Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบย่อยอาหาร (Digestive system) - Coggle Diagram
ระบบย่อยอาหาร
(Digestive system)
2.อวัยวะเสริมในย่อยอาหาร
(Accessory digestive organs)
ตับ (liver)
ตั้งอยู่บริเวณชายโครงขวา (+b 5-10) และมีกะบังลมคลุมอยู่ ยื่นผ่านแนวกลาง
ลำตัวไปทางด้านซ้าย
Ligaments/Peritoneal A ttachments of the Liver
Coronary ligament
ยึดผิวด้านบนของตับไว้กับกะบังลม
Falciform ligament
ยึดผิวด้านหน้าของตับไว้กับกะบัง ลมและผนังหน้าท้อง
Round ligament of liver (ligamentum teres hepatis)
ยึดระหว่างตับกับสะดือ ซึ่งเป็นส่วนเหลือของ แmbilical vein ในตัวอ่อน
Lesser omentum
ยึดขั้วตับไว้กับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนด้น
Hepatogastric ligament
Hepatoduodinal ligament
ลักษณะภายนอกของตับ แบ่งออกเป็น 4 กลีบ (Lobe)
Left and Right lobe
Caudate and Quadrate
ลักษณะทางจุลกายวิภาคของตับ
เนื้อตับประกอบด้วยหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เรียกว่า hepatic Ilobule
ประกอบด้วย Central yein เป็นจุดศูนย์กลาง
ตรงมุมหกเหลี่ยมมีโครงสร้าง เรียกว่า portal triad
ภายในตับประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือ
Liver cell หรือ hepatocytes ทำหน้าที่สร้างน้ำดี และขับออกที่ช่องแคบ ๆ เรียก bile canaliculi
Kuffer cell บุอยู่ใน sinusoid ทำหน้าที่เก็บกินเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ และแบคทีเรียที่ปนมากับเลือด
หน้าที่ของตับ
ช่วยเผาผลาญสารอาหารต่างๆ
กำจัดและทำลายพิษของยาและฮอร์โมนบางชนิด เช่น penicilin, estrogrn, thyroxine
สร้างน้ำดีขับออกสู่ลำไส้เล็กสำหรับย่อยและดูดซึมสารอาหารพวกไขมัน
เก็บสะสมอาหารเช่น glucose ไว้ในรูปของ glycogen และเป็นแหล่งสะสมธาตุ
เหล็กและทองแดง วิตามิน A, D, B12
สร้างเม็ดเลือดแดงในทารก
สลาย HB ของเม็ดเลือดแดงให้เป็น โกลบิน และฮีม 7. สร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด
สร้างโปรตีน เช่น โปรทรอมบิน ไฟบริโนเจน อัลบูมิน
สังเคราะห์กรดอะมิโน
ถุงน้ำดี (gallbladder)
วางตัวอยู่ตามขอบข้างขวาของ quadrate Iobe ทำหน้าที่ทำให้น้ำดีที่คัดหลั่งจากตับเข้มข้นขึ้น เพื่อปล่อยลงสู่ลำไส้เล็ก ทาง common bile duct
มีขนาดเส้นผ่าน ศูนย์กลาง 4 ชม.
มีความยาวประมาณ 7-10 ซม
มีความจุถึง 30-60 มล.
ถุงน้ำดีแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
Fundus
Body
Neck
ระบบทางเดินน้ำดีประกอบด้วย
Common hepatic duct
Cystic duct
Common bile duct
ต่อมน้ำลาย (salivary glands)
มีหน้าที่สร้างน้ำลาย (saliva) และถูกขับออกมาเข้าไปในช่องปาก
แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
Minor salivary glands
Major salivary glands
ต่อมน้ำลายข้างกกหู (Parotid Gland)
ผลิตน้ำลายที่มีลักษณะเป็นน้ำใส
25 % ของน้ำลายทั้งหมด
ต่อมน้ำลายได้ลิ้น (Sublingual Gland)
ผลิตน้ำลายที่มีลักษณะ
เป็นน้ำใสปนเมือกเหนียว
ต่อมน้ำลายได้ขากรรไกรล่าง (Submandibulary Gland
ผลิตน้ำลายที่มีลักษณะข้น
75 %ของน้ำลายทั้งหมด
ตับอ่อน (Pancreas)
วางตัวอยู่ในกระดูกสันหลัง ระดับ L.1-12
ทำหน้าที่
สร้างน้ำย่อย (pancreatic juice)
สร้าง glucagon และ insulin
แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ Head Body Tail
ท่อของตับอ่อน
Main pancreatic duct ไปรวมกับ common bile duct รวมเป็น hepatopancreatic
ampulla แล้วเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็กทาง Major duodenal papila
Accessory pancreatic duct ปีดเข้าสู่ลำไส้เล็กทาง Minor duodenal papilla
