Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพระบบทางเดินหายใจ (Respiratory) - Coggle…
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพระบบทางเดินหายใจ (Respiratory)
Pleural Effusion
ภาวะน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด คือภาวะที่มีของเหลวปริมาณมากเกินปกติในพื้นที่ระหว่างเยื่อหุ้มปอดและเยื่อหุ้มช่องอก โดยปริมาณน้ำที่มากขึ้นจะไปกดทับปอด ส่งผลให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ผู้ป่วยภาวะนี้มีอาการโดยทั่วไปคือ ไอ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือรู้สึกเจ็บขณะหายใจ
อาการ พบได้ตั้งแต่ไม่มีอาการ หรือไอ เจ็บหน้าอก จนถึงหอบเหนื่อยหายใจไม่สะดวก ทั้งนี้อาการอาจเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันหรือเรื้อรังได้ ขาบวมและนอนราบไม่ได้ ทำให้นึกถึงภาวะหัวใจล้มเหลว ไข้ ไอมีเสมหะปนเลือดและผอมลงก็ทำให้นึกถึงวัณโรค ปอดหรือมะเร็งปอด ไข้ ไอมีเสมหะเหลืองและเจ็บหน้าอก
สาเหตุ ภาวะหัวใจล้มเหลว โรตตับแข็ง โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด หลังการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด โรคปอดบวมหรือโรคมะเร็ง ไตวาย อาการอักเสบ
วิธีการรักษา การระบายของเหลวออกจากช่องเยื่อหุ้มปอด Pleurodesis คือวิธีการรักษาโดยใช้สารบางชนิดเชื่อมเยื่อหุ้มปอดและเยื่อหุ้มช่องอกให้ติดกัน ซึ่งจะทำหลังจากระบายของเหลวออกนอกร่างกายเรียบร้อยแล้ว การผ่าตัด
Asthma
โรคหอบหืด เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดลม ร่วมกับภาวะผิดปกติของหลอดลมที่ไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ มากกว่าปกติ เมื่อผู้ป่วยสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น กล้ามเนื้อบริเวณหลอดลมจะเกิดการหดเกร็ง ผนังหลอดลมบวมหนาขึ้นและสร้างสารคัดหลั่งหรือเสมหะมากขึ้น ทำให้หลอดลมตีบแคบลง ผู้ป่วยจึงหายใจลำบาก มีอาการเหนื่อยหอบ สมรรถภาพการทำงานของปอดลดลง ในรายที่อาการรุนแรงมากอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
อาการ ผู้ป่วยโรคหอบหืดจะมีอาการไอ มีเสมหะ แน่นหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หายใจมีเสียงหวีด และเหนื่อยหอบ โดยอาการจะเป็นๆ หายๆ ส่วนใหญ่เป็นช่วงกลางคืนหรือเช้ามืด และหลังจากสัมผัสปัจจัยกระตุ้นต่างๆ
ทั้งนี้ อาการของโรคมีตั้งแต่ไม่รุนแรงมาก คือ ไออย่างเดียว มีอาการเป็นช่วงสั้นๆ หอบนานๆ ครั้ง ไปจนถึงอาการรุนแรงมาก เช่น หอบทุกวัน หรือมีอาการตลอดเวลาจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
สาเหตุ โรคหืดหรือหอบหืดเกิดจากการอักเสบของหลอดลมเรื้อรัง ร่วมกับการที่หลอดลมมีความไวต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากผิดปกติ ทำให้เกิดอาการของโรคหืด ได้แก่ สารก่อภูมิแพ้ในและนอกครัวเรือน เช่น ฝุ่น และไรฝุ่น รังแคสัตว์ เกสรดอกไม้ รวมทั้งสารก่อมลพิษในอากาศ ควันบุหรี่ ไอระเหยน้ำมัน สารเคมี ก๊าซพิษต่าง ๆ เป็นต้น หรือการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียและเชื้อราในอากาศ
การรักษา ผู้ป่วยโรคหอบหืดหรือโรคหืดจะมียาประจำในการรักษา ได้แก่ ยากิน ยาฉีดและยาสูดพ่น ยากินจะอออกฤทธิ์รักษาอาการหอบหืดได้ช้ากว่ายาสูดพ่น เพราะยากินต้องผ่านกระบวนการดูดซึมในร่างกาย แตกต่างจากยาพ่นซึ่งสามารถเข้าถึงหลอดลมได้ทันทีที่พ่นเข้าไป และมีผลข้างเคียงต่ำกว่า หากแต่ต้องอาศัยเทคนิกการใช้ยาที่ถูกต้อง
Bronchitis
โรคหลอดลมอักเสบ เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุหลอดลม ซึ่งเป็นท่อที่นำลม หรืออากาศที่หายใจเข้าสู่ปอด ทำให้เยื่อบุหลอดลมบวม มีเสมหะในหลอดลม ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ มีเสมหะ หายใจลำบาก หอบเหนื่อย แน่นหน้าอก อาจหายใจมีเสียงดังหวีดได้ อาจมีอาการเจ็บคอ แสบคอ หรือเจ็บหน้าอกได้ ผู้ป่วยอาจมีไข้ รู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัวได้ ซึ่งควรวินิจฉัยแยกโรคจากโรคปอดบวมซึ่งทำให้ผู้ป่วยมีไข้ ไอ และหอบเหนื่อย
อาการ ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหลอดลมและบวมมากขึ้น ส่งผลให้หลอดลมตีบแคบ อากาศไหลผ่านหลอดลมเข้าปอดได้ไม่ดี หายใจลำบาก ในรายที่หลอดลมตีบมากๆจะหายใจดังวี้ดได้ และจากการอักเสบทำให้การขับเสมหะของเยื่อบุหลอดลมไม่ดี ส่งผลให้เกิดอาการไอมากขึ้น อาจไอแห้งๆ หรือไอมีเสมหะ อาจมีอาการอื่นๆคล้ายอาการของโรคหวัด เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไข้ต่ำๆ ได้ อาการของโรคหลอดลมอักเสบส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน
สาเหตุ โรคหลอดลมอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งจากแบคทีเรียและไวรัส แต่โดยส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุ ได้แก่ ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) อะดิโนไวรัส (Adenovirus) ไรโนไวรัส (Rhinovirus) เป็นต้น บางรายอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น ไมโคพลาสมา (Mycoplasma) หรือคลาไมเดีย (Chlamydia)
การรักษา หลอดลมอักเสบชนิดเฉียบพลันสามารถหายได้เองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์โดยไม่ต้องรับการรักษา อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น ผู้ป่วยจะต้องดื่มน้ำปริมาณมาก ๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ แต่สำหรับผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจแนะนำให้ได้รับการรักษาเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่ ยาแก้ไอ ยาปฏิชีวนะและการรักษาด้วยยาอื่นๆ
COPD
โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease หรือ COPD) เป็นกลุ่มของโรคปอดอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อยและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ ของประชากรทั่วโลกคือ หลอดลม เนื้อปอด และหลอดเลือดปอดเกิดการอักเสบเสียหายเนื่องจากได้รับแก๊สหรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองเป็นเวลานาน ส่งผลให้หลอดลมค่อยๆ ตีบแคบลงหรือถูกอุดกั้นโดยไม่อาจฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้อีก
อาการ ในระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยจะยังไม่มีอาการปรากฎ จนกระทั่งปอดถูกทำลายมากขึ้น ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการไอเรื้อรัง มีเสมหะมากโดยเฉพาะในช่วงเช้าหลังตื่นนอน รู้สึกเหนื่อยหอบ หมดเรี่ยวแรง หายใจลำบาก แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจบ่อยๆ บางรายอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เจ็บหน้าอก ไอเป็นเลือด ปากและเล็บเปลี่ยนเป็นสีม่วง
เมื่อโรคลุกลามมากขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยหอบมากจนไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ น้ำหนักลดลงอย่างมาก ในระยะท้ายของโรคมักพบการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ภาวะหายใจวาย (respiratory failure) และหัวใจด้านขวาล้มเหลว
สาเหตุ การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่รับควันบุหรี่เป็นจำนวนมาก มลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่นละออง ควันเสีย รวมถึงการหายใจนำสารเคมีเป็นพิษเข้าไปเป็นเวลานาน โรคทางพันธุกรรม และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ
การรักษา การเลิกสูบบุหรี่ การใช้ยา เพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น หลีกเลี่ยงการสูดดมมลพิษทางอากาศทั้งฝุ่นละออง และควันพิษ ที่กระตุ้นอาการให้อาการแย่ลง การบำบัดด้วยออกซิเจน เช่น ใช้เครื่องผลิตออกซิเจน หรือถังออกซิเจน การผ่าตัด
ถุงลมโป่งพอง
ภาวะที่ถุงลมเสียความยืดหยุ่นและเปราะง่ายอาจมีการแตกทะลุทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนอากาศทำให้ลมที่จะเข้าปอดน้อยกว่าปกติรวมทั้งการแลกเปลี่ยนออกซิเจนก็ลดน้อยลงด้วยซึ่งโดยปกติก๊าซออกซิเจนในถุงลมจะซึมผ่านผนังถุงลม และหลอดเลือดเข้าไปในกระแสเลือด ในขณะที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระแสเลือดก็จะซึมกลับออกมาในถุงลม
อาการ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงลมโป่งพอง ถุงลมและหลอดลมจะเสียความยืดหยุ่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการ แต่ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น อาการก็จะแสดงชัดขึ้นตามลำดับ โดยอาการสำคัญที่พบบ่อยๆ ได้แก่ หายใจลำบาก หอบ เหนื่อย และหายใจมีเสียงวี๊ด
สาเหตุของถุงลมโป่งพอง ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่ การสูบบุหรี่ นอกจากนั้นยังอาจเกิดจาก การสูดดมสิ่งที่เป็นพิษ เช่น มลภาวะ ไอเสีย ฝุ่น สารเคมี เป็นระยะเวลานาน ๆ
การรักษา จจุบันยังไม่มีการรักษาใด ที่สามารถทำให้โรคถุงลมโป่งพองหายได้ แต่การใช้ยาจะช่วยให้ ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น และปอดถูกทำลายช้าลง
Pneumonia
โรคปอดอักเสบ (pneumonitis) หรือที่เรียกกันว่า ปอดบวม เป็นการอักเสบของเนื้อปอดที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะปอดอักเสบจากการติดเชื้อในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภาวะภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งบางครั้งการติดเชื้ออาจรุนแรงและทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจึงควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคไว้ก่อน
อาการ มีไข้ขึ้นสูงประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส และอาจมีอาการจับไข้ตลอดเวลา หนาวสั่น หน้าแดง ริมฝีปากแดง ลิ้นเป็นฝ้า ส่วนอาการที่พบในเด็กโตและผู้ใหญ่นั้นอาจมีอาการเจ็บแปล๊บในหน้าอกเวลาหายใจเข้า หรือเวลาไอแรงๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้าง หรือท้องด้วย หายในเร็วแต่ถี่ๆ (หอบ)
สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดมาจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส (ไข้หวัดใหญ่ หัด และอีสุกอีใส) เชื้อรา และสารเคมี ฯลฯ โดยเชื้อโรคจะแพร่กระจายโดยการไอ จาม หรือหายในรดกัน การแพร่กระจายของเชื้อไปตามกระแสเลือด เช่น การฉีดยา ให้น้ำเกลือ การอักเสบในอวัยวะส่วนอื่น เป็นต้น การสำลักเอาสารเคมีหรือเศษอาหารเข้าไปในปอด
การรักษาตามอาการทั่วไป การให้ยาลดไข้ ให้สารน้ำทางหลอดเลือด ให้ออกซิเจน ตามอาการของผู้ป่วย การรักษาปอดบวมที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย การให้ยาปฏิชีวนะ มักใช้ในผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง และไม่มีอาการแทรกซ้อน อาจให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก ด้วยยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เช่น ยาอะม็อกซี่ซิลลิน เป็นต้น การรักษาปอดบวมที่เกิดจากเชื้อไวรัส โดยส่วนใหญ่โรคปอดบวมจากเชื้อไวรัสมักหายได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่หากอาการไม่ดีขึ้น อาจมีอาการรุนแรงหรือรุนแรงมาก เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดและได้รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
Empyema thoracis
มีหนองและเนื้อเยื่อที่ตายในช่องเยื่อหุ้มปอด มีเลือด (Hemothorax) หรือของเหลวเหมือนน้ำนม (Chyle) เรียก Chylothorax ในช่องเยื่อหุ้มปอด
สาเหตุจากปอดบวม มะเร็ง ฝีในปอด ฝีในตับ
อาการคล้ายกับ Pleural effusion แต่อาการจะรุนแรงกว่า มีไข้ และมีอาการอ่อนเพลีย
รักษาตามสาเหตุ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะ ดูดเอาหนองออก เป็นต้น รักษาตามอาการ ใส่ Chest drain อาจต้องผ่าตัดเพื่อเจาะเอาเยื่อหุ้มปอดออก และให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องออกซิเจน