Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค และสรีรวิทยาในระยะตั้งครรภ์ - Coggle Diagram
การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาค
และสรีรวิทยาในระยะตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ( Reproductive system changes)
ช่องคลอดและอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
( Vagina and external genital organs)
ปากมดลูก ( Cervix)
มดลูก ( Uterus )
รังไข่ ( Ovaries )
ท่อนำไข่ ( Fallopian tube )
เต้านม ( Breasts )
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อ ( Endocrine system changes)
รก (Placenta)
Human chorionic gonadotropin
ถูกสร้างในวันที่ 8-10 หลังการปฏิสนธิและมีอยู่ประมาณ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์
ลดลงเมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และคงระดับนี้ตลอดอายุครรภ์
ฮอร์โมนจะถูกขับถ่ายออกทางปัสสาวะจึงนำมาใช้ในการตรวจสอบการตั้งครรรภ์ได้
คล้าย Luteinizing hormone จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของ Corpus luteum ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน estrogen และ Progesterone จนกว่ารกจะสามารถผลิตฮออร์โมนทั้งสองได้
Estrogen
ฮอร์โมนนี้ถูกสร้างตั้งแต่สัปดาห์ที่ 6-12 และเพิ่มขึ้นจนครรภ์ครบกำหนด และหลังคลอดทารกแล้วจะลดต่ำลง
ควบคุมการเจริญเติบโตและการทำหน้าที่ของมดลูก โดยเพิ่มขนาดของเซลล์กล้ามเนื้อมดลูกและเพิ่มปริมาณเลือดที่มาเลี้ยงมดลูกและรก ดังนั้นจึงนำมาใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ของการเจริญเติบโตและภาวะสุขภาพของทารกในครรภ์
เพิ่มการคั่งของน้ำและโซเดียม มีผลทำให้ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีเลือดมาเลี้ยงมดลูกและรกอย่างเพียงพอ
เพิ่มความยืดหยุ่นของเนื้อเยื้อ กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเอ็น ยืดขยายตัวมากขึ้นมีผลให้หลังแอ่น ปวดหลัง และเจ็บบริเวณกระดูกหัวหน่าวและก้นกบ
เพิ่มการสะสมของเม็ดสี ในเนื้อเยื่อทำให้สีผิวบริเวณส่วนต่างๆเข้มขึ้น เช่น ใบหน้า ลานนม อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก และเส้นกลางลำตัวบริเวณหน้าท้องจากลิ้นปี่ถึงหัวหน่าว
ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกมีขนาดใหญ่ขึ้น
กระตุ้นการเจริญเติบโตของท่อน้ำนม ต่อมน้ำนม หัวนม และเต้านมให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
ลดการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำให้อาหารไม่ย่อย ลดการดูดซึมไขมัน
กระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกซึ่งถูกยับยั้งโดยฮอร์โมน progesterone
กระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำลายทำให้มีน้ำลายมากขึ้น
กระตุ้นการสร้างสารคัดหลั่งในช่องคลอด
เป็นตัวกระตุ้นสาร prostaglandin ในไตรมาสที่ 3 มีผลทำให้มดลูกไวต่อการกระตุ้นด้วย oxytocin และเกิดการหดรัดตัวของมดลูก
มีผลด้านอารมณ์ ทำให้อารมณ์แปรปรวนง่ายและมีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น
Progesterone
ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ฮอร์โมนนี้ถูกผลิตจาก corpus lutetium จนถึงอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ และเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนตลอดการตั้งครรภ์
กระตุ้นการเจริญเติบโตของเยื่อบุโพรงมดลุกเพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อน
ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ลดการหดรัดตัวของมดลุก และทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวน้อยลง ท่อปัสสาวะคลายตัวเกิดการคั่งของปัสสาวะ ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
กระตุ้นการเจริญเติบโตของต่อมและท่อน้ำนม ทำให้เต้านมคัดตึง
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สตรีตั้งครรภ์รู้สึกเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
มีผลต่ออุณหภูมิของร่างกายโดยจะสูงขึ้น 0.4-1.0 องศาฟาเรนฮาย ทำให้เหงื่อออกง่าย
HPL
เริ่มสร้างตั้งแต่สัปดาห์ที่ 5 และสูงสุดเมื่อายุครรภ์ 34 สัปดาห์
ต้านการทำงานของ insulin เพื่อลดการใช้น้ำตาลของสตรีมีครรภ์ และนำกลูโคสไปสู่ทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น
กระตุ้นการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์
ลดการเผาผลาญและลดการใช้พลังงานจากโปรตีน
ช่วยสร้างถุงน้ำนมและน้ำนม
ต่อมพิทูอิทารี (Pituitary gland)
Prolactin hormone
มีระดับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดการตั้งครรภ์
เมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนดจะพบว่าระดับฮอร์โมน prolactin สูงกว่าก่อนการตั้งครรภ์ 10 เท่า
