Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตในระบบหัวใจและการไหลเวียนโลหิต
2.ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac arrhythmias)
2.2))Ventricular tachycardia (VT) หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ด้วยอัตราที่เร็วมากแต่สม่ำเสมอ 150-250 ครั้ง/นาที
2.2.1))ประเภทของ VT
1.Nonsustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลาน้อยกว่า 30 วินาที
2.Sustained VT คือ VT ที่เกิดต่อเนื่องกันเป็นเวลานานกว่า 30 วินาที
3.Monomorphic VT คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex เป็นรูปแบบเดียว
Polymorphic VT หรือ Torsade คือ VT ที่ลักษณะของ QRS complex ไม่เป็นรูปแบบเดียว
2.2.2))อาการและอาการแสดง
รู้สึกใจสั่น
ความดันโลหิตต่ำ
เกิดอาการทันทีทันใด
หน้ามืด เจ็บหน้าอก
2.2.3))การพยาบาล
1.นำเครื่อง Defibrillator มาที่เตียงผู้ป่วยและรายงานแพทย์ทันที ให้ยาและสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
2.คลำชีพจร ประเมินสัญญาณชีพ ระดับความรู้สึกตัว เจ็บหน้าอก ภาวะเขียว จำนวนปัสสาวะ เพื่อประเมินภาวะเลือดไปเลี้ยงสมอง
3.ช่วยเหลือแพทย์ในการดูแลได้รับยาและแก้ไขสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ
4.ในผู้ป่วยที่เกิด VT หากคลำชีพจรแล้วเต้นช้าลงให้เตรียมผู้ป่วยในการทำ synchronized cardioversion
5.ในผู้ป่วยที่เกิด VT และคลำชีพจรไม่ได้ ให้เตรียมเครื่อง Defibrillator เพื่อทำการช็อกไฟฟ้าหัวใจ
6.ถ้าหัวใจหยุดเต้นให้ทำการ CPR ทันที
2.1))Atrial fibrillation (AF) คือ ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว
2.1.1)ประเภทของ AF
1.Paroxysmal AF หมายถึง AF ที่หายได้เองภายใน 7 วันโดยไม่ต้องใช้ยา
2.Persistent AF หมายถึง AF ที่ไม่หายได้เองภายใน 7 วัน หรือหายได้ดัวยการรักษาด้วยยา
3.Permanent AF หมายถึง AF ที่เป็นนานติดต่อกันกว่า 1 ปีโดยไม่เคยรักษาหรือรักษาไม่หาย
4.Recurrent AF หมายถึง AF ที่เกิดซ้ำมากกว่า 1 ครั้ง
5.Lone AF หมายถึง AF ที่เป็นในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 60 ปี ที่ไม่มีความผิดปกติของหัวใจ
2.1.2))อาการและอาการแสดง
อ่อนเพลีย
เหนื่อยเวลาออกแรง
ใจสั่น
คลำชีพจรที่ข้อมือเบา
2.1.3))การพยาบาล
1.ประเมินการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างต่อเนื่อง
2.สังเกตอาการและอาการแสดงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน สมอง ปอด แขนและขา
3.ดูแลได้รับยาควบคุมการเต้นของหัวใจ เช่น digoxin, beta-blocker,
calcium channelblockers, amiodarone
4.ดูแลได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามแผนการรักษา
5.เตรียมผู้ป่วยและอุปกรณ์ ในการทำ Cardioversion เพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะปกติ
6.เตรียมผู้ป่วยในการจี้ด้วยคลื่นไฟฟ้าความถี่สูง (Radiofrequency Ablation)
ในรายที่ไม่สามารถควบคุมด้วยยาได้
2.3)Ventricular fibrillation (VF) หมายถึง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ชนิดที่ ventricle เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่สม่ำเสมอ
2.3.2))การพยาบาล
1.เตรียมเครื่งมือ อุปกรณ์และยาที่ใช้ในการช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม
2.สิ่งที่สำคัญคือ การช็อกไฟฟ้าหัวใจทันที และการกดหน้าอก
2.3.1))อาการและอาการแสดง
หมดสติ
อาการเกิดทันที
รูม่านตาขยาย
ไม่มีชีพจร
2.4)การพยาบาล
2.ติดตามค่า electrolyte ในเลือด
3.ติดตามผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษา
1.ให้ออกซิเจนตามแผนการรักษา เพื่อป้องกันภาวะ tissue hypoxia
4.ติดตามและบันทึกอาการ จากระดับความรู้สึกตัว ความดันโลหิต สีของผิวหนังเขียว เป็นต้น
5.ติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ และคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
6.ดูแลการให้ยา antidysrhythmia ตามแผนการรักษา
7.เมื่ออาการผู้ป่วยแย่ลงให้ทำ CPR ร่วมกับทีมรักษาผู้ป่วย
1.ภาวะความดันโลหิตสูงวิกฤต (Hypertensive crisis)
1.2)สาเหตุ
การหยุดยาลดความดันโลหิตทันที
โรคไตวายเรื้อรังหรือเฉียบพลัน
โรคความดันโลหิตสูงกำเริบ
การใช้ยาบางชนิดที่ เช่น ยาคุมกำเนิด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์
1.1)ความหมาย
Target organ damage (TOD) หมายถึง ความผิดปกติของอวัยวะในร่างกายจากความดันโลหิตสูง เช่น การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง หัวใจห้องล่างซ้ายโต ภาวะโปรตีนขับออกมากับปัสสาวะ (microalbuminuria)
Cardiovascular disease (CVD) หมายถึง โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคของหลอดเลือดหัวใจโคโรนารี่ โรคหัวใจล้มเหลว
Hypertensive urgency คือ ภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงแต่ไม่มีอาการของการถูกทำลาย ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใน ICU
Hypertensive emergency หมายถึง ภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่า 180/120 mmHg. และมีการทำลายของอวัยวะในร่างกาย
1.3)อาการและอาการแสดง
กลุ่มอาการโรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน (Acute cardiovascular syndromes)
กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)
เจ็บแน่นหน้าอกแบบเฉียบพลัน/แบบไม่คงที่ (Unstable angina)
น้ำท่วมปอด (Pulmonary edema)
ภาวะเลือดเซาะในผนังหลอดเลือดเอออร์ต้า (Aortic dissection)
1.4)การซักประวัติและตรวจร่างกาย
ประวัติโรคประจำตัว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง
ประวัติการสูบบุหรี่
ประวัติความดันโลหิตสูงที่เป็นในสมาชิกครอบครัว
วัดความดันโลหิตเปรียบเทียบกันจากแขนซ้ายและขวา
การพยาบาล
1.ระยะเฉียบพลันให้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับอาการและอาการแสดงของระบบต่างๆ ได้แก่ neurologic, cardiac, and renal systems
2.ในระหว่างได้รับยาโดยติดตามความดันโลหิตอย่างใกล้ชิด
เพื่อป้องกันการลดลงของความดันโลหิตอย่างรวดเร็ว
3 .การรักษาด้วย sodium nitroprusside ตามแพทย์สั่ง โดยจะเริ่มให้ขนาด 0.3-0.5 mcg/kg/min และเพิ่มครั้งละ 0.5 mcg/kg/minทุก 2-3 นาที
4.ช่วยเหลือผู้ป่วยในการทำกิจกรรมต่างๆ
5.อธิบายและให้ความรู้ เกี่ยวกับข้อมูลการรักษาแก่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย
2.4)ภาวะช็อก (Shock)
2.4.2))ระยะของช็อก
1.ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะแรก (Compensated shock)
คือ การได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น ไดรับการรักษาและมีภาวะแทรกซ้อนเพียงเล็กน้อย
2.ภาวะช็อกที่สามารถชดเชยได้ในระยะท้าย (Decompensated shock)
คือ การได้รับการวินิจฉัยล่าช้า ทำให้การรักษาจะใช้เวลามาก และมีภาวะแทรกซ้อนมาก
3.ภาวะช็อกที่ไม่สามารถชดเชยได้ (Irreversible shock)
คือ การที่ได้รับการวินิจฉัยช้าเกินไป จนทำให้เซลล์ตาย ทำให้การรักษาในระยะนี้มักจะไม่ได้ผล
2.4.3))ประเภทของช็อก
2.Cardiogenic shock) เป็นภาวะช็อกที่เกิดจากหัวใจไม่สามารถลำเลียงเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย เนื่องจากปริมาตรเลือดในระบบไหลเวียนโลหิตไม่เพียงพอ
3.Septic shock เป็นภาวะช็อกจากการติดเชื้อ ซึ่งเชื้อโรคไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
1.Hypovolemic shock เกิดจากการลดลงของปริมาณของเลือดหรือสารน้ำในร่างกาย ทำให้ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจลดลง
4.Anaphylactic shock เป็นภาวะช็อกจากการแพ้ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาที่ได้รับ antigen กับ antibody ของร่างกาย ทำให้เกิด hypersensitivity type I ซึ่ง IgE
5.Hypoadrenal / adrenocortical shock เป็นภาวะช็อกจากการทำงานผิดปกติของต่อมหมวกไต ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิต cortisol ได้ ในขณะที่ร่างกายเกิดความเครียด
6.Obstructive shock เป็นภาวะช็อกจากการอุดกั้นการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจ จากการอุดกั้นการไหลเวียนเลือดของหัวใจห้องซ้าย
7.Neurogenic shock เป็นภาวะช็อกจากความผิดปกติของระบบประสาท จากความบกพร่องในการควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ สาเหตุมาจากการบาดเจ็บของไขสันหลัง
2.4.1))ความหมาย
เป็นภาวะที่เกิดความผิดปกติจากปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปเลี้ยงเนื้อเยื่อทั่วร่างกายน้อยกว่าความต้องการของร่างกาย ทำให้เกิดความผิดปกติขอบการทำงานของอวัยวะ
มีการขาดออกซิเจนในระดับเซลล์ (Cellular dysoxia)
2.4.4))อาการและอาการแสดง
ชีพจรเบาเร็ว หัวใจเต้นผิดจังหวะ
หายใจเร็วลึก ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ
กระสับกระส่าย ซึม หมดสติ เซลล์สมองตาย
ปัสสาวะออกน้อย
น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ ภาวะร่างกายเป็นกรด
2.4.5))การพยาบาล
4.ดูแลให้ยาตามแผนการรักษา เช่น Dopamine, Dobutamine, Epinephrine Norepinephrine
5.ดูแลจัดท่านอนหงายราบ และยกปลายเท้าสูง 20-30 องศา
3.ดูแลการได้รับสารน้ำและอิเล็กโตรไลท์ทดแทน ตามแผนการรักษา
6.ประเมินสัญญาณชีพ ทุก 1 ชั่วโมง
2.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ เพื่อให้ระบบทางเดินหายใจโล่ง และมีการถ่ายเทอย่างเพียงพอ
7.บันทึกปริมาณสารน้ำเข้า และติดตามปริมาณปัสสาวะทุก 1-2 ชั่วโมง
(keep urine output >= 0.5 ml/kg/hr.)
1.ประเมินภาวะขาดออกซิเจน โดยการติดตามสัญญาณชีพทุก 1 ชั่วโมง
8.ติดตามการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึกตัว
9.ดูแลให้รับการช่วยเหลือจากอุปกรณ์พิเศษต่างๆ
3.ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน (Acute Heart Failure :AHF)
3.1)ความหมาย
การเกิดอาการและอาการแสดงของภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรวดเร็ว จากการทำงานผิดปกติของหัวใจทั้งการบีบตัวหรือการคลายตัวของหัวใจ
มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ
มีการเสียสมดุลของ preload และafterload
3.3)กลุ่มอาการและอาการแสดง
1.Acute decompensated heart failure คือ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นเฉียบพลันแต่ไม่มีอาการรุนแรงมาก
2.Hypertensive acute heart failure คือ กลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลวที่มีปอดบวมน้ำ แต่การทำงานของหัวใจห้องล่างซ้ายปกติ
3.Pulmonary edema คือ ปอดบวมน้ำอย่างชัดเจนจากภาพถ่ายรังสีทรวงอก และค่า O2 sat < 90%
4.Cardiogenic shock คือ ภาวะที่ร่างกายมี poor tissue perfusion มีค่า systolic ต่ำกว่า 90 mmHg และมีปัสสาวะออกน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hr.
5.High output failure คือ ภาวะหัวใจล้มเหลวโดยมีปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีสูงกว่าปกติ มีหัวใจเต้นเร็ว ปลายมือเท้าอุ่น
6.Right heart failure คือ ภาวะที่หัวใจด้านขวาทำงานล้มเหลว มีปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง และมีภาวะความดันโลหิตต่ำ
3.4)การพยาบาล
1.ดูแลได้รับยาตามแผนการรักษา
5.ดูแลให้ได้รับสารน้ำและอาหารอย่างเพียงพอตามแผนการรักษา
3.ดูแลจัดท่านอนศรีษะสูง
2.ดูแลจำกัดกิจกรรมแบบ Absolute bed rest
4.ดูแลให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
6.ดูแลติดตามการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ประเมินสัญญาณชีพทุก 1-2 ชั่วโมง
7.ดูแลติดตามและบันทึกค่า CVP, PCWP
8.สังเกตและบันทึก ปริมาณปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง (keep urine output >= 0.5 ml/kg/hr.)
9.จัดสภาพสิ่งแวดล้อมให้สามารถการนอนหลับพักผ่อนได้อย่างสบาย
10.ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.2)สาเหตุ
โรคหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
ภาวะหัวใจวาย
ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
หลอดเลือดปอดอุดตันเฉียบพลัน
กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงจากความผิดปกติอื่นๆ