Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

:star: คำศัพท์ทางพหุวัฒนธรรม :star:, ปัจจุบันต่อให้เป็นที่ยอมรับกันมากมาย…

- - - - คอเคซอยด์
        
        ส่วนกลุ่มชาติพันธุ์คอเคซอยด์ ก็คือกลุ่มชาติพันธุ์หลักของผู้คนในยุโรป, เอเชียตะวันตก (ตะวันออกกลาง) เอเชียใต้ รวมไปถึงแอฟริกาเหนือ
      - นิกรอยด์
        
        และกลุ่มชาติพันธุ์นิกรอยด์ ก็คือกลุ่มชาติพันธุ์หลักของผู้คนในทวีปแอฟริกา, ภูมิภาคเมลานีเซียรวมไปถึงชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย (ชาวอะบอริจิน) เป็นต้น
      - มองโกลอยด์
        
        สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์มองโกลอยด์ ก็คือชาติพันธุ์หลักของผู้คนในเอเชียตะวันออก, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, กลุ่มชนพื้นเมืองในภูมิภาคโพลินีเซียนในนิวซีแลนด์, ชาวเอสกิโมหรืออินูอิต รวมไปถึงชนพื้นเมืองในอเมริกาเหนือและใต้
- - - - หลักความเสมอภาคทั่วไปเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลทุกคนที่อาจกล่าวอ้างกับการกระทำใดๆของรัฐได้ หากเรื่องนั้นมิได้มีการกำหนดไว้ในหลักความเสมอภาคเฉพาะเรื่อง แต่หากเรื่องใดมีหลักความเสมอภาคเฉพาะเรื่องกำหนดไว้แล้วก็ให้พิจารณาไปตามหลักความเสมอภาคเฉพาะเรื่องนั้นๆ
      - 2.หลักความเสมอภาคเฉพาะเรื่องคือ หลักความเสมอภาคที่ใช้เฉพาะภายในขอบเขตเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ เช่น หลักความเสมอภาคเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับชายและหญิง เป็นต้น
- - - - การเลือกปฏิบัติโดยตรง คือ การปฏิบัติที่แยกความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มคน ทำให้คนบางกลุ่มใช้สิทธิของตนได้น้อยกว่าคนกลุ่มอื่น
      - การเลือกปฏบัติโดยอ้อม คือ เมื่อมีการกำหนดกฎหมาย นโยบาย หรือแนวปฏิบัติที่มีเงื่อนไขเป็นกลาง (neutral) ไม่มีการแบ่งแยกแตกต่างชัดเจน แต่กลับทำให้กลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งเสียเปรียบอย่างชัดเจน
      - การเลือกปฏิบัติแบบทับซ้อน คือ เมื่อรูปแบบการเลือกปฏิบัติหลายรูปแบบเกิดขึ้นพร้อมกัน ทำให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น
    - - การที่รัฐมีนโยบายเรียนฟรีถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่3แต่ยจังมีหลายโรงเรียนที่ยังมีการเก็บค่าเทอมค่าธรรมเนียมต่างๆ ทำให้เด็กหลายๆคนไม่สามารถเข้าถึงการเรียนได้อย่างเต็มที่
      - การแบ่งฐานะระหว่างคนจนกับคนรวย อย่างเช่น content ใน youtube ที่เคยทำประเด็นทีว่า หากเราแต่งตัวดูไม่ดีไม่มีฐานะแล้วเดินเข้าห้างไปเลือกซื้อของแบรนด์ดัง ก็จะถูกพนักงานปฎิบัติตัวกลับมาแตกต่างและไม่เหมือนกับคนที่แต่งตัวดีมีฐานะ
- - - - การข้ามทางม้าลาย ในต่างประเทศรถจะหยุดให้ผู้ที่เดินเท้าข้ามถนนก่อน แต่ในไทยคุณมีโอกาสถูกรถชนเมื่อข้ามทางม้าลายโดยไม่ระวัง แม้ว่าจะมีสัญญาณไฟก็ตาม
