Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคมะเร็งกระเพาะอาหารอุดตัน - Coggle Diagram
โรคมะเร็งกระเพาะอาหารอุดตัน
สาเหตุ
-อายุ เมื่ออายุมากขึ้นก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากขึ้น
-เพศ พบว่าผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง
-เคยได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
-การติดเชื้อแบคทีเรีย H. Pylori เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ซึ่งเมื่อติดเชื้อนี้จะทำให้มีอาการอักเสบและเกิดเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
-อาหาร การรับประทานอาหารปิ้งย่าง หมักดอง อาหารเค็มจัด อาจทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งมากขึ้น
วิเคราะห์กรณีศึกษา
ผู้ป่วยเพศชายอายุ 67 ปี วัยผู้สูงอายุตอนต้น ในอดีตผู้ป่วยเคยผ่าตัดกระเพาะอาหาร 2 ครั้ง
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ผู้ป่วยมีสภาวะบวมน้ำ ผล Albumin 2.5-3 g/dL ค่าปกติ 3.5 - 5 g/dL.
ผู้ป่วยมีสภาวะขาดวิตามินเค ผล Prothrombin Time (PT) 30 sec ค่าปกติ 10-14 sec
ผล International Normalized Ratio (INR) 2.2 sec ค่าปกติ 0.8-1.1 sec.
ผู้ป่วยมีสภาวะซีด ผล Hematocrit (Hct) 22.2 - 34.6% ค่าปกติ 40 - 54%
ผล Hemoglobin (Hb) 9.78 g/dL ค่าปกติ 11.5-16 g/dL
รูปแบบการผ่าตัด
การผ่าตัดกระเพาะอาหารทั้งหมด (Total Gastrectomy)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเนื้อร้ายที่ส่วนบนหรือกลางกระเพาะอาหาร หากเนื้อร้ายอยู่ใกล้กับส่วนปลายของหลอดอาหาร อาจต้องทำการผ่าตัดขยายหลอดอาหาร หลอดอาหารส่วนที่เหลือจะถูกรวมเข้ากับลำไส้เล็กส่วนบน
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร ด้วยกล้องวีดิทัศน์ LAPAROSCOPIC GASTRECTOMY
เป็นการผ่าตัดรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร แผลในกระเพาะ, กระเพาะอาหารทะลุ หรือเป็นการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารในผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก การผ่าตัดอาจตัดออกเป็นบางส่วน หรือ ออกทั้งหมดขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพของผู้ป่วย หากต้องผ่าตัดกระเพาะอาหารทั้งหมด แพทย์จะทำการต่อหลอดอาหารเข้ากับลำไส้เล็กโดยตรง ซึ่งการผ่าตัดด้วยกล้องแผลผ่าตัดจะเล็กๆ ทำให้ความเจ็บปวด และความเสี่ยงในการผ่าตัดลดลง
การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพียงบางส่วน (Partial Gastrectomy)
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีเนื้อร้ายที่ส่วนล่างของกระเพาะอาหาร
อาการสำคัญที่มาโรงพยาบาล
ปวดท้องมาก ไม่ถ่ายอุจาระ 5 วันก่อนมาโรงพยาบาล
การพยาบาลหลังการผ่าตัด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 8 ผู้ป่วยเกิดภาวะ dumping syndrome หลังการผ่าตัด Billroth II
1.Early Dumping syndrome มีอาการ 10-30 นาทีภายหลังรับประทานอาหาร
กิจกรรมการพยาบาล
เริ่มจากการปรับวิธีการรับประทานอาหาร (dietary modification) หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหรือของเหลวระหว่างรับประทานอาหาร โดยให้ดื่มน้ำได้หลังจากรับประทานอาหารอย่างน้อย 30 นาที
2.งดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต (Low carbohydrates)เพราะตับจะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลทำให้เกิดกลไกหลั่งฮอร์โมนอินซูลินซึ่งควบคุมการดูดซึมอาหารเข้าสู่กระแสเลือดในรูปของน้ำตาล ถ้าหากรับประทานอาหารในรูปคาร์โบไฮเดรตสูงก็จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงด้วย