จุลกายวิภาคของตับอ่อน
เนื้อต่อม 1% เป็น Pancreatic islets (islets of Langerhans)
สร้าง glucagon, insulin
เนื้อต่อมส่วนที่เหลือ เป็น Acini cell ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยของตับอ่อน (Pancreatic Juice) ประกอบด้วย
โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3)
น้ำย่อยอะไมเลส (Amylase)
นำย่อยลิเพส (Lipase)
ฟัน (teeth)
ตัวฟัน (Crown)
คอฟัน (Neck)
รากฟัน (Root)
หน้าที่
ช่วยในการทำเสียงเวลาพูด
ช่วยรักษาขนาดและรูปร่างของขากรรไกร
ช่วยในการเคี้ยวอาหารและบดอาหาร
ฟันในคน มี 2 ชุด เรียก dentation ได้แก่
ฟันน้ำนม (Deciduous feeth) เป็นฟันชุดแรกมี 20 ซี่ เริ่มงอกอายุประมาณ 6 เดือน
ฟันชุดที่ 2 ฟันแท้ (Permanent teeth) มีจำนวน 32 ซี่ เริ่มงอกอายุประมาณ 6 ปี
ฟันน้ำนม (deciduous teetb):รูปร่างของส่วน crOwn ของ
ฟันบน และฟันล่าง, อายุที่ฟันงอก
ฟันแท้ (permanent teeth): รูปร่างของส่วน crown ของฟันบนและฟันล่าง, อายุที่ฟันงอก
ลิ้น (Tongue)
ทำหน้าที่คลุกเคล้าอาหาร ช่วยในการกลืนและช่วยในการออกเสียง
รับรสอาหารชนิดต่างๆได้โดยมีต่อมรับรส (Taste bud)
กล้ามเนื้อของลิ้น
Extrinsic muscles of tongue ได้แก่ กล้ามเนื้อที่มีจุดเกาะต้นจากที่อื่นนอกลิ้น และมาเกาะที่เนื้อเยื้อเกี่ยวพันของลิ้น ได้แก่ Genioglossus Hyoglossus Styloglossus Palatoglossus
Intrinsic muscles of tongue ได้แก่ กล้ามเนื้อที่มีต้นกำเนิดและเกะที่เนื้อเยื้อเกี่ยวพันภายในลิ้น กล้ามเนื้อเหล่านี้มีการเรียงตัว 3 แนว ได้แก่ longitudinal (superior & inferior) transverse vertical muscles
intrinsic muscles ถูกเลี้ยงด้วย hypoglossal nerve
1.ท่อทางเดินอาหาร
(Gastrointestinaltract หรือ alimentary canal)
หลอดอาหาร (Esophagus)
ยาวประมาณ 10-12 นิ้ว
เริ่มจากปลาย laryngopharynx และ ลอดผ่านกะบังลมทางรูเปิดที่เรียกว่า esophageal hiatus สิ้นสุดโดยเปิดเข้าสู่ส่วนบนของกระเพาะอาหาร
หน้าที่ของหลอดอาหาร
เป็นทางผ่านของอาหารที่เคี้ยวแล้ว โดยการบีบตัวเป็นคลื่น ของหลอดอาหารทให้ส่งอาหารไปสู่กระเพาะอาหาร โดยการกระตุ้นของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10
ตำแหน่งที่เป็นรอยคอดของหลอดอาหาร (esophageal constriction)
หลอดอาหารจะพบตำแหน่งรอยคอดอยู่ 3 แห่งได้แก่
Upper esophageal constrietion (Cervical constriction)
Middle esophageal constriction (Broncho-aortic constriction)
Lower esophageal constrietion (Diaphragmatic constriction) วัตถุมักติดในตำแหน่งที่เป็นรอยคอดของหลอดอาหาร (csophageal constriction)
กายวิภาคหูรูดหลอดอาหาร
กระเพาะอาหาร (Stomach)
กระเพาะอาหาร แบ่งเป็น 4 ส่วนได้แก่
Cardia เป็นส่วนต่อมาจากหลอดอาหาร
Fundus เป็นส่วนโก้งด้านบนสุดของกระเพาะอาหาร
Body เป็นส่วนกลางของกระเพาะอาหาร
Pylolus เป็นส่วนปลายของกระเพาะอาหารก่อนเข้า
ลำไส้เล็กส่วนต้น
หน้าที่ของกระเพาะอาหาร
เป็นที่พักและกักเก็บอาหาร
สร้างเอนไซม์และขับน้ำย่อย (Gastric juice)
คลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำย่อย
ผนังของกระเพาะอาหาร
Gastric gland proper
ลำไส้เล็ก (Small intestine)
เริ่มตั้งแต่ pyloric sphincter ไปจนถึง
ileocaccal valve จึงเปิดเข้าสู่ลำไส้ใหญ่
ลำไส้เล็กแบ่ง เป็น 3 ส่วนได้แก่
-ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum)
-ลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum)
-ลำไส้เล็กส่วนปลาย (lleum)
ผนังของลำไส้เล็ก มี 4 ชั้นคือ
Mucosa พบ globelt cell, Villi, หลอดน้ำเหลือง Lacteal, Intestinal crypt
Submucosa
Muscularis
Serosa
ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum)
ยาวประมาณ 10 นิ้ว
เริ่มจาก Pyloric sphincter ไปจนถึง duodenojejunal flexure
ไม่มีเยื่อแขวนลำไส้
ลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum)
ยาวประมาณ 8 ฟุต
มีการดูดซึมไขมันและ B12 มาก
ลำไส้เล็กส่วนปลาย (Ileum)
ยาวประมาณ 12 ฟุต เป็นส่วนที่มีการ
ดูดซึมมากที่สุด ติดต่อกับลำไส้ใหญ่
ส่วนต้น บริเวณ ileocaecal yavle
การเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมของลำไส้เล็ก
ความยาว
Plica circulares
Villi
หน้าที่ของลำไส้เล็ก
หลั่งน้ำย่อย
เคลื่อนไหวเพื่อคลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำย่อยต่างๆ และทำให้อาหาร เคลื่อนที่ไปตามท่อของลำไ ส้เล็ก
ลำไส้ใหญ่ (Large intestine)
ยาวประมาณ 1.5 เมตร
เริ่มตั้งแต่ลำไส้ใหญ่ส่วน Cecum ไปจนถึง Anus
ลำไส้ใหญ่แบ่งได้ดังนี้ คือ
ลักษณะภายนอกของลำไส้ใหญ่
1.Cecum
พบ
leocecal vale
Vermiform appendix
2.Colon
1) Ascending colon
2) Transverse colon
3) Descending colon
4) Sigmoid colon
Rectum
ต่อจาก Sigmoid colon เริ่มต้นจาก S3 รูปร่างโค้งตามความโค้งของ sacrum และ c๐ccyx ส่วนปลายสุดจะหักขึ้นไปด้านหลังและลงข้างถ่างแคบเป็น anal canal ทาง ด้านล่างของ rectum ในผู้ชายอยู่หลังต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงอยู่หลัง Vagina
Anal canel
มีกล้ามเนื้อที่สำคัญ 2 มัดคือ
Internal anal sphincter (smooth muscle) External anal sphincter (skeletal muscle)
ผนังของลำไส้ใหญ่ มี 4 ชั้นคือ
Mucosa ไม่มี villi และ มี goblet cells จำนวนมาก
Submucosa 3. Muscularis WU taeniae coli แรงตึงตัวทำให้เกิด haustra
Serosa ผนังนี้มีไขมันมาสะสมเป็นติ่งไขมันเรียกว่า epiploic appendage
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่
ดูดน้ำและสารละลายบางอย่างกลับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำกับสารละลายภายในร่างกาย
ขับถ่ายกากเหลือจากการย่อยอาหาร
คอหอย (Pharynx)
หน้าที่ของคอหอย
ช่วยในการทำให้เกิดเสียง
เป็นทางผ่านของอาหารจากปากไปสู่หลอดอาหาร
ปาก (Mouth)
กระบวนการย่อยเริ่มต้นที่ช่องปาก เมื่อคุณเริ่มเคี้ยวอาหาร ฟันทำหน้าที่บดอาหารให้เป็นชิ้นเล็ก ต่อมน้ำลายจะผลิตน้ำลายออกมาคลุกเคล้ากับอาหาร เพื่อให้ง่ายต่อการกลืนและเคลื่อนผ่านไปยังส่วนต่อไป นอกจากนี้ ในน้ำลายยังมีเอนไซม์อะไมเลส ทำหน้าที่ย่อยอาหารจำพวกแป้งด้วย
ทวารหนัก (Anus)
มีหน้าที่ในการควบคุมการปล่อยอุจจาระ, ของกึ่งแข็งที่ไม่เป็นที่ต้องการในระบบย่อยอาหาร
เยื่อบุช่องท้อง (Peritoneum)
แบ่งออกเป็น 2 ชั้นคือ
ชั้นนอก (Parietal peritoneum) คือ เยื่อบูช่องท้องที่ติดกับผนังช่องท้องด้านใน
ชั้นใน (Visceral peritoncum) คือ เยื่อบูช่องท้องส่วนหุ้มอวัยวะต่างๆในช่องท้องมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป
การจัดเรียงตัวของเยื่อบุช่องท้อง
-เยื่อบุช่องท้องในเพศหญิง พบแอ่ง เรียก rectouterine pouch และ เกิดแอ่งเรียกuterovesical pouch
-เยื่อบุช่องท้องในเพศชายจะไม่พบ
Greater and Lesser omentum
หน้าที่ของเยื่อบุช่องท้อง
สร้าง Peritoneal luid มาหล่อลื่น เพื่อลดแรงเสียดทาน เมื่องวัยวะ ภายในมีการเคลื่อนไหว
ป้องกันการกระจายของเชื้อโรค
แขวนอวัยวะต่างๆให้คงอยู่ในตำแหน่งและเป็นที่กาะของหลอดเลือด
หลอดน้ำเหลือง และเส้นประสาท
โครงสร้างของผนังท่อทางเดินอาหาร
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชั้น ได้แก่
ชั้นเยื่อเมือก (Mucosa)
ชั้นใต้เยื่อเมือก (Submucosa)
ชั้นกล้ามเนื้อเรียบ (Muscularis externa)
Serosa (Adventitia)