Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยระบบหัวใจและระบบหลอดเลือด - Coggle Diagram
การพยาบาลผู้ป่วยระบบหัวใจและระบบหลอดเลือด
ภาวะหัวใจล้มเหลว
(Heart failure)
ภาวะหัวใจล้มเหลว คือ ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอจนส่งผลให้อวัยวะต่างเกิดการขาดออกซิเจน นอกจากนั้นหัวใจซึ่งทำหน้าที่เหมือนปั๊มน้ำ เพื่อส่งเลือดออกจากห้องหัวใจ เมื่อหัวใจมีความบกพร่องในการสูบฉีดเลือด จะส่งผลให้เกิดมีภาวะคั่งของเลือดหรือน้ำในห้องหัวใจตามมาได้ และเกิดการล้นกลับไปที่ปอด หรือเกิดภาวะที่เรียกว่าน้ำท่วมปอด
อาการแสดงจากภาวะหัวใจล้มเหลวได้แก่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หน้ามืด ไตวาย ซึ่งเป็นผลจากอวัยวะสำคัญขาดออกซิเจนเรื้อรัง และอาการเหนื่อยจากภาวะน้ำท่วมปอด นอนราบไม่ได้ หน้าบวม ขาบวม ซึ่งเกิดจากกลไกที่มีน้ำคั่งอยู่ในร่างกาย
สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว
โรคหัวใจล้มเหลวเป็นกลุ่มอาการที่มีสาเหตุจากโรคอื่นได้หลายชนิด แต่สาเหตุอันดับหนึ่งยังคงเกิดจากผลแทรกซ้อนของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีสาเหตุอื่นอีก เช่น ไข้หวัดหรือเชื้อไวรัสบางชนิด โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภท การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือการที่เคยได้รับเคมีบำบัดหรือการฉายแสงมาก่อน เป็นต้น
มุ่งเน้นในการแก้ไขโรคที่เป็นสาเหตุของภาวะนี้ เช่น ถ้าเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ผู้ป่วยก็ควรได้รับการฉีดสีสวนหัวใจ เพื่อพิจารณาแก้ไขหลอดเลือดโดยเร็วที่สุดเพื่อหยุดยั้งการดำเนินโรค 2.การรักษาโดยการใช้ยาเพื่อชะลอการดำเนินโรคและฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ 3. ปรับควบคุมปริมาณน้ำในร่างกายโดยการคุมอาหาร ปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวัน และการปรับยาขับปัสสาวะอย่างเหมาะสม 4. การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจเพื่อช่วยในการบีบตัว ตลอดจนใส่เครื่องกระตุกหัวใจหัวใจ ในผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้
เยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ
เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ คือ การอักเสบของเนื้อเยื่อห่อหุ้มหัวใจซึ่งมี 2 ชั้น หุ้มล้อมรอบหัวใจและส่วนของหลอดเลือดใหญ่ทั้งหมดที่ต่อเข้ากับหัวใจ ระหว่างเยื่อหุ้มหัวใจจะมีสารน้ำสีเหลืองใสปริมาณ 15-50 มิลลิลิตร ช่วยลดแรงเสียดทานให้หัวใจเต้นได้อย่างสะดวก
สาเหตุ การอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย การอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ เช่น หัวใจขาดเลือด การบาดเจ็บ การปริแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ใกล้หัวใจ มะเร็งบริเวณทรวงอก การฉายรังสีบริเวณทรวงอก การอักเสบจากภาวะตอบสนองของร่างกายหรือโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic Lupus Erythematosus: SLE) ไข้รูมาติก รูมาตอยด์
อาการ เจ็บหน้าอก มีลักษณะเจ็บแปลบหรือแน่นรุนแรงบริเวณกลางหน้าอกหรือด้านซ้าย ร้าวไปคอ แขนหัวไหล่ หรือบริเวณสะบักข้างซ้าย อาการมากขึ้นเมื่อหายใจเข้าหรือไอหรืออยู่ท่านอน ทุเลาลงเมื่อนั่งโน้มตัวมาข้างหน้า มีไข้ อ่อนแรง หายใจลำบากหรือหายใจเร็ว ไอ ใจสั่น กรณีที่เป็นการอักเสบเรื้อรังอาจไม่มีอาการเจ็บหน้าอก ในขั้นรุนแรงอาจมีอาการท้องบวม ขาบวม และภาวะความดันโลหิตต่ำ
การรักษา เป้าหมายของการรักษาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก การอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ และต้นเหตุของการอักเสบ ในขั้นต้นแพทย์อาจสั่งยาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บและลดการอักเสบ และให้พักรักษาตัวที่บ้าน หากการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อ แพทย์อาจให้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลและให้ยาปฏิชีวนะ หากมีภาวะบีบรัดหัวใจ คือมีของเหลวในถุงเยื่อหุ้มหัวใจ ต้องได้รับการรักษาโดยการเจาะน้ำในช่องเยื่อหุ้มหัวใจออก โดยใช้เข็มและท่อขนาดเล็กระบายน้ำออกมา หากการอักเสบเรื้อรังจนทำให้เยื่อหุ้มหัวใจมีการหนาตัวเป็นพังผืดและมีหินปูนเกาะ ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจโดยเฉพาะช่วงที่หัวใจคลายตัวเพื่อรับเลือดเข้าหัวใจ วิธีที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดเลาะเยื่อหุ้มหัวใจที่บีบรัดออก ทำให้การคลายตัวของหัวใจดีขึ้น
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบที่กล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจลำบาก และอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ส่วนมากมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แต่บางกรณีอาจเป็นผลกระทบจากการใช้ยาบางชนิด ปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือการอักเสบอื่น ๆ ในร่างกาย
อาการ หายใจได้สั้นลง ทั้งขณะหยุดพักและขณะทำกิจกรรม หัวใจเต้นผิดจังหวะ แน่นหน้าอก มีอาการบวมบริเวณขา เท้า และข้อเท้า อ่อนเเรง มีอาการอื่น ๆ ที่แสดงถึงการติดเชื้อไวรัส เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกายและข้อ มีไข้ เจ็บคอ หรือท้องเสีย เป็นต้น
สาเหตุ การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจนั้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด หากเป็นกรณีที่ทราบสาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อบริเวณกล้ามเนื้อหัวใจ โดยพบได้บ่อยจากการติดเชื้อไวรัส แต่บางรายอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราหรือปรสิต รวมถึงยังเกิดได้จากการใช้ยา การได้รับสารเคมี หรือโรคบางชนิด
การฉีดยาทางหลอดเลือดดำ (IV) โดยแพทย์อาจฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อช่วยลดอาการอักเสบ ยารักษาโรคหัวใจ ได้แก่ ยาเอซีอี อินฮิบิเตอร์ (ACE Inhibitor) ยาเบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blockers) หรือยา ARBs ยาขับปัสสาวะ เพื่อช่วยกำจัดของเหลวส่วนเกินในร่างกาย
infective endocarditis
คืออาการติดเชื้อที่เกิดขึ้นบริเวณลิ้นหัวใจหรือเยื่อบุโพรงหัวใจที่เป็นผนังชั้นในสุดของหัวใจโดยเป็นเนื้อเยื่อที่อยู่บนพื้นผิวของหัวใจแต่ละห้อง โดยปกติการติดเชื้อมักเกิดจากแบคทีเรียที่เข้าสู่กระเเสเลือดและการติดเชื้อที่หัวใจ โดยแบคทีเรีย
สาเหตุ เชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคอื่นๆ ซึ่งสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้สามารถทำให้เกิดภาวะเยื่อบุหัวใจ หรือลิ้นหัวใจอักเสบได้ทั้งนั้น และโรคนี้ยังสามารถเกิดได้ในคนปกติทั่วไป แต่จะพบได้บ่อยกว่าในกลุ่มผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับหัวใจแต่เดิมอยู่แล้ว
อาการ มีจุดเล็กๆ อยู่ใต้เล็บ บนหน้าอก บนเพดานปากหรือภายในกระพุ้งแก้ม หายใจลำบากหรือไอเรื้อรัง ไข้ หนาวสั่น ปวดศรีาะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีผื่นขึ้น มีจุดสีแดงหรือสีเข้มใต้ผิวหนังบริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้าหรือฝ่าเท้า มีอาการอ่อนแรงเฉียบพลันบริเวณใบหน้าหรือแขนขา คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะปนเลือด
การรักษา ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเพื่อรับยาปฏิชีวนะ ผ่านทางหลอดเลือดดำเป็นเวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค หลังผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล แพทย์อาจสั่งจ่ายยาต่อเนื่องและนัดตรวจติดตามอาการเป็นระยะ ๆ
ในกรณีที่ยาปฏิชีวนะไม่ได้ผลหรือลิ้นหัวใจได้รับความเสียหายอย่างหนัก แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดลิ้นหัวใจเพื่อขจัดรอยโรคจากการติดเชื้อหรือทำการเปลี่ยนลิ้นหัวใจเทียม ทั้งนี้ หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการทรุดลงระหว่างการรักษา เช่น มีไข้หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดตามข้อ ขาบวม หรือหายใจลำบาก ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
ลิ้นหัวใจพิการ
โรคลิ้นหัวใจ (Valvular Heart Disease) มีสาเหตุการเกิดหลายประการประกอบด้วยความพิการตั้งแต่กำเนิด และความพิการที่เกิดขึ้นภายหลัง ได้แก่ การติดเชื้อ การบาดเจ็บ หรือการเสื่อมสภาพของลิ้นหัวใจ โรคไข้รูห์มาติกเป็นสาเหตุท าให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกายและมักก่อให้เกิดความพิการแบบถาวรของลิ้นหัวใจที่เรียกว่าโรคหัวใจรูห์มาติค
อาการ มีอาการบวมบริเวณขา ท้อง หรือรอบดวงตา เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หายใจเร็ว หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ริมฝีปาก ผิวหนัง นิ้วมือ และเท้าเป็นสีเทาหรือเขียว เนื่องจากมีเลือดและออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ โตช้า เหนื่อยง่าย วิงเวียน หายใจลำบาก
สาเหตุ 1.hypertrophy ของ venticle ข้างซ้ายหรือข้างขวา ทำให้การทำงานของหัวใจผิดปกติและมีอาการ หัวใจล้มเหลว 2. dilatation of venticle ของช่องหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว 3. การอุดกั้นของเลือดจากหัวใจห้องบนลงห้องล่าง ทำให้เกิดการคั่งของเลือดในอวัยวะต่าง ๆ 4. การลดลงของปริมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ
การรักษาภาวะลิ้นหัวใจพิการอาจทำได้โดยการใช้ยา การขยายโดยใช้บอลลูน การผ่าตัดซ่อมแซมลิ้นหัวใจ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ ดังนั้นการประเมินการสูญเสียสมรรถภาพควรทำหลังจากผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วข้างต้นและต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งในการฟื้นฟูสภาพของหัวใจปอดและอวัยวะอื่น ๆ
หลอดเลือดแดงอุดตันเฉียบพลัน
(Acute arterial occlusion)
เป็นการอุดตันของหลอดเลือดแดงทันทีทันใด ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนปลายได้ไม่เพียงพอ และเลือดบริเวณนั้นไม่สามารถมาเลี้ยงได้ทัน เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว ใช้เวลาน้อยกว่า 2 สัปดาห์
สาเหตุ เกิดจากก้อน emboli และ thrombus ส่วนมากจะเกิดบริเวณหลอดเลือดที่มี สารไขมัน แคลเซียม ไฟบริน มาจับอยู่ก่อนบริเวณที่มีหลอดเลือดโป่งพอง emboli - จากผลของลิ้นหัวใจที่ผิดปกติหรือหัวใจเต้นผิดปกติ - จากบริเวณที่เจาะเลือดหรือหลอดเลือดฉีกขาดจากอุบัติเหตุ
อาการ ปวดน่อง ถ้าเคลื่อนไหวจะปวดมากขึ้น ถ้าเป็นมากอยู่นิ่ง ๆ ก็ปวด ชา เย็น มีแผลที่นิ้วเท้า ขา สีผิวเปลี่ยนเป็นคล้ำ ขนหน้าแข้งร่วง มันวาว เล็บยาวช้า คลำชีพจรได้เบา หรือคลำไม่พบ หย่อนสมรรถภาพทางเพศ ในเพศชาย
ให้ยาเซปพาริน ในระยะเริ่มแรก โดยให้ในขนาค 90 ยูนิต/น้ำหนักตัว เป็นกิโลกรัมบริหารเข้าทางหลอดเลือดดำ และให้ต่อด้วยในอัตรา 18 ยูนิด/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกวับชั่วโมง 2. ประเมินโรคร่วม ของผู้ป่วยว่ามีความรุ่นแรงมากน้อยเพียงใด ซึ่งทำให้สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ในผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อลดภาวะแทรกช้อนที่จะตามมา 3. หาสาเหตุของการอุดตัน 4. ประเมินว่าการอุดตันของหลอดเลือดอยู่ในระดับใดบ้าง 5. ประเมินว่าการอุดตัน มีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด
Deep Vein Thrombosis
Deep Vein Thrombosis (DVT) เป็นภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำลึกของร่างกาย มักเกิดขึ้นที่บริเวณต้นขาหรือน่อง ทำให้เกิดอาการปวด บวม หรือกดบริเวณขาแล้วรู้สึกเจ็บ แต่ในบางกรณี อาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงให้เห็น
อาการ ปวด เป็นตะคริว หรือกดแล้วเจ็บบริเวณขาข้างใดข้างหนึ่ง มักเริ่มที่บริเวณน่อง บางกรณีอาจปวดขาทั้งสองข้างแต่พบได้น้อย บริเวณขา ข้อเท้า หรือเท้ามีอาการบวม อาจมีอาการปวดร่วมด้วย ผิวหนังบริเวณที่มีอาการอาจรู้สึกร้อนหรืออุ่นกว่าผิวหนังรอบ ๆ ผิวหนังเปลี่ยนสี เช่น ผิวซีดลง เป็นสีแดงช้ำ หรือสีม่วง เป็นต้น
สาเหตุ ความเสียหายของผนังหลอดเลือดจากการได้รับบาดเจ็บ เช่น การบาดเจ็บของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง หรือกระดูกหัก ทำให้หลอดเลือดตีบแคบหรืออุดตัน ความเสียหายของหลอดเลือดระหว่างการผ่าตัด และการพักฟื้นหลังผ่าตัดโดยไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย การได้รับยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด หรือการให้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy) เป็นต้น โรคผิดปกติทางพันธุกรรมบางโรคที่ทำให้เกิดการอุดตันของเลือดง่ายกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดร่วมกับปัจจัยอื่นที่ทำให้ลิ่มเลือดอุดตันในร่างกาย
การรักษา การใช้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการจับตัวของลิ่มเลือดหรือเพื่อละลายลิ่มเลือด การผ่าตัดเพื่อนำลิ่มเลือดออกมาจากหลอดเลือด
Varicose vein
การที่หลอดเลือดดำในบริเวณใต้ผิวหนังชั้นตื้น (Superficial veins) มีการโต ขยายขนาด คดเคี้ยว ซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่าในขณะที่เรายืน
สาเหตุ เกิดจากความผิดปกติ (Weakness) ของ ลิ้น(Valve) และผนังหลอดเลือด ซึ่งลิ้นในหลอดเลือดดำนั้น เป็นกลไกสำคัญในการป้องกันเลือดไหลย้อนกลับ โดยปกติ ในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นภายในเพื่อป้องกันการไหลย้อนกลับ นั่นคือเมื่อเรายืน ลิ้นก็จะเป็นตัวป้องกันเลือดไหลย้อนลงมา ดังภาพซ้ายมือ เมื่อมีความผิดปกติ ของ ลิ้นและ ผนังหลอดเลือด เลือดไม่สามารถผ่านไปได้หมดทำให้เลือด ไหลย้อนกลับทำให้ เกิด การขยายตัวของเส้นเลือด เกิดการเสื่อมของความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด จนกลายเป็นเส้นเลือดขอดตามมา
