การพยาบาลผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของโรคติดเชื้อ และโรคติดต่อในชุมชน

Hepatitis

ป็นภาวะที่เกิดการอักเสบของตับ จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซึ่งมีหลายสายพันธุ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และอี โดยไวรัสทั้งหมดมีการติดต่อแตกต่างกันไปตามชนิดและลักษณะเฉพาะ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบนอกจากจะส่งผลให้ตับเสียหาย ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว หากปล่อยไว้จนตับอักเสบเรื้อรัง อาจทำให้เกิดโรคตับแข็ง และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้

ชนิดของไวรัส

ไวรัสตับอักเสบเอ (Hepatitis A)

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)

ไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบดี

ไวรัสตับอักเสบอี

อาการ

มีไข้

อ่อนเพลีย

เบื่ออาหาร

คลื่นไส้อาเจียน

แน่นชายโครงขวา

ท้องร่วง

ปัสสาวะสีเข็ม อุจาระซีด

ปัจจัยเสี่ยง

ผู้ที่อาศัยในบ้านหรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วย

เจ้าหน้าที่บุคคลากรทางการแพทย์

นักท่องเที่ยวจากประเทศพัฒนาไปยังระเทศที่มีการระบาด

ประชาชนที่อาศัยในประเทศที่มีการระบาด

เด็กหรือเจ้าหน้าที่ในศูนย์เลี้ยงเด็ก

ผู้ที่อาศัยในชุมชนแออัด

ผู้อพยพที่อาศัยในที่พักชั่วคราว

ชายรักร่วมเพศ

อาการ

อาการจะเกิดหลังได้รับเชื้อประมาณ 45-90 วัน บางรายอาจจะนานถึง 180 วันผู้ป่วยที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามตัวมีไข้ แน่นท้อง ถ่ายเหลวเป็นอยู่ 4-15 วันหลังจากนั้นจะมี ตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะสีเข็ม อาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไปภายใน 1-4 สัปดาห์บางรายอาจเป็นนานถึง 6 สัปดาห์ จึงสามารถทำงานได้ปกติ

อาการ

ผู้ที่เป็นตับอักเสบ ซี เรื้ออาจจะไม่มีอาการ หรือมีอาการแต่ไม่มาก อาการที่พบได้คือ

อ่อนเพลีย

เบื่ออาหาร

คลื่นไส้อาเจียน

ปวดชายโครงขวา

ปวดกล้ามเนื้อและ ปวดข้อ

วิธีป้องกัน

ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน

ให้สวมถุงมือถ้าต้องสัมผัสเลือด

ห้ามใช้มีดโกนหนวด แปรงสีฟันร่วมกัน

ห้ามใช้อุปกรณ์ในการสักร่วมกัน

อาการ


ผู้ป่วยมักจะได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบ ดี พร้อมกันผู้ป่วยจะมีอาการของตับอักเสบที่รุนแรงและมีโอกาสที่เป็นตับวายเสียชีวิตได้ส่วนผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบ บี อยู่ก่อน แต่ไดรับไวรัสตับอักเสบ ดี ภายหลังผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และตับแข็ง

การป้องกัน


ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ด้วยการลดความเสี่ยง และการใช้วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี

อาการ

ตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะเข็ม อุจาระซีด

เบื่ออาหาร

เจ็บชายโครงขวาเพราะตับโตan enlarged, tender liver (hepatomegaly);

คลื่นไส้อาเจียน

มีไข้

การป้องกัน

ดื่มแต่น้ำต้มสุก ล้างมือให้สะอาด

รับประทานอาหารที่สุก

ยังไม่มีวัคซีนป้องกันตับอักเสบชนิดนี้

ผลและผลไม้ต้องล้างให้สะอาด

Malaria

มาลาเรีย (Malaria) คือ โรคที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวแพร่สู่ร่างกายคนจากการกัดของยุงก้นปล่องเพศเมีย (Anopheles Spp.) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงและหนาวสั่น โดยมักพบโรคนี้ในเขตที่มีภูมิอากาศร้อนชื้นและมีแหล่งน้ำขังตามธรรมชาติมาก ซึ่งเป็นที่อาศัยของยุงก้นปล่องที่เป็นพาหะนำโรค

อาการของมาลาเรีย

มีไข้สูง หนาวสั่น

เหงื่อออกมาก

ปวดศีรษะ

คลื่นไส้ อาเจียน

ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

ท้องเสีย

ภาวะโลหิตจาง

อุจจาระเป็นเลือด

อาการหมดสติไม่รับรู้ต่อการกระตุ้นต่าง ๆ หรือโคม่า

สาเหตุของมาลาเรีย มาลาเรียเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่เรียกว่า พลาสโมเดียม (Plasmodium) มียุงก้นปล่องเพศเมียเป็นพาหะ โดยเชื้อโปรโตซัวพลาสโมเดียม (Plasmodium) มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ชนิดที่ทำให้เกิดโรคในคนมีอยู่ 5 ชนิด ได้แก่

พลาสโมเดียม ฟัลซิพารัม (Plasmodium Falciparum)

พลาสโมเดียม ไวแว็กซ์ (P.Vivax)

พลาสโมเดียม มาลาริอี่ (P.Malariae)

พลาสโมเดียม โอวาเล่ (P.Ovale)

พลาสโมเดียม โนว์ไซ (P. Knowlesi)

การรักษามาลาเรีย

ยาต้านมาลาเรียที่นำมาใช้บ่อย ได้แก่

ยาคลอโรควิน (Chloroquine)

ยาดอกซีไซคลิน (Doxycycline)

ยาควินิน ซัลเฟต (Quinine Sulfate)

ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน (Hydroxychloroquine)

ยาเมโฟลควิน (Mefloquine)

ยาไพรมาควิน (Primaquine)

Meleoidosis

Melioidosis โรคเมลิออยด์ หรือเมลิออยโดสิส เป็นโรคติดเชื้อจากแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ปนเปื้อนได้ในน้ำและดิน แพร่กระจายสู่คนผ่านการสัมผัสเชื้อโดยตรงหรือโดยการติดต่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น สุนัข แมว หมู ม้า วัว ควาย แกะ แพะ เป็นต้น พบอัตราการป่วยมากที่สุดในช่วงฤดูฝน โดยในประเทศไทยจะพบมากในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นโรคที่มีอัตราการป่วยตายสูง

อาการของโรคเมลิออยด์

มีไข้ ปวดศีรษะ ไอ ไม่อยากอาหาร หายใจหอบเหนื่อย เจ็บหน้าอก มีอาการเจ็บกล้ามเนื้อโดยทั่วไป รวมถึงอาจไอเป็นเลือด

สาเหตุของโรคเมลิออยด์

การติดเชื้อโรคเมลิออยด์มีสาเหตุจากแบคทีเรีย Burkholderia Pseudomallei ซึ่งพบได้ในน้ำ ดิน หรือตามพืชพันธ์ุต่าง ๆ แบคทีเรียชนิดนี้อาจติดต่อสู่มนุษย์โดยตรงผ่านการสัมผัสหรือแพร่ผ่านสัตว์เลี้ยงทีมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกายอย่างแมว สุนัข หมู ม้า วัว ควาย แกะ หรือแพะก็ได้ โดยเฉพาะการสัมผัสกับเชื้อบริเวณผิวหนังที่มีแผลเปิดนั้นเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อสูง

การรักษาโรคเมลิออยด์

โรคเมลิออยด์รักษาได้ด้วยการใช้ยาที่เหมาะสมกับตำแหน่งของการติดเชื้อและโรคประจำตัวของผู้ป่วย ซึ่งผลการรักษาระยะยาวจะขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อและการรักษาที่เลือกใช้ โดยทั่วไปมักเริ่มรักษาด้วยการฉีดยาต้านจุลชีพเข้าเส้นเลือดนาน 10-14 วัน ตามด้วยการให้ยาต้านจุลชีพชนิดรับประทานต่อเนื่องนาน 3-6 เดือน สำหรับยาฉีดเข้าเส้นเลือดอาจให้เซฟตาซิดิม (Ceftazidime) ทุก 6-8 ชั่วโมง หรือให้เมอโรเพเนม (Meropenem) ทุก 8 ชั่วโมง ส่วนยาชนิดรับประทานนั้นอาจใช้ไตรเมโทพริม ซัลฟาเมธอกซาโซล (Trimethoprim-Sulfamethoxazole) หรือดอกซีไซคลีน (Doxycycline) โดยรับประทานทุก 12 ชั่วโมง ทั้งนี้การเลือกใช้ยาต้านจุลชีพนั้นขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา

Leptospirosis

โรคฉี่หนู คือชื่อที่มักใช้เรียก โรคเล็ปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มเล็ปโตสไปรา (Leptospira) ซึ่งเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้มักพบว่ามีการติดเชื้อในสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ตามฟาร์มปศุสัตว์อย่าง สุกร วัว กระบือ ม้า แพะ แกะ รวมถึงสัตว์ป่าและสัตว์จำพวกหนูและกระรอก

การแพร่เชื้อ

ทางตรง

โดยการสัมผัสสัตว์ที่มีเชื้อแบคทีเรีย ผ่านดวงตา, ปาก (ปนเปื้อนในอาหาร), จมูก (กลิ่น), หรือร่างกายส่วนที่เป็นแผลสัมผัสกับปัสสาวะ เลือด หรือเนื้อเยื่อจากสัตว์ที่ติดเชื้อแบคทีเรีย

โดนสัตว์ที่มีเชื้อแบคทีเรียกัดเข้าโดยตรง

ทางอ้อม

ปัสสาวะของสัตว์ติดเชื้อที่ปนเปื้อนมากับน้ำ, ดินที่เปียก หรือพืชผักต่างๆ

ผิวหนังปกติที่แช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน หรือแช่ในน้ำท่วม

การย่ำดินโคลนเป็นเวลานาน

การว่ายน้ำในแหล่งน้ำสกปรก หรือที่มีน้ำท่วมขัง


อาการของโรคฉี่หนู

จะแบ่งผู้ติดเชื้อออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้

  1. กลุ่มที่ติดเชื้อไม่รุนแรง (Anicteric Leptospirosis) และไม่มีอาการตัวเหลืองและตาเหลือง
  1. กลุ่มติดเชื้อรุนแรง (Severe Leptospirosis) มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง

ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ จากโรคฉี่หนู

ภาวะเลือดออกในปอด

การแท้งลูก ในหญิงตั้งครรภ์

ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ, ความดันโลหิตต่ำ

มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร

กล้ามเนื้อลายสลายตัว

การรักษาโรคฉี่หนู

  1. ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
  1. ยาแก้ปวด เพื่อลดอาการปวดศีรษะ มีไข้ และปวดกล้ามเนื้อ

โควิด-19” (COVID-19)

ไวรัสโคโรนา (Coronavirus) เป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 1960 แต่ยังไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างชัดเจนว่ามาจากที่ใด แต่เป็นไวรัสที่สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์นี้แล้วทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดหนักทั่วโลกตอนนี้เป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยพบมาก่อน คือ สายพันธุ์ที่ 7 จึงถูกเรียกว่าเป็น “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” และในภายหลังถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19” (COVID-19)

อาการเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสโควิด-19

มีไข้

เจ็บคอ

ไอแห้ง ๆ

น้ำมูกไหล

หายใจเหนื่อยหอบ

วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ

หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง

สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

ระมัดระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด

ล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70% (ไม่ผสมน้ำ)