Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ระบบย่อยอาหาร - Coggle Diagram
ระบบย่อยอาหาร
แบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
ท่อทางเดินอาหาร (Gastrointestinal tract หรือ alimentary canal)
ประกอบด้วย
กระเพาะอาหาร (Stomach)
กระเพาะอาหาร แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่
Fundus เป็นส่วนโค้งด้านบนสุดของกระเพาะอาหาร
Body เป็นส่วนกลางของกระเพาะอาหาร
Cardia เป็นส่วนต่อมาจากหลอดอาหาร
Pylolus เป็นส่วนปลายของกระเพาะอาหารก่อนเข้าลำไส้เล็กส่วนต้น
หน้าที่ของกระเพาะอาหาร
เป็นที่พัก และกักเก็บอาหาร
สร้างเอนไซม์ และขับน้ำย่อย (Gastric juice)
คลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำย่อย
ลําไส้เล็ก (Small intestine)
เริ่มตั้งแต่ pyloric sphincter ไปจนถึง ileocaecal valve จึงเปิดเข้าสู่ลําไส้ใหญ่
ลําไส้เล็กแบ่ง เป็น 3 ส่วน ได้แก่
ลําไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum)
ยาวประมาณ 10 นิ้ว
เริ่มจาก pyloric sphincter ไปจนถึง duodenojejunal flexure
ไม่มีเยื่อแขวนลำไส้
ลําไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum)
ยาวประมาณ 8 ฟุต
มีการดูดซึมไขมัน และ B12 มาก
ลําไส้เล็กส่วนปลาย (Ileum)
ยาวประมาณ 12 ฟุต
เป็นส่วนที่มีการดูดซึมมากที่สุด ติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น บริเวณ ileocaecal vavle
ผนังของลำไส้เล็กมี 4 ชั้น คือ
Serosa
Muscularis
Submucosa
Mucosa พบ globelt cell,Villi,หลอดน้ําเหลือง,Lacteal,Intestinal crypt
หน้าที่ของลำไส้เล็ก
หลั่งน้ำย่อย
เคลื่อนไหวเพื่อคลุกเคล้าอาหารให้ผสมกับน้ำย่อยต่างๆ และทำให้อาหารเคลื่อนที่ไปตามท่อของลำไส้เล็ก
การเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมของลำไส้เล็ก
ความยาว
Plica circulares
Villi
หลอดอาหาร (Esophagus)
เริ่มจากปลาย laryngopharynx และลอดผ่านกะบังลมทางรูเปิดที่เรียกว่า esophageal hiatus สิ้นสุดโดยเปิดเข้าสู่ส่วนบนของกระเพาะอาหาร
หน้าที่ของหลอนอาหาร
เป็นทางผ่านของอาหารที่เคี้ยวแล้ว โดยการบีบตัวเป็นคลื่นของหลอดอาหารที่ให้ส่งอาหารไปสู่กระเพาะอาหาร โดยการกระตุ้นของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10
ยาวประมาณ 10-12 นิ้ว
ตำแหน่งที่เป็นรอยคอดของหลอดอาหาร (esophageal constriction)
จะพบรอยคอดอยู่ 3 แห่ง ได้แก่
Middle esophageal constriction (Broncho-aortic constriction
Lower esophageal constriction (Diaphragmatic constriction
Upper esophageal constriction (Cervical constriction)
วัตถุมักติดในตําแหน่งที่เป็นรอยคอดของหลอดอาหาร (esophageal constriction)
ลําไส้ใหญ่ (Large intestine)
ยาวประมาณ 1.5 เมตร
เริ่มตั้งแต่ลำไส้ใหญ่ส่วน Cecum ไปจนถึง Anus
ลำไส้ใหญ่แบ่งได้ ดังนั้
Cecum
พบ
Ileocecal vale
Vermiform appendix
Colon
Ascending colon
Transverse colon
Descending colon
Sigmoid colon
Rectum
ต่อจาก Sigmoid colon เริ่มต้นจาก S3 รูปร่ํางโค้งตามความโค้งของ sacrum และ coccyx
ส่วนปลายสุดจะหักขึ้นไปด้านหลัง และลงข้างล่างแคบเป็น anal canal ทางด้านล่างของ rectum ในผู้ชายอยู่หลังต่อมลูกหมาก ในผู้หญิงอยู่หลัง Vagina
Anal canel
มีกล้ามเนื้อที่สำคัญ 2 มัด คือ
Internal anal sphincter (smooth muscle)
External anal sphincter (skeletal muscle)
ผนังของลำไส้ใหญ่มี 4 ชั้น คือ
Submucosa
Muscularis พบ taeniae coli แรงตึงตัวทำให้เกิด haustra
Mucosa ไม่มี villi และ มี goblet cells จำนวนมาก
Serosa ผนังนี้มีไขมันมาสะสมเป็นติ่งไขมัน เรียกว่า epiploic appendage
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่
ดูดน้ำ และสารละลายบางอย่างกลับเข้ำสู่ร่างกาย เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำกับสารละลายภายในร่างกาย
ขับถ่ายกากเหลือจากการย่อยอาหาร
คอหอย (Pharynx)
ทำหน้าที่
ช่วยในการทําให้เกิดเสียง
เป็นทางผ่านของอาหารจากปากไปสู่หลอดอาหาร
ทวารหนัก (Anus)
ยาวประมาณ 2.5-3.5 Cm
เป็นส่วนสุดท้ายของลำไส้ใหญ่ ภายในประกอบด้วยกล้ามเนื้อหูรูด 2 แห่ง คือ
หูรูดภายใน (Internal Sphincter)
หูรูดภายนอก (External Sphincter)
ปาก (Mouth)
เริ่มต้นจากการเคี้ยวอาหารโดยการทำงานร่วมกันของ ฟัน ลิ้น และแก้ม ซึ่งถือเป็นการย่อยเชิงกล
เยื่อบุช่องท้อง (Peritoneum)
แบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ
ชั้นนอก (Parietal peritoneum) คือ เยื่อบุช่องท้องที่ติดกับผนังช่องท้องด้านใน
ชั้นใน (Visceral peritoneum) คือ เยื่อบุช่องท้องส่วนหุ้มอวัยวะต่างๆ ในช่องท้องมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
การเรียงตัวของเยื่อบุช่องท้อง
Peritoneal cavity ประกอบด้วย greater sac และ lesser sac (omentum bursa)
เยื่อบุช่องท้องในเพศหญิง พบแอ่ง เรียก rectouterine pouch และ เกิดแอ่งเรียก uterovesical pouch
เยื่อบุช่องท้องในเพศชายจะไม่พบ
หน้าที่ของเยื่อบุช่องท้อง
ป้องกันการกระจายตัวของเชื้อโรค
แขวนอวัยวะต่างๆ ให้คงอยู่ในตำแหน่ง และเป็นที่เกาะของเลือด หลอดน้ำเหลือง และเส้นประสาท
สร้าง Peritoneal fluid มาหล่อลื่น เพื่อลดแรงเสียดทาน เมื่ออวัยวะภายในมีการเคลื่อนไหว
โครงสร้างของผนังท่อทางเดินอาหาร
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชั้น ได้แก่
ชั้นใต้เยื่อเมือก (Submucosa)
ชั้นกล้ามเนื้อเรียบ (Muscularis externa)
ชั้นเยื่อเมือก (Mucosa)
Serosa (Adventitia)
อวัยวะเสริมในย่อยอาหาร (Accessory digestive organs)
ประกอบด้วย
ลิ้น (Tongue)
ทำหน้าที่
คลุกเคล้าอาหาร ช่วยในการกลืน และช่วยในการออกเสียง
รับรสอาหารชนิดต่างๆ ได้ โดยมีต่อมรับรส (Taste bud)
กล้ามเนื้อของลิ้น
Extrinsic muscles of tongue
เป็นกล้ามเนื้อที่มีจุดเกาะต้นจากที่อื่นนอกลิ้น และมาเกาะที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันของลิ้น ได้แก่
Hyoglossus
Styloglossus
Genioglossus
Palatoglossus
Intrinsic muscles of tongue
เป็นกล้ามเนื้อที่มีต้นกำเนิด และเกาะที่เนื้อเยื่อเกี่ยวพันภายในลิ้น มีการเรียงตัว 3 แนว ได้แก่
longitudinal (superior & inferior)
transverse
vertical muscles
intrinsic muscles ถูกเลี้ยงด้วย hypoglossal nerve
ต่อมน้ำลาย (Salivary glands)
ทำหน้าที่
สร้างน้ำลาย (saliva) และถูกขับออกมาเข้าไปในช่วงปาก แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
Minor salivary glands
เป็นต่อมที่ผลิต และหลั่งน้ำลายได้น้อย โดยเป็นการหลั่งน้ำลายเฉพาะขณะพัก (resting saliva)
ช่วยให้ปากชุ่มชื้นอยู่เสมอ
เป็นต่อมน้ำลายที่มีขนาดเล็ก พบได้บริเวณด้านในของช่องปาก ได้แก่ เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ใต้ลิ้น และริมฝีปาก
Major salivary glands
เป็นต่อมน้ำลายที่มีขนาดใหญ่ พบได้บริเวณด้านนอกของช่องปาก
ทำหน้าที่ผลิตน้ำลายออกมามากที่สุด กว่าร้อยละ 80 ของน้ำลายทั้งหมด
ประกอบด้วยต่อม 3 คู่ ได้แก่
ต่อมน้ำลายข้างกกหู (parotid gland)
2 more items...
ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่าง (submandibular gland)
2 more items...
ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (sublingual gland)
2 more items...