อาการ อาจจะมีอาการปวดแบบไม่มีแบบแผนที่แน่ชัด(Non-specific),รู้สึกว่าขาหนักๆเป็นผล มาจากการที่มีเลือดมา pool ที่ขา ทำให้เส้นเลือดที่ขาโป่งออก อาการจะแย่ลง เมื่อยืน หรือ นั่งนานๆ จะดีขึ้นเมื่อยกขาสูงกว่าหัวใจ ปกติ จะไม่มีบวม อาการบวมอาจเกิดจากมีความผิดปกติ ของหลอดเลือดชั้นลึกด้วย อาการปวดกล้ามเนื้อเวลานอนมักไม่ค่อยมีถ้ามีอาจต้องสืบค้นเพิ่มเติมอาจมีเรื่อง ของหลอดเลือดแดงร่วมด้วยได้
การรักษา หากมีอาการของเส้นเลือดขอดไม่มาก คนส่วนใหญ่มักจะไม่สนใจ เพราะอาจจะไม่เจ็บและยังดูไม่น่าเกลียด แต่เมื่อปล่อยทิ้งไว้จนกระทั่งมีอาการเจ็บหรือโต เป็นหนอนจนน่าเกลียด จึงเริ่มที่จะกังวลและอยากรักษา ซึ่งการรักษานั้นทำได้ไม่ง่ายนัก หากเป็นน้อยก็อาจใช้วิธีใส่ถุงน่อง แต่ในรายที่เป็นมากการรักษาด้วยการฉีดยาเฉพาะจุดที่มีอาการอาจช่วยลดขนาดของเส้นเลือดขอดได้บ้างแต่ก็เพียงชั่วคราว เพราะสาเหตุผิดปกติที่ลิ้นเส้นเลือดดำยังไม่ได้รับการแก้ไข ส่วนวิธีผ่าตัดที่ต้องเอาเส้นเลือดดำที่มีปัญหานี้ออกไป มีการเปิดแผลที่หัวเข่าและขาหนีบ ลอกดึงเอาท่อทั้งท่อออกมา จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดหลังการผ่าตัด ต้องนอนพักฟื้นในโรงพยาบาล และเกิดแผลเป็นที่ขา
ความดันโลหิตสูง
สภาวะผิดปกติที่บุคคลมีระดับ ความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าระดับปกติของคนส่วนใหญ่ และถือว่าเป็นสภาวะที่ต้องควบคุม เนื่องจากความดันโลหิตสูงทำให้เกิดความเสียหาย และการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง นำไปสู่สภาวะการแข็งตัวของหลอดเลือด การอุดตันของหลอดเลือด หรือหลอดเลือดแตกได้ นอกจากนี้ความดันโลหิตสูงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้เช่น โรคหัวใจวาย โรคอัมพาต โรคสมองเสื่อมหรือโรคไตวายเรื้อรัง
สาเหตุ มากกว่า 90 % เป็นความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (Essential Hypertension) มักพบได้บ่อยในรายที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง อายุมากส่วนใหญ่กลุ่มที่ทราบสาเหตุพบได้น้อย ซึ่งเกิดได้ในผู้ป่วยที่มีโรคอยู่แล้ว เช่น โรคไต หลอดเลือดที่ไตตีบบครรภ์เป็นพิษ เนื้องอกบางชนิด โรคทางต่อมหมวกไตยาบางอย่าง เป็นต้น
อาการ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการแต่อย่างใด อาจมีอาการปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ เวียนศีรษะ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะตุบๆ เหมือนไมเกรน ในผู้ป่วยที่เป็นมานาน อาจมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ และเมื่อมีอาการมากอาจโคมา และเสียชีวิตได้
การรักษา รับประทานอาหารและยาตามแพทย์สั่งและมาพบแพทย์ถ้ามีอาการผิด
ปกติ แพทย์จะเป็นผู้ปรับขนาดและปรับชนิดของยา หลีกเลี่ยงจากความเครียด งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ วันละ 20-30 นาที หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ตรวจวัดความดันโลหิตให้สม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก ตรวจวัดระดับโคเลสเตอรอลสม่ำเสมอ