3.เน้นอาหารที่มีโปรตีน และไขมันสูง เพื่อให้ได้พลังงานตามที่ต้องการ
2.Late dumping syndrome มีอาการ 1-2 ชั่วโมงภายหลังรับประทานอาหาร
กิจกรรมการพยาบาล
1ให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนลักษณะการรับประทานอาหาร คือ ให้รับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลงแต่รับประทานให้บ่อยขึ้น
2.แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงเพราะอาจจะส่ง hypoglycemia ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 70 มิลลิกรัม / เดซิลิตรมักทำให้เกิดอาการใจสั่นอ่อนเพลียซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั้น
3.รับประทานอาหารช้าๆ ไม่รีบร้อน ให้ดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จ 30-45 นาที
หลังรับประทานอาหาร ควรนอนราบหรือศีรษะสูงเล็กน้อย (semi-Fowler’s position) ลดการไหลของอาหารตกถึงลำไส้อย่างรวดเร็ว
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 9 เสี่ยงติดเชื้อและมีเลือดออกบริเวณเเผลผ่าตัด
กิจกรรมการพยาบาล
1.ดูเเลทำความสะอาดเเผลผ่าตัดแบบ dry dressingโดยใช้เทคนิคสะอาดปราศจากเชื้อ
2.สังเกตลักษณะของ discharge ทุกครั้งที่ทำแผล
3.จัดท่านอนให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านอนหงายศีรษะสูง (Fowler’s position) เเละกระตุ้นให้ผู้ป่วยพลิกตัวไปมา จะช่วยให้หนอง สิ่งคัดหลั่งที่อยู่ในช่องท้องไหลออกจากแผล ได้สะดวก
4.สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลบาดแผล ระวังไม่ให้โดนน้ำ หรือของมีคมสัมผัสบาดแผล
5.วัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงประเมินภาวะติดเชื้อที่แผล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 7 ผู้ป่วยมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
กิจกรรมการพยาบาล
ดูแลด้านระบบสารน้ำและเกลือแร่ เนื่องจากการผ่าตัดชนิดนี้ผู้ป่วยจะต้องดมยาสลบอยู่เป็นเวลานาน ถ้าปริมาณสารน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้ปริมาณน้ำในกระแสเลือดมากเกินไปได้
การให้สารอาหารแก่ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วย ที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่จะทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเครียด ซึ่งร่างกายจะต้องการพลังงานและโปรตีนในปริมาณ ที่สูง และในขณะเดียวกันผู้ป่วยจะต้องงดน้ำ งดอาหารหลังผ่าตัด 7 วัน ดังนั้นการให้สารอาหาร เพื่อให้พลังงานแก่ผู้ป่วยนั้นสามารถให้ทางหลอด เลือดดำ อาจจะให้ในรูปของสารละลายกลูโคส และ สารละลายกรดอะมิโน ประมาณ 48-72 ชั่วโมง หลังผ่าตัด
การดูแลสายสวนจมูกกระเพาะอาหาร (nasogastric tube) เพื่อช่วยดูดน้ำย่อยในกระเพาะอาหารหลังผ่าตัดเพื่อช่วยลดอาการแน่นอึดอัดหลัง ผ่าตัด ในกรณีที่สายหลุดไม่ควรใส่กลับเข้าไปใหม่ เพราะอาจใส่เข้าไปกระทั่งทำให้รอยต่อกระเพาะ อาหารฉีกขาดเกิดการรั่วของรอยเย็บ หากจำเป็น ต้องใส่ใหม่ควรใส่ด้วยความระมัดระวัง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่10 ผู้ป่วยวิตกกังวล เนื่องจากขาดความรู้ในการปฏิบัติตนเมื่อกลับบ้าน
กิจกรรมการพยาบาล
2.อธิบายให้ผู้ป่วยรู้ถึงการดูแลแผลการผ่าตัด แนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลบาดแผลระวังไม่ให้แผลเปียกน้ำ ไม่ใช้มือหรือวัตถุสิ่งของถูกต้องบาดแผล เพราะอาจเป็นการเพิ่มเชื้อโรคสู่บาดแผล
1.สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยเเละญาติ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 6 ผู้ป่วยไม่สุขสบาย เนื่องจากปวดแผลผ่าตัด
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินอาการปวดโดยสังเกตสีหน้าท่าทางที่แสดงอาการปวด
ให้ Morphine เพื่อระงับปวดเเละวัด Vital sign ทุกๆ 1 ชั่วโมง เนื่องจาก Morphine มีฤทธิ์กดการหายใจจึงต้องสังเกตอาการข้างเคียง
จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนหงายศีรษะสูง(Fowler’sposition) เป็นท่าที่จัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 60 ถึง 90 องศา และปรับให้ระดับปลายเตียงสูง 10-20 องศา ท่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยทำให้ผนังหน้าท้องหย่อนตัว
สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยและญาติ เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยและระบายความ รู้สึกต่าง ๆ รวมทั้งให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและญาติ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามความเหมาะสม เพื่อเบี่ยงเบนความ สนใจของผู้ป่วย เป็นการลดความเจ็บปวด
แนะนําวิธีการพลิกตะแคงตัวหรือเปลี่ยนอิริยาบท โดยใช้มือ 2 ข้างประคองบริเวณแผลผ่าตัด เพื่อช่วยลดภาวะการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง และช่วยลดการสั่นสะเทือนของแผลผ่าตัด จะทําให้อาการปวด แผลลดลง ขณะเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนท่านอน ให้ทําด้วยความระมัดระวัง และดูแลไม่ให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ดึงรั้ง ให้การพยาบาลด้วยความนุ่มนวล
สอนการไออย่างถูกวิธี โดยใช้มือประคองแผลผ่าตัดและหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ผ่านทางจมูกและ หายใจออกช้าๆ ผ่านทางปาก จํานวน 5 ครั้ง ในขณะหายใจเข้าครั้งสุดท้ายให้ผู้ป่วยอ้าปาก และไอจากกรณีศึกษา มีการผ่าตัดกระเพาะอาหารออกบางส่วน (subtotal gastrectomy) ชนิด billroth 2 เป็นการตัดกระเพาะอาหารส่วนปลาย รวมทั้ง antrum ออก แล้วเอากระเพาะอาหารส่วนที่เหลือไปต่อกับส่วนต้นของ jejunum
ประเมินพฤติกรรมการแสดงความเจ็บปวด Pain score หลังให้การพยาบาล
การเกิดลำไส้อุดตัน
(Intestinal Obstruction)
ภาวะลำไส้อืด
(Nonmechanical Obstructions)
ภาวะการทำงานผิดปกติของลำไส้ ซึ่งทำให้ไม่สามารถบีบตัวและเคลื่อนไหวได้ตามปกติ ส่งผลต่อการทำงานของระบบขับถ่าย
ภาวะลำไส้ตีบตัน
(Mechanical Obstructions)
เกิดจากบางสิ่งไปอุดตันทางเดินของลำไส้ โดยเฉพาะการเกิดพังผืดในลำไส้ซึ่งมักเกิดภายหลังการผ่าตัดภายในช่องท้อง
วิเคราะห์กรณีศึกษา
ผู้ป่วยมีภาวะการเกิดลำไส้อืด โดยมีสาเหตุเกิดจากในอดีตเคยผ่าตัดในช่องท้องหรือกระเพาะอาหารมาก่อน
พยาธิสภาพของโรค
มะเร็งกระเพาะอาหารเป็น adenocarcinoma ของเซลล์ที่หลั่งมูกในชั้น mucosa มะเร็งอาจมีลักษณะเป็นก้อนเป็นแผลหรือเป็น infiltrative (linitis plastica) ชนิดที่เป็นแผลพบบ่อยสุดมะเร็งพบบ่อยสุดที่บริเวณ pylorus และ antrum (ประมาณร้อยละ 50) รองลงมาคือ body, fundus และ cardia ตามลำดับมะเร็งแพร่กระจายไปได้หลายทาง (ชาญวิทย์ตันติพิพัฒน์: 2549)
Direct spread มะเร็งอาจลามไปตามผนังกระเพาะถึงส่วนต้นของ Duodenum หรือส่วนล่างของหลอดอาหารมะเร็งประเภท limitis plastica อาจลามทั่วทั้งกระเพาะหรืออวัยวะข้างเคียง
Lymphatic spread พบได้บ่อยมากมะเร็งกระจายไปต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงต่อมาลามไปกลุ่มที่อยู่ห่างออกไป
Trancoelomic spread ทำให้มีก้อนเกาะอยู่ทั่ว ๆ ไปในช่องเยื่อบุช่องท้องผู้ป่วยมักมี ascites ร่วมด้วยเสมอ
Blood-bome metastasis ผ่าน portal vein ไปกับพบได้บ่อยกว่าอวัยวะอื่นผู้ป่วยส่วนมากเสียชีวิตก่อนที่มะเร็งจะกระจายไปทั่วร่างกายเช่นปอดหรือกระดูก
ขนาด
T3N1M0 ก้อนมีขนาดใหญ่ ลุกลามแพร่เข้าต่อมน้ำเหลือง แต่ไม่พบการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
การพยาบาลก่อนการผ่าตัด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 1
ผู้ป่วยไม่สุขสบายเนื่องจากปวดท้อง
กิจกรรมการพยาบาล
ให้งดน้ำ งดอาหาร (Nothing Per Oral)
จัดท่าผู้ป่วยให้อยู่ในท่านอนหงายศีรษะสูง(Fowler’sposition) เป็นท่าที่จัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 60 ถึง 90 องศา และปรับให้ระดับปลายเตียงสูง 10-20 องศา ท่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยทำให้ผนังหน้าท้องหย่อนตัว
ให้การพยาบาลโดยใส่สาย NG และ Lavage เพื่อช่วยดูดน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ลดอาการแน่นอึดอัด
ให้ยา Omeprazole เพื่อเคลือบและลดกรดในกระเพาะอาหาร
5.วัด Vital sign และ Pain score ทุกๆ 4 ชั่วโมง
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 2 มีภาวะขาดสารอาหารเนื่องจากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอเนื่องจากมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและแน่นท้อง
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินภาวะขาดสารอาหาร เช่น อ่อนเพลีย อาการบวมตามแขนขาเพราะจะทำให้ทราบถึงระดับความรุนแรงของภาวะขาดสารอาหาร
2.ให้ Smofkabiven peripheral 80 ml/hr เพื่อเสริมพลังงานให้ร่างกายพร้อมสำหรับการผ่าตัด
ติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ albumin electrolyte
4.ประเมินลักษณะสี กลิ่น ของสารคัดหลั่งจาก NG
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 5 ผู้ป่วยวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัด
กิจกรรมการพยาบาล
ประเมินการผ่าตัด
สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้ป่วยเเละญาติ
อธิบายผู้ป่วยและญาติให้ทราบถึงแผนการรักษาต่อไป คือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขสาเหตุของอาการ ปวดท้อง พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยซักถามปัญหาและข้อสงสัยต่างๆ
สอนผู้ป่วยเกี่ยวกับวิธีปฎิบัติตัวทั้งก่อนเเละหลังผ่านตัด
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 3 ผู้ป่วยมีภาวะซีด
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการแสดงของภาวะซีด เช่นอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย อาการหน้ามืด เวียนศีรษะ เป็นต้น
2.แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารผักใบเขียวเช่น คะน้า ผักโขมและอาหารที่ช่วยส่งเสริมการสร้าง เม็ดเลือดแดง เช่นตับ เนื้อสัตว์สีแดง เป็นต้น
3.แนะนำผู้ป่วยให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการติดเชื้อ เช่น ซึ่งส่งเสริมให้มีภาวะซีดมากขึ้น
4.ติดตามผล hemoglobin และ hematocrit ให้อยู่ในค่าปกติ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลข้อที่ 4 ผู้ป่วยไม่สุขสบายเนื่องจากมีอุณหภูมิร่างกายสูง
กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินวัดอุณภูมิร่างกายของคนไข้ ทุก 4 ชั่วโมง
2.แนะนำและเช็คตัวให้คนไข้
3.ให้ยา Ceftriaxone เนื่องจากผู้ป่วยมีอุณภูมิร่างกายสูง เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคเรียในกระเเสเลือด