใจเร็วลึก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ
    - - ปัสสาวะออกน้อย
    - - ตับอ่อนอักเสบ ดีซ่าน
    - - น้ําตาลในสูงหรือต่ำ
  - - - ค่าความดันโลหิตเฉลี่ย (MAP) มากกว่าหรือเท่ากับ 65 mmHg
      - การแก้ไขภาวะพร่องออกซิเจนของเนื้อเยื่อและการลดการใช้ออกซิเจน
      - การรักษาที่เฉพาะเจาะจงตามสาเหตุของภาวะช็อก เช่น การให้ยาปฏิชีวนะ
      - การแก้ไขความผิดปกติของภาวะกรดด่าง
  - - - 3.1 ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ(Septic shock) เกิดจากการติดเชื้อ (pathogen)ซึ่งเชื้อโรคจะมีการหลั่งชีวพิษในตัว (endotoxin)
      - 3.2 ภาวะช็อกจากการแพ้ (Anaphylactic shock) เกิดจากปฏิกิริยาของผู้ป่วยที่ได้รับ antigen กับantibody ของร่างกาย
      - 3.3 ภาวะช็อกจากการทํางานผิดปกติของต่อมหมวกไต (Hypoadrenal /adrenocortical shock) ภาวะช็อกที่ร;างกายไม;สามารถผลิต cortisol ในปริมาณมากพอกับความต้องการ
  - - - 1.1 ประเมินภาวะขาดออกซิเจน โดยการติดตามสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง
      - 1.2 ดูแลทางเดินหายใจให้โล
    - - 2.1 ดูแลให้สารน้ำและอิเล็กโตรไลท์ทดแทนตามแผนการรักษา
      - 2.2 ดูแลให้ยา (Dopamine, Dobutamine, Epinephrine Norepinephrine) เพื่อส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตตามแผนการรักษา
      - 2.3 ดูแลจัดท่านอนหงายราบ ยกปลายเท้าสูง 20-30 องศา เพื่อให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้ง่ายขึ้น
      - 2.4 ประเมินสัญญาณชีพ รวมถึงค่า MAP ทุก 1 ชั่วโมง เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วย
      - 2.5 ติดตามค่า CVP (ปกติ 8-12 cmH2O) เพื่อประเมินความเพียงพอของสารน้้ำภายหลังการได้รับการรักษา
    - - 3.1 ดูแลเตรียมให้ได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุ เช่น การทํา gastric lavage
      - 3.2 ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา
    - - 4.1 ให้ข้อมูล อธิบายเหตุผลก่อนทํากิจกรรมการพยาบาล
      - 4.2 ให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีส่วนร่วมในการวางแผนการพยาบาล