Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
G1P0000 GA 9+3 wks by date - Coggle Diagram
G1P0000
GA 9+3 wks by date
ข้อมูลพื้นฐาน
ประวัติการตั้งครรภ์
G1P0000
GA 9+3 wks by date
LMP (last menstrual period) 3/12/64 x 5 วัน
EDC (Expected date of confinement) 9/9/65
ฝากครรภ์ครั้งแรก GA 9+3 wks by date ที่รพ.ตร.
หญิงตั้งครรภ์ ชาวไทย อายุ 32 ปี
เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนาพุทธ
อาชีพ พนักงานบริษัท อาศัยอยู่ที่ กรุงเทพมหานคร
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 55 kg ส่วนสูง 156 cm
BMI 22.60 kg/m2
การแพ้ยา : ปฏิเสธการแพ้ยา
ประวัติการเจ็บป่วย : ปฏิเสธ
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว : บิดาครรภ์แฝด ยายเป็นเบาหวาน
ประวัติการผ่าตัด : ปฏิเสธ
วันที่รับไว้ในการดูแล 7 กุมภาพันธ์ 2565
ประวัติการฉีดวัคซีน
วัคซีนบาดทะยัก
ฉีดตั้งแต่ป.6
วัคซีนป้องกันโควิด
เข็มที่ 1 2 และ 3 Astrazeneca
การตรวจร่างกาย
7 กุมภาพันธ์ 2565
-น้ำหนักปัจจุบัน 52 kg
-BP 118/74 mmHg
-PR 92 ครั้ง/นาที
-การตรวจปัสสาวะ
Albumin : negative
Glucose : negative
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Complete blood count
-Hb : 12.3 g/dL
-Hct : 37.8 %
-VDRL : non-reactive
-HbsAg : negative
-ABO group : O positive
การคัดกรองโรคธาลัสซีเมีย
MCV : 88.4 fL (ปกติ)
Hb E Screening (DCIP) : weakly positive
การคัดกรองโรคเบาหวาน
-BS 50 gm (Glucose challenge test) : 110 mg/dL
(คัดกรองโรคเบาหวานเนื่องจากหญิงตั้งครรภ์อายุ 32ปี)
การวินิจฉัยกาารตั้งครรภ์
-ประจำเดือนขาด 1 เดือน ตรวจครรภ์เองวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ผลตรวจพบว่าตนเองตั้งครรภ์
จึงมาฝากครรภ์
-Presumptive sign of pregnancy :
ประจำเดือนขาด 1 เดือน
-Probable sign of pregnancy :
urine pregnancy test +ve ตรวจด้วยตนเอง
-Positive sign of pregnancy : -
พยาธิสภาพ
การตั้งครรภ์
การตั้งครรภ์ (Pregnancy) คือ ภาวะที่เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างไข่กับอสุจิแล้วได้ตัวอ่อน เกิดขึ้นมา ในการตั้งครรภ์ปกติ ตัวอ่อนจะไปฝังอยู่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก และตัวอ่อนที่มีเพียงเซลล์เดียว จะแบ่งตัวและพัฒนาเป็นอวัยวะต่าง ๆ จนเจริญเติบโตเป็นทารก ซึ่งผู้หญิงโดยทั่วไปที่มีประจำเดือน ปกติและมาสม่ำเสมอทุกๆ 28-30 วัน จะมีอายุครรภ์ประมาณ 40 สัปดาห์ หรือประมาณ 280 วัน นับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งล่าสุด
การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย
ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
เต้านม จะขยายใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะในระยะสัปดาห์แรกๆ ของการตั้งครรภ์หลังขาดประจำเดือนจะรู้สึกว่าเต้านมหนักขึ้นไวต่อความรู้สึกปวดเสียว ผิวหนังบริเวณรอบหัวนม (Nipple) และลานนม (Areolar) จะมีสีเข้มขึ้นมีตุ่มเล็กๆเกิดขึ้นบริเวณลานนม
ท่อน้ำนมเจริญขึ้นด้วยอิทธิพลของ estrogen
ต่อมน้ำนมเจริญด้วยอิทธิพลของ progesterone
การสร้างน้ำนม คือ prolactin และ human placenta lactogen (hPL)
มดลูก เปลี่ยนแปลงทั้งขนาด รูปร่าง น้ำหนัก และความจุซึ่งเป็นผลจากอิทธิพลของฮอร์โมน Estrogen และ Progesterone เมื่อครรภ์ครบกำหนดกล้ามเนื้อผนังมดลูกมีความหนาและแข็งแรงมากขึ้น
ไตรมาสแรก กล้ามเนื้อมดลูกจะมีการหดตัวเป็นครั้งคราวไม่สม่ำเสมอไม่เจ็บ เรียกว่า Braxton Hicks contractions