      - การใช้เท้าในประเทศตะวันตกที่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับวัฒนธรรมไทย (และหลายประเทศในเอเชีย) มองว่าการใช้เท้าเป็นเรื่องที่ไม่สุภาพเพราะถือว่าเท้าเป็นของต่ำ
      - การทักทายด้วยการกอด ที่เป็นเรื่องปกติของชาวตะวันตก แต่ชาวเอเชียอาจมองว่าเป็นการถึงเนื้อถึงตัวกันเกินไป
    - - วิธีการรับมือ Culture Shock คือ การปรับตัวหรือเปิดใจยอมรับในวัฒนธรรมที่แตกต่าง และการเข้าใจความแตกต่างทางวัฒนธรรม เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ไม่พอใจได้ โดยทั้งหมดที่ว่าจำเป็นที่จะต้องต้องใช้ความเคยชิน (จนกว่าจะรู้สึกชิน) ผู้ที่เกิดอาการ Culture Shock จึงควรที่จะพยายามหาวิธีผ่อนคลาย หาอะไรทำให้ไม่รู้สึกเบื่อและเครียดจากความไม่คุ้นเคย
      - สำหรับใครที่กังวลในเรื่องของ Culture Shock อย่างน้อยที่สุดก่อนที่จะย้ายไปอยู่ต่างวัฒนธรรม ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมนั้นก่อน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมก่อนที่จะต้องเผชิญความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย
    - - Honeymoon คือ ช่วงแรกหลังจากที่ย้ายไปอยู่ต่างวัฒนธรรม ที่ยังมองเรื่องใหม่ๆ เป็นความตื่นเต้น เนื่องจากไม่เคยเห็นหรือไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อน Culture Shock จะเกิดขึ้นหลังจากช่วงที่ตื่นเต้นกับการได้พบเจอสิ่งใหม่ในช่วงนี้
      - Culture Shock คือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความตื่นเต้นต่อสิ่งใหม่ในช่วง Honeymoon หมดลง แล้วพบว่าวัฒนธรรมใหม่เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่คุ้นชิน
      - Adjustment คือ ช่วงของการปรับตัว ในช่วงนี้ผู้ที่มีอาการ Culture Shock จะเริ่มรับอะไรๆ หลายอย่างได้บ้างแล้ว จากการที่ตระหนักรู้ว่าวัฒนธรรมบางอย่างเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลี่ยงได้หรือเป็นเรื่องปกติ และในบางกรณีอาจปลีกตัวออกจากวัฒนธรรมนั้น (ถ้าหากว่าทำได้)
      - Adaptation คือ ระยะที่ 4 ที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อสามารถปรับตัวกับวัฒนธรรมใหม่ได้แล้ว ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติในวัฒนธรรมใหม่
- - - - 2.ถ้าเราเป็นเขาเราเองก็ทำเหมือนเขา
        เมื่อเรารู้แล้วว่าปฏิกิริยา อาการที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องของประสบการณ์เก่าของแต่ละคน เกิดจากโลกภายในของแต่ละคน การเลี้ยงดูที่เราต่างถูกปฏิบัติได้รับการเลี้ยงดูมาไม่เหมือนกัน ทำให้การปฏิบัตินั้นแตกต่างกันและจงเข้าใจไว้เลยว่า ถ้าเราเป็นเขาเราเองก็ต้องทำแบบเขาเช่นกัน เพราะคนเราจะทำเกินจากที่เรารู้และการจัดการสภาวะอารมณ์ในตอนนั้นไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์และการศึกษาการทำงานของจิตใจของตัวเองมากขึ้น เมื่อเข้าใจแล้วเราจะอภัยได้มากขึ้น
        
        3.ให้อภัยเขา
        เมื่อเรารับรู้ถึงสิ่งที่ทำให้คนที่ไม่ชอบเราหรืออคติกับเราว่าเกิดจากอะไรแล้ว จากนั้นให้เราลองมองโลกผ่านมุมมองของเขา เราจะสามารถเข้าใจเขาได้มากขึ้น เข้าใจถึงการกระทำและการตัดสินใจของเขามากขึ้น และให้อภัยเขามากขึ้น
        
        4.กลับมาโฟกัสที่ตัวเราเอง
        ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อให้เรากลับมารักตัวเอง ศรัทธาในตัวเองมากขึ้น เมื่อสิ่งที่เราทำนั้นคือเจตนาด้านบวก ก็ขอให้เราจงภูมิใจ พอใจกับตัวเองว่าเราทำดีที่สุดแล้วและดีขึ้นได้อีก ส่วนอะไรที่เราเห็นว่าควรปรับปรุงก็จงนำมาปรับปรุง แบบนี้เราจะได้แต่สิ่งดี ๆ กลับมา ได้ทั้งการให้พัฒนาจิตใจเราก็จะเติบโตและพัฒนาตัวเองไปสู่จุดที่ดีขึ้น
- - - - Ben-Zaken แย้งว่าการแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมเกิดขึ้นที่สถานที่แห่งวัฒนธรรมที่มืดมนซึ่งขอบของวัฒนธรรมหนึ่งซ้อนทับกับอีกวัฒนธรรมหนึ่ง ทำให้เกิด "เขตที่โอบรับซึ่งกันและกัน" ซึ่งการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นในทางโลกีย์ จากโซนที่กระตุ้นความรู้สึกดังกล่าว แนวคิด รูปแบบ เครื่องมือ และการปฏิบัติจะมุ่งไปสู่ศูนย์วัฒนธรรม กระตุ้นให้พวกเขาปรับปรุงและปรับปรุงแนวความคิดทางวัฒนธรรม
- - - - 1.ฝั่งที่ดึงเอาหรือลอกแบบวัฒนธรรมไปใช้นั้นคือฝั่งซึ่งมีความเหนือกว่าทางอำนาจด้านวัฒนธรรมว่า ก็คือ เป็นคนที่แข็งแรงกว่าแล้วดึงเอาส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมคนที่ “แรงน้อยกว่า” ไปใช้งาน หรือมีลักษณะของความไม่ได้ดุลย์ทางอำนาจอยู่ด้วย
      - การดึงเอาวัฒนธรรมไปใช้นั้น เป็นการดึงเอาไปใช้อย่าง “ผิดฝาผิดตัว/ผิดเป้าประสงค์/ผิดรูปแบบ” จากที่ปกติวัฒนธรรมต้นรากนั้นใช้กัน
- - - - คนแต่ละคนต้องได้รับการจัดสรรชุดของสิทธิและเสรีภาพพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นชุดที่ครบถ้วนและเพียงพอ เข้ากันได้กับชุดของสิทธิและเสรีภาพแบบเดียวกัน
      - ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจและสังคม จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อตอบสนองเงื่อนไขสองข้อ ดังนี้
        
        2.1. ตำแหน่งและหน้าที่การงานต้องเปิดให้แก่คนทุกคน
        
        2.2. ความไม่เท่าเทียมนี้ ต้องเป็นไปเพื่อผลประโยชน์จำนวนมากที่สุดของสมาชิกที่เสียเปรียบที่สุดของสังคม
- - - - ในอดีตของสังคมสหรัฐอเมริกาคนผิวสี ผู้หญิงหรือคนที่มีการศึกษาน้อยจะกลายเป็นกลุ่มที่มีโอกาสน้อยกว่า การขยับขยายชนชั้นทางสังคมเป็นไปได้ยากสำหรับคนกลุ่มนี้ ดังนั้นเมื่อโอกาสในการเคลื่อนชนชั้นทางสังคมของกลุ่มคนบางกลุ่มถูกปฎิเสธ ถูกกีดกันไม่ให้เข้าถึงทรัพยากรที่มีคุณค่า จึงเกิดเป็นสภาพการกดขี่และเกิดการเอารัดเอาเปรียบขึน
        
        สังคมสหรัฐในอดีตจึงเป็นโครงการระบบชนชั้นวรรณะ ซึ่งมีผลทำให้มีความแตกแยกในการดำเนินชีวติของคนกลุ่มน้อยต่างชาติพันธุ์และเชื้อชาติที่ยากจนมากขึ้น
      - เพดานแก้ว” หรือ glass ceiling หมายถึงอุปสรรคอันเสมือนจะมองไม่เห็นว่ามีอยู่ เพราะความใสเหมือนแก้ว แต่ก็เป็นตัวกีดกั้น ซึ่งมีอยู่จริงสำหรับผู้หญิงหรือคนที่ด้อยโอกาสกว่าบางกลุ่ม อย่างคนเพศที่สาม หรือคนกลุ่มน้อยที่แตกต่างทางชาติพันธุ์ สีผิว หรือศาสนา ที่จะเติบโตไปในหน้าที่การงานหรืออาชีพบางประเภท ส่วนใหญ่ธรรมเนียมแบบเพดานแก้วจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกกฎหมาย หมายถึง กฎหมายไม่ได้ให้การยอมรับ แต่ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในหลายๆ สังคม ทั้งสังคมประชาธิปไตย สังคมอำนาจนิยม และสังคมเผด็จการ
- - - - ให้ความสำคัญกับกระบวนการ
      - ให้ความสำคัญกับเหตุผลระมัดระวังอารมณ์
      - มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบสิ่งที่เชื่อว่าถูกหรือผิด
    - - 1 : หาความรู้ ขั้นตอนนี้มีเป้าหมายที่ต้องการ 2 อย่างด้วยกันคือ เข้าใจปัญหา และเข้าใจว่าทำไมเราถึงจำเป็นต้องแก้ปัญหานั้น ๆ
      - 2 : ทำความเข้าใจ ข้อมูลที่ได้มาและแบ่งประเภทแบ่งหมวดหมู่ให้เรียบร้อย ถูกต้อง
      - 3 : การประยุกต์ ในขั้นตอนนี้ เครื่องมือที่นิยมใช้ก็คือ การทำMind Map ด้วยการหาความสัมพันธ์ต่างๆ เชื่อมกับปัญหาหรือเป้าหมายที่เราต้องการ
      - 4 : การวิเคราะห์ คือการชำแหละข้อมูลต่างๆ ลงเป็นส่วนย่อยๆ เพื่อพิจารณาอย่างละเอียด หาสิ่งที่เป็นปัจจัย หรือสาเหตุที่มีผลต่อปัญหา รวมถึงแนวทางแก้ไข เครื่องมือที่นิยมใช้คือ ผังแสดงเหตุและผล
      - 5 : การสังเคราะห์ คือการเอาความรู้ที่ได้ มาวางแผนเพื่อการลงมือปฏิบัติ ลงตารางการทำงาน รวมถึงประเมินสถานการณ์
      - 6 : การลงมือทำ เป็นการนำแผนปฏิบัติงานที่ออกแบบไว้ดีแล้ว มาลงมือปฏิบัติจริง เพื่อแก้ปัญหาหรือเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เราระบุไว้ขั้นตอนที่ 1
      - 7 : การประเมิน คือการต่อยอดความคิดที่ได้ ด้วยการประเมินผลลัพธ์ หลังลงมือปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดอีกครั้ง ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่อย่างไร
- - - - ทฤษฎีที่สอดคล้องของทฤษฎีความผูกพันทางสังคม
        
        กล่าวว่าไม่มีความจ้าเป็นต้องอธิบายแรงจูงใจหรือแรงกระตุ้นของพฤติกรรมอาชญากรรม เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์โลกที่มีความสามารถโดยธรรมชาติที่จะประกอบอาชญากรรมอยู่แล้ว โดยเฮอร์ชิได้นำเสนอทฤษฎีควบคุมโดยมีใจความสำคัญว่า บุคคลที่มีความผูกพันกับองค์กรหรือกลุ่มในสังคมซึ่งได้แก่ครอบครัวโรงเรียน และเพื่อนฝูง มักจะมีแนวโน้มที่จะไม่ประกอบอาชญากรรม
        
        หลักการสำคัญของทฤษฎีนี้ คือ พันธะทางสังคมหรือความผูกพันทางสังคมที่ได้แบ่งออกเป็น 4 ประเภท
        
        ความผูกพัน หมายความถึงการที่บุคคลมีความผูกพันหรือความรักใคร่กับบุคคลอื่นหรือมีความสนใจกับความรู้สึกนึกคิดของบุคคลอื่น
        
        ข้อผูกมัด หมายความถึงการที่บุคคลผูกมัดกับการดำเนินชีวิตกล่าวคือได้ศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะประกอบอาชีพที่สุจริตและเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลไม่อยากกระทำผิดกฎหมาย
        
        การเข้าร่วม หมายความถึงการที่บุคคลได้เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของสังคมเป็นเหตุให้บุคคลถูกจ้ากัดเวลาที่จะไปประกอบอาชญากรรม เนื่องจากเวลาส่วนมากได้ถูกใช้ไปกับกิจกรรมของสังคม ดังนั้นการเข้าร่วมจึงเป็นองค์ประกอบด้านกิจกรรมของพันธะหรือสัญญาผูกมัดที่บุคคลมีต่อสังคม
        
        ความเชื่อ หมายความถึงระดับของความเชื่อถือที่บุคคลมีต่อค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคม หากบุคคลมีระดับความเชื่อต่อค่านิยมและบรรทัดฐานในสังคมสูงก็จะมีแนวโน้มที่จะไม่กระท้าผิดกฎระเบียบของสังคม
- - - - จากความหมายของคำว่า อุดมการณ์ พอจำแนกคุณลักษณะที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่
        
        หลักการ แนวคิด หรือความเชื่อ
        
        เป้าหมายที่ต้องการ
        
        วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