เป็นฮอร์โมนที่เตรียมการสร้างน้ำนมของเต้านม
Growth Hormome
มีผลต่อการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน
ในขณะตั้งครรภ์จะมีฮอร์โมนนี้ลดลงและกลับคืนสู่สภาพปกติ 6-8 สัปดาห์หลังคลอด
Oxytocin
ทำให้มดลูกหดรัดตัว
ช่วยให้เกิดการเจ็บครรภ์ เร่งคลอด
ฮอร์โมนนี้จะมีระดับสูงสุดในขณะเบ่งคลอด
ตับอ่อน (Pancreas)
การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้นจะต้องใช้น้ำตาลมากขึ้น
แม่จะมีการสังเคราะห์ glycogen ซึ่งจะกระตุ้นให้มีการผลิต insulin เพิ่มขึ้นแต่ความสามารถในการใช้ลดลง ทำให้สตรีตั้งครรภ์มีอาการคล้ายเบาหวานได้
ต่อมพาราธัยรอยด์ (parathyroid gland)
ระหว่างตั้งครรภ์จะมีระดับของ parathyroid hormone เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพื่อนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ โดยเฉพาะระยะหลังของการตั้งครรภ์
ต่อมหมวกไต (Adrenal gland)
จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยในขณะตั้งครรภ์
ผลิต Corticosteroid hormone เพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์
Hormone cortisone ช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาล ทำให้ทารกได้รับน้ำตาลกลูโคสอย่างเพียงพอ
aldosterone จะช่วยป้องกันการสูญเสียโซเดียมและน้ำจากอิทธิพลของฮอร์โมน progesterone ด้วยการดูดโซเดียมและน้ำกลับ
รังไข่
สร้างฮอร์โมน progesterone ในสัปดาห์ที่ 10-12 ของการตั้งครรภ์
corpus lutetium ของรังไข่สร้างฮอร์โมน relaxin มีผลทำให้กล้ามเนื้อ กระดูกอ่อนของกระดูกหัวหน่าวและข้อต่อต่างๆคลายตัวและนุ่มขึ้น
ต่อมธัยรอยด์ (Thyroid gland)
ขณะตั้งครรภ์จะมีขนาดโตขึ้นจนคลำได้
มีการสร้างฮอร์โมน thyroxin เพิ่มขึ้น โดยระดับฮอร์โมน T4 จะเพิ่มขึ้น แต่ T3 ลดลง
ส่งผลต่อการเผาผลาญอาหาร
ชีพจรเต้นเร็ว
อารมณ์แปรปรวน
อ่อนเพลีย
เหงื่อออกมาก
ทนอากาศร้อนได้น้อย
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ
(Renal system changes)
การเปลี่ยนแปลงทางการเผาผลาญ (Metabolism changes)
การเผาผลาญของคาร์โบไฮเดรต ( Carbohydrate metabolism)
ระยะแรก รกจะสร้างฮอร์โมน estrogen และ progesterone ไปมีผลให้ beta cell ของตับอ่อน หลั่งอินซูลินเพิ่มขึ้น
มีการสะสมglycogen และไขมันในเนื้อเยื่อเพิ่มมากขึ้น โดยสร้างพลังงานจากการเผาผลาญกลูโคสเป็นหลัก
ระยะหลังการตั้งครรภ์ จะสร้างฮอร์โมน Human placental lactogen (HPL), Prolactin, Cortisone, Glucagon ทำให้ประสิทธิภาพของอินซูลินในการนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ลดลงทั้งๆที่ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น
การเผาผลาญโปรตีน ( Protein metabolism)
โปรตีนถูกสังเคราะห์เพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของเนื้อเยื่อต่างๆในส่วนของทารก รก และมดลูกที่เจริญขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งไตรมาสที่ 3เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการโปรตีนมากที่สุด
การเผาผลาญไขมัน ( Fat metabolism)
ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ จะมีอาการแพ้ท้อง ทำให้มีการนำไขมันมาใช้เป็นพลังงาน เกิดภาวะคีโตนในเลือด (Ketonemia) และในปัสสาวะ (Ketonuria)
ครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ ไขมันในเลือดจะเพิ่มขึ้น Cholesterol จะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 31-37 สัปดาห์ และลดลงภายใน 2 ชั่วโมงหลังคลอด
การเผาผลาญแร่ธาตุต่างๆ (Mineral metabolism)
ธาตุเหล็ก
ต้องการมากในไตรมาสที่3 จำเป็นต้องใช้ธาตุเหล็กในรูปแบบยาบำรุงเลือดตั้งแต่ ไตรมาสที่2 จนระยะหลังคลอด
ทองแดง
มีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เป็นผลจากฮอร์โมน estrogen
แคลเซียม
ขณะตั้งครรภ์จะลดลงเล็กน้อย แต่ครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ร่างกายจะต้องการมากเป็น 2 เท่า
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหาร (Gastrointestinal system changes)
หลอดอาหาร
ตับ
ปากและช่องปาก
ถุงน้ำดี
การเปลี่ยนแปลงของหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular changes)
ความดันโลหิต
เม็ดเลือดแดง
การไหลเวียนของเลือด
เม็ดเลือดขาว
Cardiac output
ปัจจัยการแข็งตัวของเลือด
ตำแหน่งของหัวใจ
ปลายไตรมาสที่ 1
จะหมุนไปทางด้านซ้าย และถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อย
กระบังลมไปดันให้หัวใจลอยสูงขึ้น
ยอดหัวใจ(Apex) เลื่อนไปอยู่ด้านหลัง
การขยายตัวของมดลูกไปดันกระบังลมให้ลอยขึ้น
ขนาดของหัวใจ
ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
การเพิ่มขนาดของเซลล์
ปรมาณของหัวใจเพิ่มขึ้น
ประมาณ 75 mL ของก่อนตั้งครรภ์
ทุกไตรมาส
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจ