Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติระบบทางเดินอาหารทางเดินน้ำดี ตับและตับอ่อน…
การพยาบาลผู้ป่วยที่มีความผิดปกติระบบทางเดินอาหารทางเดินน้ำดี ตับและตับอ่อน
มะเร็งหลอดอาหาร (CA esophagus)
เป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณหลอดอาหารซึ่งเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ลำเลียงอาหารและของเหลวตั้งแต่คอลงไปยังกระเพาะ เมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น จะส่งผลให้หลอดอาหารแคบลง จนทำให้ผู้ป่วยกลืนอาหารลำบาก อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
อาการ เจ็บหน้าอก รวมถึงรู้สึกอึดอัด ไม่สบาย รู้สึกได้ถึงแรงกด หรือแสบร้อนบริเวณหน้าอก อุจจาระเป็นสีดำ น้ำหนักลดลง เป็นผลมาจากปัญหาการกลืนอาหาร และอาจทำให้รู้สึกเบื่ออาหาร เสียงแหบ ไอเรื้อรัง สะอึก อาเจียน
สาเหตุของมะเร็งหลอดอาหารยังไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัด แต่อาจเป็นความผิดปกติหรือการกลายพันธุ์ของสารพันธุกรรม (DNA) บริเวณหลอดอาหาร ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย จนทำให้ดีเอ็นเอได้รับความเสียหาย เจริญเติบโตผิดปกติ และกลายเป็นเนื้องอกหรือมะเร็งในที่สุด
การรักษา คือ การผ่าตัด การทำเคมีบำบัด การฉายแสง
แผลในระบบทางเดินอาหาร
(peptic ulcer)
เป็นโรคที่เกิดมีแผลขึ้นในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น บริเวณปลายหลอดอาหารส่วนที่อยู่ต่อกับกระเพาะอาหารร่วมด้วย เนื่องจากเยื่อเมือกบุภายในทางเดินอาหารเหล่านี้ถูกทำลายโดยน้ำย่อยจากกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่กระตุ้นให้เกิดโรคได้อีก
อาการ เรอ แน่นท้อง หรือท้องอืด หลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง น้ำหนักลด อาหารไม่ย่อย แสบร้อนกลางอก รู้สึกจะเป็นลม หายใจลำบาก คลื่นไส้อาเจียน
การรักษา รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย หลักเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของดอง น้ำอัดลม งดสูบบุหรี่ และดื่มสุรา งดการใช้ยาแก้ปวดแอสไพริน ยาโรคกระดูกและยาข้ออักเสบทุกชนิด ผ่อนคลายความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานยาลดกรด หรือยารักษาแผลในกระเพาะอาหารติดต่อกัน
สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อเอชไพโลไร (Helicobacter Pylori) ซึ่งเชื่อว่า อาจติดต่อมาจากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่มีเชื้อปนเปื้อนอยู่ สาเหตุอื่นๆ เช่น กรดและน้ำย่อยที่หลั่งออกมาในกระเพาะอาหาร เป็นตัวทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร การรับประทานยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDS) การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดจัด ความเครียด เป็นต้น
การตกเลือดระบบทางเดินอาหาร
(Gastrointestinal bleeding)
เลือดออกในทางเดินอาหาร เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โดยมักจะพบเลือดปะปนอยู่ในอุจจาระหรือผู้ป่วยอาเจียนปนเลือดออกมา
สัญญาณและภาวะของ GI Bleeding ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยมีเลือดไหลออกจากบริเวณใดของทางเดินอาหาร ซึ่งสามารถพบได้ตั้งแต่ทางเดินอาหารส่วนต้นอย่างหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้น รวมถึงทางเดินอาหารส่วนปลายอย่างลำไส้ใหญ่ ลำไส้ตรง และทวารหนัก โดยอาการที่อาจพบได้ เช่น อุจจาระเป็นสีดำ อุจจาระมีเลือดสีแดงสดปนอยู่ อาเจียนออกมาเป็นสีแดงหรือสีดำคล้ายกากกาแฟ ปวดท้อง เป็นต้น หากมีเลือดออกปริมาณมากจะมีอาการเวียนศีรษะ อ่อนแรง และซีดร่วมด้วย ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว
สาเหตุ เกี่ยวกับถุงลมอัมพาต อาการที่ลำไส้ใหญ่บวม โรคเลือกคั่งในช่องท้อง ติดเชื้อ IBO และ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบที่ไม่ติดเชื้อ เกิดจากแผลพุพอง รีดสีดวงทวาร เกิดจากแหล่งที่ไม่ระบุรายละเอียด เกิดจากการฉายแสง หรือรัศมี และอื่น ๆส่วนสาเหตุของการปิดบังการไหลเวียนของเลือดในทางเดินอาหาร
GI Bleeding มีวิธีการรักษาแตกต่างกันไปตามสาเหตุ ผู้ป่วยบางรายอาจได้รับการรักษาในระหว่างการตรวจด้วยการส่องกล้องประเภทต่าง ๆ ไปพร้อมกัน โดยแพทย์อาจฉีดยา ใช้กระแสไฟฟ้าและเลเซอร์จี้ หรือใช้คลิปหนีบหลอดเลือดเพื่อให้เลือดหยุดไหล
กรดไหลย้อน
(Gastroesophageal reflux disease, GERD)
เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของสารคัดหลั่งในกระเพาะอาหารไม่ว่าจะเป็นกรดหรือแก๊สกลับไปที่หลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติร่างกายคนเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้างโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนมากขึ้นหรือย้อนบ่อยกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวต่อกรดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าปกติ
อาการ ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ กลางหน้าอก ซึ่งมักเกิดหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ จุกเสียด แน่นท้องบริเวณลิ้นปี่ ความรู้สึกเปรี้ยวหรือขมในปากและคอ มีอาหารย้อนขึ้นมาในปากและคอ
สาเหตุหลักของโรค Gerd เกิดจากการทำงานที่ผิดพลาดของกล้ามเนื้อหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ในบางรายก็มีสาเหตุไม่แน่ชัด มีงานวิจัยที่แสดงว่าการเกิดเนื้องอกในทางเดินอาหารก็มีส่วนทำให้เกิดโรคนี้ได้ แต่ผู้ที่มีเนื้องอกบางรายก็ไม่เกิดอาการของโรคนี้
การรักษา ยาลดกรด(Antacids) ลดความเป็นกรดของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ใช้ในผู้ที่มีอาการเล็กน้อยหรือเป็นเพียงชั่วคราว เช่น aluminium hydroxide, magnesium hydroxide ยากลุ่มยับยั้งโปรตอนปั้ม(Proton pump inhibitors, PPl) ยับยั้งโปรตอนปั้มที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นกลไกขั้นสุดท้ายในการหลั่งกรด จึงสามารถลดการหลั่งได้สมบูรณ์ เช่น omeprazole, esomeorazole, pantoprazole เป็นต้น
: :
โรคไสติ่งอักเสบ (Appendicitis)
การอักเสบของไส้ติ่งที่อยู่ระหว่างลำไส้เล็กส่วนปลายและลำไส้ใหญ่ส่วนต้น นับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันและอันตราย เพราะถ้าหากไม่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ไส้ติ่งที่อักเสบจะแตก ทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในไส้ติ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย อาจเข้าสู่กระแสเลือดจนทำให้เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
อาการ มีอาการปวดอย่างเฉียบพลัน ที่บริเวณรอบสะดือ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มีอาการปวดมากขึ้นขณะที่ไอ เดิน หรือแม้แต่ขยับตัว มีไข้ต่ำๆ มีอาการท้องเสีย ท้องผูก หรือมีอาการท้องอืดรวมด้วย มีอาการปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น
สาเหตุ ไส้ติ่งอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย โดยสาเหตุเกิดจากภาวะการอักเสบในไส้ติ่ง ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันภายในไส้ติ่ง สิ่งที่ไปอุดตันอาจเป็นได้ทั้ง เศษอุจจาระขนาดเล็กที่ทำให้ไส้ติ่งเกิดการติดเชื้อและบวมขึ้น หรืออาจเป็นก้อนเนื้อมะเร็ง บางครั้งก็อาจเกิดจากการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย รวมทั้งต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งเกิดการปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการขยายตัวขึ้นจนไปปิดกั้นไส้ติ่ง และทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่เกิดอาการอักเสบในที่สุด
การรักษา ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเท่านั้น เพราะจะช่วยรักษาอาการและช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เพราะเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที เหมาะกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่ร้ายแรงนัก หากรุนแรงถึงขั้นไส้ติ่งแตก ก็จะต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด
ภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (peritonitis)
เป็นเยื่อ 2 ชั้นที่คลุมอยู่โดยรอบช่องท้อง ซึ่งปกคลุมกระเพาะอาหาร ลำไส้และอวัยวะต่างๆ ภายในช่องท้องการอักเสบของเยื่อบุช่องท้องเป็นภาวะร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงถึงตายได้ มักเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่างๆ ภายในช่องท้อง
สาเหตุที่พบได้บ่อยก็คือ การแตกทะลุของกระเพาะลำไส้ เช่น กระเพาะอาหารทะลุ ไส้ติ่งแตก ลำไส้ทะลุจากไข้ไทฟอยด์ ลำไส้ทะลุเนื่องจากถูกยิงถูกแทง หรือกระเพาะหรือลำไส้อุดกั้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากปีกมดลูกอักเสบ ครรภ์นอกมดลูก ถุงน้ำดีอักเสบท่อน้ำดีอักเสบ ฝีตับอะมีบา ตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น เป็นเหตุให้มีเชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งระคายเคืองไปทำให้เยื่อบุช่องท้องเกิดการอักเสบ
มีอาการปวดท้องรุนแรง (อาจปวดเฉพาะที่หรือปวดทั่วท้อง แล้วแต่สาเหตุ) ขยับเขยื้อนหรือกระเทือนถูกจะรู้สึกเจ็บ ผู้ป่วยมักจะต้องนอนนิ่งๆ อาการปวดท้องมักเป็นติดต่อกันหลายชั่วโมงจนถึงหลายวัน นอกจากนี้ยังมีอาการท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว เบื่ออาหาร และอาจมีอาการท้องเดิน ถ้าเป็นรุนแรงอาจมีภาวะช็อก ผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น เป็นลม
หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องรุนแรง ท้องกดเจ็บและท้องแข็งควรส่งโรงพยาบาลด่วน ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาลควรงดอาหารและน้ำดื่ม (ถ้ามีภาวะขาดน้ำควรให้น้ำเกลือ) เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัดฉุกเฉิน อาจต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะเอกซเรย์ อัลตราซาวนด์เพื่อค้นหาสาเหตุ อาจให้น้ำเกลือ ยาปฏิชีวนะใส่ท่อยางเข้าหลอดอาหารและกระเพาะเพื่อดูดเศษอาหารและของเหลวออกมา แล้วทำการผ่าตัดอย่างรีบด่วน
โรคกระเปาะที่ลำไส้ใหญ่
โรคที่มีการเกิดกระเปาะหรือถุงโป่ง (เรียกว่า diverticula) ยื่นออกมาทางด้านนอกของผนังลำไส้ โดยอาจมีขนาดต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ และอาจมีกระเปาะเดียวหรือหลายกระเปาะก็ได้
สาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากอุปนิสัยการรับประทานอาหารที่มีกากใย (fiber) น้อย ทำให้อุจจาระแข็งกว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เป็นการสร้างแรงกดผนังลำไส้ นานวันเข้าจึงเกิดเป็นกระเปาะที่ผนังลำไส้ได้
อาการ อาจพบอาการ เช่น แน่นท้อง ท้องผูกหรือท้องเสีย ปวดเกร็งท้องส่วนล่าง โรคนี้มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการเอกซเรย์สวนแป้งแบเรียม (barium enema) การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (sigmoidoscopy) หรือการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) ผู้ที่ไม่มีอาการจากโรคแทรกซ้อนส่วนใหญ่จะไม่มีอาการตลอดไป มีเพียงประมาณ 15-25% ที่มึภาวะเลือดออกจากเส้นเลือดในกระเปาะ
การรักษา โรคกระเปาะลำไส้ที่ไม่มีโรคแทรกซ้อนไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใดๆ เมื่อมีภาวะเลือดออก ส่วนใหญ่จะสามารถหยุดลงได้ ในบางกรณีอาจต้องได้รับการส่องกล้องสำไส้ใหญ่ (colonoscopic intervention) หรือต้องใช้การผ่าตัด การรับประทานอาหารที่มีกากใย (fiber) มากๆ หรืออาจใช้ยาที่เป็นส่วนประกอบของใยอาหาร เพื่อทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม อาจลดการเกิดโรคแทรกซ้อนได้
ไส้เลื่อน (Hernia)
ภาวะที่อวัยวะหรือบางส่วนของอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ลำไส้ (bowel) หรือ แผ่นไขมัน (omentum) ยื่นออกจากช่องท้องผ่านทางกล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อผนังหน้าท้องที่อ่อนแอหรือมีรูเปิดผิดปกติไปยังตำแหน่งอื่น ซึ่งอาจเป็นตำแหน่งใดก็ได้ในส่วนท้องตั้งแต่เหนือสะดือลงมาจนถึงใต้ขาหนีบ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีก้อนนูนออกมาสามารถคลำพบได้โดยง่าย
อาการ อาการหลักของโรคไส้เลื่อนคือคลำพบก้อนนูนในบริเวณที่เกิดโรค เช่น ในกรณีของผู้ป่วยไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบจะมีก้อนนูนด้านใดด้านหนึ่งของกระดูกเชิงกรานหรือขาหนีบ และถ้านอนลงจะสามารถดันให้กลับเข้าไปในช่องท้องได้ ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกปวดบริเวณก้อนโดยเฉพาะขณะก้มตัว ยกสิ่งของ และไอจาม หรือมีอาการอัณฑะบวมและปวด
การรักษา การผ่าตัด โดยการนำอวัยวะที่ออกมาในถุงไส้เลื่อนใส่กลับเข้าไปในช่องท้อง ถ้าทำได้แล้ว ตัดถุงไส้เลื่อนออกพร้อมเย็บซ่อมผนังหน้าท้องที่ผิดปกติหรือ อ่อนแอ ไม่ให้เหลือเป็นช่องทางให้ลำไส้เลื่อนไหลออกมาได้อีก ถ้าผนังหน้าท้องขาดความแข็งแรง อาจต้องนำแผ่นใยสังเคราะห์ (mesh) มาเย็บเสริมเข้าไปด้วย
สาเหตุ เกิดจากลำไส้ซึ่งควรจะอยู่ภายในช่องท้อง เคลื่อนตัวผ่านออกมาตามช่องทางที่ผิดปกติที่ผนังหน้าท้อง โดยจะเริ่มจากมีความผิดปกติของผนังหน้าท้องหรือ บริเวณที่อ่อนแอ เช่น เคยได้รับการผ่าตัด มีแผลที่หน้าท้อง แล้วมีปัจจัยเสริม คือ การมีความดันในช่องท้องสูง จากเหตุต่างๆ