ไตรมาสที่สองการหดรัดตัวนี้จะเกิดขึ้นนานๆครั้ง จะช่วยให้การไหลกลับของโลหิต (venous return) ไปยังรกได้สะดวกขึ้นและช่วยในการไหลเวียนโลหิตของทารก ทําให้ได้รับออกซิเจนมากขึ้น
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นการหดรัดตัวของมดลูกจะเพิ่มมากขึ้นใน 1-2 สัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์อาจเกิดบ่อยทุก 10 – 20 นาทีทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกไม่สุขสบายได้ซึ่งเรียกว่าการเจ็บครรภ์เตือน
ในระยะใกล้คลอดเลือดที่มาเลี้ยงมดลูกเพิ่มขึ้นประมาณ 450-650 ml/min การหดรัดตัวของมดลูกแรงดันโลหิต และท่าของหญิงตั้งครรภ์จะมีผลต่อการไหลเวียนของโลหิตไปยังมดลูกตลอดระยะการตั้งครรภ์
อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและช่องคลอด ขยายใหญ่ขึ้นจากการกระตุ้น ของฮอร์โมน Estriol ทำให้มีโลหิตมาเลี้ยงอุ้งเชิงกรานมากขึ้น ผิวของผนังเยื่อบุช่องช่องคลอดอ่อนนุ่มลงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันบริเวณนี้อ่อนนุ่มลง เพื่อ เตรียมช่องคลอดให้ขยายได้มากขึ้น
ปากมดลูก (Cervix) จะนุ่มและเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ต่อมของปากมดลูกจะมีการขยายขนาด เมื่อครรภ์ใกล้ครบกำหนดและระหว่างเจ็บครรภ์คลอดปากมดลูกจะหดสั้นและบางลง
รังไข่ ในระยะตั้งครรภ์จะไม่มีการตกไข่ เนื่องจากปฏิกิริยาสะท้อนกลับของปริมาณฮอร์โมน estrogen และ progesterone ที่สร้างจาก corpus luteum ในระยะแรกของการตั้งครรภ์
ช่องคลอดและฝีเย็บ ประมาณอายุครรภ์ 6-10 สัปดาห์ เยื่อบุช่องคลอดมีสีคล้ำม่วงแดง เรียกว่า Chadwick's sign เนื่องจากมีจำนวนเพิ่มขึ้น ขนาดใหญ่ขึ้น และมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น
ผนังช่องคลอดมีสารคัดหลั่งมากขึ้นเนื่องจากฮอร์โมน estrogen สารคัดหลั่งจะมีสีขาว มีความเป็นกรด pH 3.5–6.0 ซึ่งช่วยป้องกันการแบ่งตัวของเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หัวใจ ตำแหน่งของหัวใจถูกดันให้สูงขึ้นและหมุนไปทางซ้ายเนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นเบียดกระบังลม
ปริมาณเลือด เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30-50 เพื่อให้สามารถแลกเปลี่ยนสารอาหารที่บริเวณรกได้ดี และเพื่อทดแทนการเสียเลือดในระยะคลอด ปริมาณเลือดจะเพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์
Cardiac output เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ประมาณอายุครรภ์ 5 สัปดาห์ และเพิ่มสูงขึ้นช่วง 16-20 สัปดาห์ จากนั้นเพิ่มช้าๆ และสูงสุดเมื่อ 26-34 สัปดาห์จนคลอด
ครรภ์เดี่ยว เพิ่มได้สูงกว่าร้อยละ 45 เมื่อ 24 สัปดาห์
ครรภ์แฝด เพิ่มได้สูงกว่าร้อยละ 15 และเส้นผ่านศูนย์กลางหัวใจห้องบนซ้ายมีขนาดเพิ่มขึ้น
ระยะท้ายของการตั้งครรภ์ยังขึ้นกับท่าทางการทรงตัวของสตรีมีครรภ์ โดยท่านอนตะแคง cardiac output จะสูงกว่าท่านอนหงาย เนื่องจากการนอนหงายนั้นน้ำหนักของมดลูกกดลงบน inferior vena cava ทำให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจได้น้อยลงส่งผลให้ cardiac output ลดลง
อัตราการเต้นของหัวใจ เพิ่มขึ้นประมาณ 10-15 ครั้งต่อนาที และเพิ่มสูงสุดในไตรมาสที่ 3
ความดันโลหิต ลดลง 5-10 มิลลิเมตรปรอทในไตรมาสที่สองเนื่องจาก cardiac output เพิ่มขึ้นและแรงต้านทานของหลอดเลือดลดลง ความดันโลหิตจะกลับสู่ค่าปกติในไตรมาสที่สาม
ความดันในหลอดเลือดดำบริเวณขา (femoral vein) เพิ่มขึ้นเนื่องจากมดลูกกดทับเส้นเลือดในอุ้งเชิงกราน ทำให้การไหลกลับของเลือดดำจากขาสู่หัวใจช้าลง เป็นเหตุให้สตรีมีครรภ์เท้าบวม อาจเกิดริดสีดวงทวารหรือเกิดเส้นเลือดขอด (varicosities) บริเวณขาได้ง่าย
ในระยะตั้งครรภ์ขึ้นกับท่าทางการทรงตัวของสตรีมีครรภ์ด้วย โดยความดันโลหิตจะเพิ่มสูงขึ้นในท่านั่งและยืน เมื่อใกล้ครบกำหนดความดันโลหิตจะต่ำลงเมื่อนอนหงาย
สตรีมีครรภ์ต้องการได้รับธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้น โดยจะได้ประมาณ 800-1,000 มิลลิกรัม
ขาด folic acid ทำให้เป็นโลหิตจางชนิด megalohemoglobinemia คือเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่แต่ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ และมีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะ neural tube disorders ของทารกในครรภ์
ระบบทางเดินหายใจ
มดลูกที่มีขนาดโตขึ้นจะดันให้ระดับกะบังลมเลื่อนสูงขึ้นอาจทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกหายใจลำบาก (dyspnea)
estrogen ทำให้เส้นเลือดฝอยในทางเดินหายใจมีเลือดคั่ง (vascular congestion) และมีอาการบวมของทางเดินหายใจส่วนบนที่ทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกคัดจมูก มีเลือดออกทางจมูก (epistaxis) และมีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบนได้ง่าย
progesterone ทำให้เกิดการคลายตัวของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดลมฝอย (bronchiole smooth muscle) และการคลายตัวของกล้ามเนื้อและกระดูกอ่อนในบริเวณทรวงอก
อัตราการหายใจ และความจุของปอด (vital capacity) ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มีการเปลี่ยนแปลงของปริมาตรของอากาศที่สูดเข้าและออกในแต่ละครั้งที่หายใจเข้าออกตามปกติ (tidal volume) เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ ปริมาตรอากาศที่แลกเปลี่ยนต่อหนึ่งนาที (minute ventilation) เพิ่มขึ้นร้อยละ 30-50 และปริมาตรอากาศที่หายใจต่อหนึ่งนาทีเพิ่มขึ้นได้ถึง 10 ลิตร
ระบบทางเดินอาหาร
ช่องปากและเหงือก อิทธิพลของ estrogen ทำให้มีเลือดมากขึ้น จึงทำให้มีเหงือกบวมนุ่มจากการมีเลือดคั่ง มีเลือดออกง่าย
หลอดอาหารกระเพาะและลำไส้ การเคลื่อนไหวลดน้อยลง เนื่องจากแรงดันจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เบียดกระเพาะและลำไส้ให้ไปด้านข้างและด้านหลังมากขึ้น
ถุงน้ำดี ความตึงตัวของกล้ามเนื้อเรียบที่ลดลงจากผลของ progesterone ทำให้ถุงน้ำดีเคลื่อนไหวช้าลง โป่งตึงและมีน้ำดีสะสมคั่งค้าง
ตับจะถูกกดเบียดจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีการเปลี่ยนแปลงในการทำหน้าที่จากอิทธิพลของ estrogen ที่ทำให้ plasma albumin ลดลงและ serum cholinesterase ทำงานลดลง
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ไต และท่อไต ไตจะมีขนาดโตขึ้น ท่อไตขยายใหญ่ การเคลื่อนไหวของท่อไตจะช้าลงเนื่องจากอิทธิพลของ prostaglandin E (PGE)
ท่อไตถูกกดเบียดจากมดลูกที่โตขึ้น ทำให้มีน้ำปัสสาวะคั่งในกรวยไตและท่อไต เป็นเหตุให้เกิดการติดเชื้อที่ไตและกรวยไตได้ง่าย
กระเพาะปัสสาวะ ค่อนมาด้านหน้าและสูงกว่าเดิมเพราะถูกกดเบียดจากมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
สตรีมีครรภ์จะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นในไตรมาสแรกจากมดลูกที่โตขึ้นทำให้มีแรงดันลงบนกระเพาะปัสสาวะ และไตรมาสที่สามจากส่วนนำทารกที่ลงสู่ช่องเชิงกรานกดเบียดกระเพาะปัสสาวะและการนอนตะแคงซ้าย
ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
เมื่อมดลูกมีขนาดโตขึ้น จะดึงรั้ง round ligament ที่ยึดมดลูกกับช่องเชิงกราน ทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกเจ็บแปล๊บเมื่อขยับตัวรวดเร็ว
ขนาดมดลูกที่โตขึ้นกดเบียดเส้นประสาทและเส้นเลือดที่มาเลี้ยงในอุ้งเชิงกราน ทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกปวดถ่วงในอุ้งเชิงกราน เมื่อประกอบกับภาวะไม่สมดุลของ calcium และ phosphorus การวางท่าทางที่ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ก็จะส่งผลให้สตรีมีครรภ์มีอาการชาและตะคริวที่ขาได้มากขึ้น
กล้ามเนื้อหน้าท้อง (rectus muscle) มีการยืดขยายเพื่อรองรับขนาดมดลูกที่โต
กระดูกสันหลัง ขนาดของมดลูกที่ใหญ่ขึ้นทำให้จุดศูนย์ถ่วงเลื่อนมาข้างหน้ากระดูกสันหลังมีการโค้งงอ (lordosis) หลังจึงแอ่น
ระบบผิวหนัง
สร้างเม็ดสีผิวเพิ่มมากขึ้น (hyperpigmentation) เนื่องจากการเพิ่มของฮอร์โมน melanotropin ทำให้บริเวณที่มีเม็ดสีมาก เช่น บริเวณลานนม หัวนม รักแร้ อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และเส้นแนวกลางหน้าท้อง (linea nigra) มีสีคล้ำขึ้น
ผิวหนังมีรอยแยก (striae gravidarum) เป็นริ้วๆ สีชมพูแดง บริเวณหน้าท้อง เต้านม และต้นขา ซึ่งเกิดจากการแยกของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นผลจากการยืดขยายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissues) และการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน cortisol
อัตราการเจริญเติบโตของเส้นผมลดลง รู้สึกว่าผมบางลงประมาณ 1-4 เดือนและจะกลับสู่สภาพปกติภายใน 6-12 เดือนหลังคลอด ต่อมเหงื่อและต่อมไขมันจะทำงานมากขึ้น ทำให้สตรีมีครรภ์รู้สึกว่าเหงื่อออกง่ายและมีสิว
ระบบต่อมไร้ท่อและฮอร์โมน
สตรีมีครรภ์จะอยู่ในภาวะ euthyroid state ฮอร์โมน estrogen จะกระตุ้นให้ต่อมธัยรอยด์โตขึ้นเล็กน้อยในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ทำให้ basal metabolic rate สูงขึ้น
หากสตรีมีครรภ์ได้รับ iodine ไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดคอพอกได้
ต่อมพาราธัยรอยด์ จะโตขึ้นเล็กน้อย และกลับสู่ภาวะปกติในระยะหลังคลอดการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนจากต่อมพาราธัยรอยด์ทำให้การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ดีขึ้นเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของทารกในครรภ์
ต่อมใต้สมองส่วนหน้า จะมีขนาดโตขึ้นและกลับสู่สภาพปกติภายหลังคลอด ตลอดระยะตั้งครรภ์ follicle-stimulating hormone (FSH) และ luteinizing hormone (LH) จะถูกยับยั้งโดย estrogen และ progesterone จากรกทำให้ไม่มีการตกไข่
หลั่งฮอร์โมน prolactin สำหรับการสร้างน้ำนม
ต่อมใต้สมองส่วนหลัง จะหลั่งฮอร์โมน oxytocin จะกระตุ้นการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก การเจ็บครรภ์คลอด และการหลั่งน้ำนม ส่วน vasopressinทำให้เส้นเลือดหดรัดตัวซึ่งจะทำให้ความดันโลหิตสูง
ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต progesterone ทำให้มีการหลั่ง aldosterone เพิ่มขึ้นระยะแรกของไตรมาสที่ 2
ขณะที่ estrogen ทำให้ระดับ cortisol ในกระแสเลือดเพิ่มขึ้นซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมัน
ฮอร์โมนจากตับอ่อน (pancreas)
ตับอ่อนจะสร้าง insulin เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองกับ glucocorticoid ที่เพิ่มขึ้น
แต่ insulin จะทำหน้าที่ลดลงเนื่องจากฮอร์โมน estrogen, progesterone และ human placental lactogen ทำหน้าที่เป็น insulin antagonist ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น (hyperglycemia) เพื่อให้การส่งน้ำตาลสู่ทารกได้มากขึ้น การตั้งครรภ์จึงเป็นเสมือน diabetogenic state สตรีมีครรภ์ที่มีแนวโน้มจะเป็นเบาหวานจะปรากฏอาการของเบาหวานในระยะตั้งครรภ์ได้ง่ายและสตรีที่เป็นเบาหวานก่อนตั้งครรภ์จะมีความต้องการ insulin เพิ่มขึ้น
ระบบเผาผลาญสารอาหาร
คาร์โบไฮเดรต ในระยะครึ่งแรกของการตั้งครรภ์กลูโคสจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ ถ้าสไม่รับประทานอาหารเป็นเวลานานจะเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ดังนั้นควรให้สตรีมีครรภ์ได้รับอาหารแคลอรีสูง และไม่ควรงดอาหารนานกว่า 12 ชั่วโมง
โปรตีนและไขมัน ต้องการเพิ่มขึ้นเพื่อการสร้างรกการเจริญเติบโตของทารก การขยายตัวของมดลูก ต่อมน้ำนม และเลือดของมารดา ครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ จะมีการสะสมโปรตีนในร่างกายเพื่อสร้างน้ำนม
น้ำจะสะสมในร่างกายมากขึ้นผลของ steroid hormones ที่ทำให้มีการดูดซึมกลับของโซเดียมและน้ำ มีระดับโปรตีนในเลือดที่ต่ำลงส่งผลให้ osmotic pressure ลดลง เพิ่มแรงดันในหลอดเลือดเพิ่ม (venous pressure) มากขึ้น จึงทำให้น้ำออกไปอยู่นอกเซลล์ และทำให้มีอาการบวมที่ข้อเท้าในระยะท้ายของการตั้งครรภ์
การแบ่งการตั้งครรภ์
ระยะที่มีการตั้งครรภ์
ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์อาจจะมีอาการคลื่นไส้
วิงเวียนศีรษะ ตอนเช้ารับประทานอาหารไม่ค่อยได้ อาการจะดีขึ้นเมื่อผ่านช่วง 3เดือนแรกไปแล้ว เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นประมาณ 20 สัปดาห์จะรู้สึกได้ถึงการดิ้นของทารกหญิงตั้งครรภ์ควรที่จะต้องสังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์ทุกวันเพื่อดูว่าทารกในครรภ์ยังมีชีวิตดีอยู่หรือไม่
ระยะที่มีการเจ็บครรภ์คลอด
อาการเจ็บครรภ์คลอด จะมีลักษณะปวดทั่วท้องทั้งหมด ท้อง/มดลูกแข็งเกร็ง เกิดจากการหดรัดตัวของมดลูก โดยอาการปวดจะบีบและคลายเป็นพักๆ สม่ำเสมออย่างน้อย 10 นาทีต่อครั้ง ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่เอวร่วมด้วย มีมูกปนเลือดออกทางช่องคลอด มีน้ำเดินคือการมีน้ำใสใสไหลออกทางช่องคลอด กลั้นไม่ได้
ระยะหลังคลอด
มีน้ำคาวปลาไหลในช่วงแรกจะมีสีแดงสด จากนั้นค่อยๆจางลงเป็นสีน้ำตาลและเปลี่ยนเป็นสีใสๆ โดยควรจะหมดภายใน 2 - 4 สัปดาห์ ซึ่งถ้าผิดปกติ เช่น เป็นเลือดสดตลอดเวลา หรือมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ ีอาการปวดบริเวณท้องน้อยบีบเป็นพักๆ โดยอาการจะเกิดขึ้นเมื่อมารดาให้นมบุตร อาการที่เกิดขึ้นเป็นภาวะปกติแสดงว่ามดลูกกำลังหดตัวเข้าสู่อุ้งเชิงกรานการขับปัสสาวะหลังคลอดในช่วง 2 - 3 วันแรก ปริมาณปัสสาวะที่ออกจะออกมากกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายขับน้ำส่วนเกินที่เกิดจากการตั้งครรภ์ออกจากร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคม
พัฒนกิจในระยะตั้งครรภ์ (developmental tasks during pregnancy) เริ่มตั้งแต่ระยะที่รับรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์จนกระทั่งเข้าสู่ระยะคลอด เป็นขั้นตอนหนึ่งของการเข้าสู่การเป็นมารดา ประกอบด้วย
การสร้างความเชื่อมั่นต่อความปลอดภัยของการตั้งครรภ์และคลอด
ห่วงใยสุขภาพของตัวเองและทารก
การแสวงหาการยอมรับทารกในครรภ์จากบุคคลอื่น
ต้องการให้ครอบครัว ญาติ และเพื่อนๆ ยอมรับทารกในครรภ์
การแสวงหาความรับผิดชอบและการยอมรับบทบาทการเป็นมารดา
สนใจต่อการดิ้น การเจริญเติบโต มีความรักใคร่ผูกพันกับทารกในครรภ์มากขึ้น
เรียนรู้ที่จะเสียสละเพื่อทารกในครรภ์
วางแผนสำหรับการคลอด การเลี้ยงดูบุตร
การให้คำแนะนำ
ไตรมาสที่ 1
ให้ความรู้เรื่องการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์
ไตรมาสที่ 2
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างความภาคภูมิใจและรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ส่งเสริมความรู้สึกที่ดีต่อทารกในครรภ์ ฟังเสียงหัวใจ สังเกตการดิ้น พูดคุยกับครอบครัวให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของหญิงตั้งครรภ์
ไตรมาสที่ 3
ให้ความรู้เกี่ยวกับการเจ็บครรภ์คลอดและการลดความเจ็บปวด
การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์
ไตรมาสที่ 1
-มีความรู้สึกไม่แน่ใจว่าตนเองตั้งครรภ์หรือไม่ พยายามที่จะหาข้อมูลเพื่อความมั่นใจ สังเกตการเปลี่ยนแปลงร่างกายของตนเอง ซักถามมารดาหรือเพื่อนที่เคยตั้งครรภ์ ทดสอบการตั้งครรภ์
-เมื่อได้รับการยืนยันการตั้งครรภ์ ก้ำกึ่งระหว่างความปิติยินดีและความวิตกกังวล
-รู้สึกเสียใจ จะสนใจเฉพาะอาการเปลี่ยนแปลงและความไม่สุขสบายของตนเอง
-มีอารมณ์แปรปรวน ให้สามีและคนใกล้ชิดไม่เข้าใจ
-บางรายอาจมีความสนใจและความต้องการทางเพศลดลงเนื่องจากความไม่สุขสบาย
ไตรมาสที่ 2
-ยอมรับการตั้งครรภ์เนื่องจากมีความชัดเจนของอาการและอาการแสดง
-ใส่ใจกับการเรียนรู้บทบาทมารดา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แต่งกายเหมาะสม
-รับรู้ภาพลักษณ์ บางรายพอใจเป็นสิ่งบ่งบอกว่าทารกเจริญเติบโต บางรายจะรู้สึกอายต่อการสวมชุดคลุมท้อง
-บางรายรู้สึกมีความสุขในการมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น เนื่องจากอาการเหนื่อยล้า และคลื่นไส้อาเจียนหมดไป
ไตรมาสที่ 3
-สตรีมีครรภ์กว่าร้อยละ 80 มีความเครียดตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงระดับสูง และวิตกกังวลเมื่อใกล้เข้าสู่ระยะคลอด
-ความสนใจทางเพศลดลงเนื่องจากกลัวอันตรายกับทารกในครรภ์ กลัวคลอดก่อนกำหนด
การดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์
อาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์
-แพ้ท้องมากกว่าปกติ
-มีเลือดออกทางช่องคลอด
-ชัก ไข้สูง
-มีน้ำออกทางช่องคลอด
-เด็กดิ้นน้อยลงโดยเฉพาะหลังตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน
-บวมบริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้าและใบหน้า
-ปวดศีรษะมากหรือตาพร่ามัว
-เหนื่อยมาก ปัสสาวะขัดไม่สะดวก ปวดท้องมาก
1
การแบ่งไตรมาส
ไตรมาสที่ 1 0-3 เดือน
ไตรมาสที่ 2 4-6 เดือน
ไตรมาสที่ 3 7-9 เดือน
การประเมินสุขภาพหญิงตั้งครรภ์
แบบแผนที่ 1 หญิงไทยตั้งครรภ์ครั้งแรก
ตั้งใจมีบุตร รับรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์
ไม่แพ้ยา/อาหาร ไม่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าเป็นบางครั้ง
แบบแผนที่ 2 รับประทานอาหารวันละ 2 มื้อ ไม่ค่อยทานมื้อเช้า ทานตอนกลางวันและตอนเย็น
อาหารที่ชอบรับประทาน เช่น อาหารที่มีรสจัด
เลิกดื่มคาเฟอีน ดื่มน้ำวันละ 1 ลิตร
ขณะตั้งครรภ์มีอาการอยากอาหารลดลงและคลื่นไส้อาเจียนบางครั้ง
แบบแผนที่ 3 ขณะตั้งครรภ์ปัสสาวะ วันละ 8-10 ครั้ง
สีเหลือง ไม่มีกลิ่น ไม่มีตกตะกอน ปัสสาวะไม่แสบขัด
ถ่ายอุจจาระ วันละ 1-2 ครั้ง
แบบแผนที่ 4 ก่อนการตั้งครรภ์ และ
ขณะตั้งครรภ์ ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ส่วนใหญ่ทำงาน
แบบแผนที่ 5 ก่อนและขณะตั้งครรภ์เข้านอนเวลา 22.00 น. ตื่นนอนเวลา 05.00 น. มีอาการนอนไม่หลับ พยายามนอนให้หลับไปเอง
แบบแผนที่ 6 หญิงตั้งครรภ์รู้สึกตัวดี รับรู้วันเวลาสถานที่ ระดับความรู้สึกตัวปกติ เข้าใจในการให้คำแนะนำของการพยาบาล รู้สึกภูมิใจในการตั้งครรภ์ครั้งนี้
แบบแผนที่ 7 หญิงตั้งครรภ์รับรู้ว่าตนเองมีการเปลี่ยนแปลงขณะตั้งครรภ์ โดยหญิงตั้งครรภ์รู้สึกอยากอาหารลดลง คลื่นไส้และอาเจียน
แบบแผนที่ 8 หญิงคั้งครรภ์มีบทบาทในการเป็นมารดาที่ดีในการใช้ชีวิต ดูแลตนเองมากขึ้น เช่น ลดการรับประทานอาหารรสจัด
แบบแผนที่ 9 เพศและการเจริญพันธุ์
ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ พบว่าประจำเดือนขาด 1 เดือน
มีเพศสัมพันธ์นานๆครั้ง ไม่บ่อย ไม่ได้คุมกำเนิด
แบบแผนที่ 10 หญิงตั้งครรภ์ไม่มีภาวะเครียด (ST-5 : 3) สามารถปรับตัวและเผชิญความเครียดได้อย่างเหมาะสม ไม่มีภาวะซึมเศร้า
แบบแผนที่ 11 หญิงตั้งครรภ์มีความเชื่อในการดูแลตนเอง โดยไม่ขัดกับการรักษาของแพทย์
การให้คำแนะนำหญิงตั้งครรภ์
การฉีดวัคซีน
-วัคซีนบาดทะยัก ในรายที่ยังไม่ได้เคยรับวัคซีนมาก่อน จะฉีด 3 เข็ม โดยห่างกัน 0, 1, 6 เดือน
ด้านโภชนาการ
-โดยหญิงตั้งครรภ์รับประทานอาหารวันละ 2 มื้อ ควรสร้างเสริมให้ตระหนักว่า การรับประทานอาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เนื่องจากทารกต้องได้รับสารอาหารและพลังงานให้เพียงพอ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของทารกที่ดี เจริญเติบโตตามอายุครรภ์
-เมื่อหญิงตั้งครรภ์คลื่นไส้ อาเจียน แนะนำเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย หรือขนมปังกรอบ น้ำขิง
-ควรแบ่งมื้ออาหารเป็น วันละ 5-6 มื้อ ทานแต่พออิ่ม โดยต้องรับประทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องกายของร่างกาย เน้นโปรตีน ผัก ผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน อาหารที่มีรสจัด
-ดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีน เหล้า
การออกกำลังกาย จากเดิมหญิงตั้งครรภ์ไม่เคยออกกำลังกาย ส่วนใหญ่ทำงาน โดยจะแนะนำให้ เดิน ปั่นจักรยานอยู่กับที่ ว่ายน้ำ เดินขึ้นบันได
ออกกำลังกายครั้งละประมาณ 20-30 นาที 3ครั้ง/สัปดาห์
การพักผ่อน เวลากลางคืนนอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เวลากลางวันควรหาเวลาพักผ่อน ประมาณวันละ ๑ ชั่วโมง โดยนอนราบเอาหมอนรองเท้าเพื่อให้เลือดไหลกลับได้ดี เท้าไม่บวม เส้นเลือดขอดน้อยลง
การคัดกรองเบาหวาน หากผลตรวจปกติ คือ ต่ำกว่า 140 mg/dL ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ได้ 110 mg/dL จะตรวจซ้ำเมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
การรักษาความสะอาดร่างกายทั่วไป อาบน้ำเช้า-เย็น ไม่ควรลงแช่ในแม่น้ำลำคลอง ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ใส่สบาย ใช้เสื้อยกทรงที่พอดีกับเต้านมที่ขยายใหญ่ขึ้น สวมรองเท้าส้นเตี้ย และทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังขับถ่ายทุกครั้ง
การสังเกตและดูแลนำ้หนักตลอดการตั้งครรภ์ BMI ของหญิงตั้งครรภ์ เท่ากับ 22.60 kg/m2 โดยน้ำหนักต้องเพิ่ม 11.5-16 kg หรือ 0.42 kg/wk ตลอดการตั้งครรภ์
การนับลูกดิ้น เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16-20 wk จะรู้สึกว่าลูกดิ้น แนะนำให้นับหลังรับประทาน 3 มื้อ โดย 1 ชั่วโมง ควรนับได้ 3 ครั้ง และใน 1 วัน ต้องได้มากกว่า 10 ครั้ง และลงบันทึกในสมุดสุขภาพ (เล่มสีชมพู)
ส่งเสริมการฝากครรภ์คุณภาพ
การฝากครรภ์ คือ การดูแลหญิงตั้งครรภ์ระหว่างการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจติดตามประเมินการ ตั้งครรภ์และตรวจคัดกรองความผิดปกติที่สามารถตรวจพบได้ รวมทั้งให้การป้องกันรักษาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนครบกำหนดคลอด การฝากครรภ์ที่ถูกต้องควรเริ่มฝากครรภ์ตั้งแต่เดือนแรกที่ทราบว่าตั้งครรภ์ และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง
การฝากครรภ์คุณภาพ
หมายถึง การฝากครรภ์ครั้งแรกก่อน 12 สัปดาห์และการฝากครรภ์ครบ 5 ครั้งตลอดระยะการตั้งครรภ์ เพื่อให้มารดาและทารกได้รับการบริการทางสุขภาพที่ครบถ้วนและดีที่สุด
-ลดอัตราเสี่ยงของความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ได้
-ช่วยค้นหาภาวะเสี่ยงและลดภาวะแทรกซ้อนทั้ง
ในมารดาและทารก
เมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก
-ซักประวัติ ขาดประจำเดือนโรคประจำตัวต่างๆ การตั้งครรภ์และการคลอดครั้งที่ผ่านมา
-ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ทราบว่า มารดามีภาวะโลหิตจางหรือไม่
-ตรวจเลือด เพื่อดูภูมิคุ้มกันที่มีต่อเชื้อซิฟิลิส ไวรัสอักเสบชนิดบีและHIV
-ตรวจปัสสาวะ เพื่อค้นหาว่า มารดามีภาวะเบาหวานหรือไม่
-ตรวจร่างกาย โดยละเอียด
การนัดฝากครรภ์
กำหนดให้หญิงตั้งครรภ์มาฝากครรภ์ให้ครบ 5 ครั้ง
ตลอดระยะการตั้งครรภ์
ครั้งที่ 1 ก่อน 12 สัปดาห์
ครั้งที่ 2 13 - <20 สัปดาห์
ครั้งที่ 3 20 - <26 สัปดาห์
ครั้งที่ 4 26 - <32 สัปดาห์
ครั้งที่ 5 32 - 40 สัปดาห์
ฝากครรภ์ทุกครั้ง แพทย์จะจ่ายยาเสริมธาตุเหล็ก
โฟลิกและไอโอดีน
รับประทานวันละ ๑ เม็ดตลอดการตั้งครรภ์
ส่งเสริมพัฒนาการทารกในครรภ์
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ 5 หมู่
กรดโฟลิก ลดโอกาสการเกิด Neural tube defect ของทารก
ไอโอดีน ถ้าขาดทำให้ทารกมีพัฒนาการของสมองและระบบประสาทที่ช้ากว่า
ธาตุเหล็ก ใช้สร้างฮีโมโกลบิน ช่วยในการเจริญของรก สามารถป้องกันภาวะโลหิตจางได้
แคลเซียม เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเจริญเติบโตต่อระบบกระดูกของทารก
วิตามินดี มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน
การออกกำลังกาย
เป็นประโยชน์ในการกระตุ้นการหายใจของทารก
เดิน ปั่นจักรยานอยู่กับที่ ว่ายน้ำ เดินขึ้นบันได ออกกำลังกายครั้งละประมาณ 20-30 นาที 3ครั้ง/สัปดาห์
การลูบสัมผัสทารกในครรภ์
ลูบ/ตบเบาๆนุ่มนวลผ่านหน้าท้อง สามารถเริ่มทำได้เมื่ออายุครรภ์ 8 สัปดาห์ เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการของเส้นใยประสาทด้านการรับความรู้สึก
เทคนิคการผ่อนคลาย
ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ วาดรูป เพื่อสร้างความสุขให้กับตนเองและทารก endorphin หลั่งออกมาผ่านทางสายสะดือไปทารก ทำให้ทารกมีพัฒนาการที่ดีทั้ง IQ และ EQ
กระตุ้นด้วยเสียงพูดและการฟังเพลง
พูดคุยฮัมเพลงหรือร้องเพลง เป็นวิธีที่ง่ายสุดของการเริ่มต้นสื่อสารกับทารกในครรภ์ เพื่อให้ทารกเกิดความคุ้นชิน
เสียงมารดาเป็นเสียงที่สำคัญที่สุด ทารกสัมผัสได้ตลอดเวลา เมื่ออายุครรภ์ 16-20 สัปดาห์
อายุครรภ์ 31 สัปดาห์ ทารกจะเริ่มตอบสนองเสียงภายนอกร่างกายมารดา
32-34 สัปดาห์ ทารกจะเริ่มจดจำเสียงของมารดาตนเองได้
การฟังเพลง ควรเปิดเพลงผ่านลำโพง ห่างจากหน้าท้องอย่างน้อย 10 cm เปิดเสียงดังพอประมาณ (ไม่เกิน 95 เดซิเบล)
ใช้ไฟฉายส่องท้อง
ทารกในครรภ์สามารถกะพริบตา เพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้น ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน โดยส่องไฟที่หน้าท้อง จะทำให้เซลล์สมองและประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาการที่ดีขึ้น