ตับอ่อน (pancreas)
วางตัวอยู่ในกระดูกสันหลัง ระดับ L1-L2
ทำหน้าที่
สร้างน้ำย่อย (pancreatic juice)
สร้าง glucagon และ insulin
แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
Head
Body
Tail
ท่อของตับอ่อน
Main pancreatic duct ไปรวมกับ common bile duct รวมเป็น hepatopancreatic ampulla แล้วเปิดเข้าสู่ลำไส้เล็กทาง Major duodenal papilla
Acceaaory pancreatic duct เปิดเข้าสู่ลำไส้เล็กทาง Minor duodenal papilla
จุลกายวิภาคของตับอ่อน
เนื้อต่อม 1% เป็น Pancreatic islets (islets of Langerhans)
สร้าง gucagon,insulin
เนื้อต่อมส่วนที่เหลือเป็น Acini cell ทำหน้าที่สร้างน้ำย่อยของตับอ่อน (Pancreatic Juice) ประกอบด้วย
โซเดียมไบคาร์บอเนต (NaHCO3)
น้ำย่อยอะไมเลส (Amylase)
น้ำย่อยลิเพส (Lipase)
ตับ (Liver)
ตั้งอยู่บริเวณชายโครงขวา (rib 5-10) และมีกะบังลมคลุมอยู่ ยื่นผ่านแนวกลางลำตัวไปทางด้านซ้าย
ลักษณะภายนอกของตับ
แบ่งออกเป็น 4 กลีบ (Lobe)
Left and Right lobe
Cuadate and Quadrate
ภายในตับประกอบด้วย 2 เซลล์ คือ
Liver cell หรือ hepatocytes ทำหน้าที่สร้างน้ำดี และขับออกที่ช่องแคบๆ เรียก bile canaliculi
Kuffer cell บุอยู่ใน sinusoid ทำหน้าที่เก็บกินเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ และแบคทีเรียที่ปนมากับเลือด
หน้าที่ชองตับ
สร้างน้ำดีขับออกสู่ลำไส้เล็กสำหรับย่อย และดูดซึมสารอาหารพวกไขมัน
สร้างเม็ดเลือดแดงในทารก
กำจัดและทำลายพิษของยา และฮอร์โมนบางชนิด เช่น penicillin,estrogrn,thyroxine
สร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด
ช่วยเผาผลาญสารอาหารต่างๆ
สลาย HB ของเม็ดเลือดแดงให้เป็น โกลบิน และฮีม
สร้างโปรตีน และสังเคราะห์กรดอะมิโน
ลักษณะทางจุลกายวิภาคของตับ
ประกอบด้วย Central vein เป็นจุดศูนย์กลาง
ตรงมุมหกเหลี่ยมมีโครงสร้าง เรียกว่า portal triad
เนื้อตับประกอบด้วยหน่วยโครงสร้างพื้นฐาน เรียกว่า hepatic lobule
Ligaments/Peritoneal Attachments of the Liver
ประกอบด้วย
Falciform ligament
ยึดผิวด้านหน้าของตับไว้กับกะบังลม และผนังหน้าท้อง
Round ligament of liver (ligamentum teres hepatis)
ยึดระหว่างตับกับสะดือ ซึ่งเป็นส่วนเหลือของ umbilical vein ในตัวอ่อน
Coronary ligament
ยึดผิวด้านบนของตับไว้กับกะบังลม
Lesser omentum
ยึดขั้วตับไว้กับกระเพาะอาหาร และลําไส้เล็กส่วนต้น
Hepatogastric ligament
Hepatoduodinal ligament
ฟัน (Teeth)
จะมี
คอฟัน (neck)
รากฟัน (root)
ตัวฟัน (crown)
หน้าที่ของฟัน
ช่วยรักษาขนาด และรูปร่างของขากรรไกร
ช่วยในการเคี้ยวอาหาร และบดอาหาร
ช่วยในการทำเสียงเวลาพูด
ฟันในคนมี 2 ชุด เรียก dentation ได้แก่
ฟันน้ำนม (Deciduous teeth) ฟันเป็นชุดแรกมี 20 ซี่ เริ่มงอกอายุประมาณ 6 เดือน
ฟันแท้ (Permanent teeth) เป็นฟันชุดที่สอง มี 32 ซี่ เริ่มงอกอายุประมาณ 6 ปี
ถุงน้ำดี (Gallbladder)
วางตัวอยู่ตามขอบข้างขวาของ duadrate lobe
ทำหน้าที่ทำให้น้ำดีที่คัดหลั่งจากตับเข้มข้นขึ้น เพื่อปล่อยลงสู่ลำไส้เล็ก ทาง common bile duct
ถุงน้ำดีแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
Body
Neck
Fundus
ระบบทางเดินน้ำดี
ประกอบด้วย
common hepatic duct
cystic duct
common bile duct
มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4 ซม. มีความยาวประมาณ 7-10 ซม.
มีความจุถึง 30-60 มล.
มีหน้าที่ย่อยอาหารให้ละเอียด แล้วดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย