Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หน่วย 6 แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ - Coggle Diagram
หน่วย 6 แหล่งน้ำและลมฟ้าอากาศ
1.แหล่งน้ำบนโลก
สาระแกนกลาง - โลกมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มซึ่งอยู่ในแหล่งน้ำต่างๆ ที่มีทั้งแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึง แม่น้ำ และแหล่งน้ำใต้ดิน เช่น น้ำในดิน และน้ำบาดาล น้ำทั้งหมดของโลก แบ่งเป็นน้ำเค็ม ประมาณร้อยละ 97.5 ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรและแหล่งน้ำอื่นๆ และที่เหลือ อีกประมาณร้อยละ 2.5 เป็นน้ำจืด ถ้าเรียงลำดับปริมาณน้ำจืดจากมากไปน้อยจะอยู่ที่ ธารน้ำแข็ง และพืดน้ำแข็ง น้ำใต้ดิน ชั้นดินเยือกแข็งคงตัวและน้ำแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ ความชื้นในดิน ความชื้นในบรรยากาศ บึง แม่น้ำ และน้ำในสิ่งมีชีวิต
สาระสำคัญ - โลกของเรามีน้ำปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ของพื้นผิวโลกทั้งหมด โดยมีทั้งแหล่งน้ำเค็มและแหล่งน้ำจืด ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เราจึงต้องใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า
แหล่งน้ำมีความสำคัญกับมนุษย์ เช่น แหล่งน้ำจืดเป็นน้ำที่นำมาบริโภคและอุปโภค การคมนาคมขนส่ง เป็นที่อยู่ของสัตว์น้ำ ซึ่งมนุษย์นำมาเป็นอาหาร เป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น
แหล่งน้ำบนโลกมีปริมาณน้ำเค็มมากกว่าน้ำจืด ส่วนใหญ่น้ำบนผิวโลกเป็น ทะเล มหาสมุทร
น้ำบนโลกปกคลุมพื้นที่ 3 ใน 4 ส่วนของพื้นที่ผิวโลกทั้งหมด
2.การใช้น้ำอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้ำ
สาระสำคัญ - โลกของเรามีน้ำปกคลุมเป็นส่วนใหญ่ของพื้นผิวโลกทั้งหมด โดยมีแหล่งน้ำเค็มและแหล่งน้ำจืด ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต น้ำจืดที่มนุษย์นำมาใช้ได้มีปริมาณน้อยมาก เราจึงต้องใช้น้ำอย่างประหยัดและร่วมกันอนุรักษ์น้ำ
การใช้น้ำอย่างประหยัดและการอนุรักษ์น้ำ เช่น ควรตรวจสอบรอยรั่วของท่อน้ำในบ้าน ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำ เช่น ชักโครกประหยัดน้ำ ฝักบัวประหยัดน้ำ ก๊อกประหยัดน้ำ หัวฉีดประหยัดน้ำ เป็นต้น
3.การเกิดเมฆและหมอก
สาระแกนกลาง - ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็กๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้ำที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำเกาะอยู่บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
สาระสำคัญ - เมฆ เกิดจากไอ้น้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็กๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่ม รวมกันลอยอยู่จากพื้นดินมาก แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า หมอก
เมฆและหมอกมีลักษณะแตกต่างกัน คือ เมฆจะลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก และมีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนสีขาว ส่วนหมอกจะลอยอยู่ใกล้พื้นดิน และมีลักษณะคล้ายควันสีขาว ทำให้เกิดทิวทัศน์ที่สวยงาม
ลมฟ้าอากาศ หมายถึง สภาพอากาศรอบๆ ตัวเราที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา
ปรากฏการณ์ลมฟ้าอากาศที่เกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำ มี เมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง เป็นต้น
เมฆ เกิดขึ้นได้จากไอน้ำในอากาศควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก
เมฆ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยพิจารณาจากความสูง
เมฆคิวมูลัส มีลักษณะเป็นก้อนขนาดคล้ายภูเขาหรือดอกกะหล่ำ มีสีขาว
ถ้าพบเมฆคิวมูลัส แสดงว่าสภาวะอากาศดี ท้องฟ้ามีสีน้ำเงินเข้ม พบในฤดูร้อน
หมอกเกิดขึ้นได้จากไอน้ำในอากาศควบแน่นเป็นละอองน้ำขนาดเล็กจำนวนมาก เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่ใกล้พื้นดิน
หมอกทำให้เกิดอันตรายได้ หากมีละอองน้ำมา หมอกจะยิ่งหนามาก ทำให้การมองเห็นของเราลดลง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุในการเดินทาง
ข้อความนี้ถูก
ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็กๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง
เมฆแบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยพิจารณาจากความสูงของฐานเมฆ
เมฆที่ทำให้ฝนตกพร่ำ คือ เมฆนิมโบสเตรตัส
เมฆที่ทำให้เกิดฝนฟ้าคะนอง คือ เมฆคิวมูโลนิมบัส
เมฆที่มีลักษณะแผ่นคล้ายผ้าห่ม คือ เมฆสเตรตัส
ในวันอากาศดีมองเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม มองเห็นเมฆเป็นริ้วคล้ายขนนก คือ เมฆซีร์รัส
หากมีละอองน้ำมาก หมอกจะยิ่งหนามาก ทำให้การมองเห็นของเราลดลง อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุในการเดินทาง
ข้อความนี้ผิด
เมื่อละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า หมอก
ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้พื้นดิน เรียกว่า เมฆ
เมฆอัลโตคิวมูลัส เป็นเมฆชั้นต่ำ
4.การเกิดน้ำค้างและน้ำค้างแข็ง
สาระสำคัญ - ไอน้ำที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำเกาะอยู่บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
น้ำค้างเกิดขึ้นได้จากไอน้ำที่ควบแน่นเป็นละอองน้ำเกาะอยู่บนพื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน
น้ำค้างแข็ง เกิดขึ้นได้จากน้ำค้างอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
น้ำค้างและน้ำค้างแข็ง แตกต่างกัน น้ำค้างมีสถานะเป็นของเหลว แต่น้ำค้างแข็งมีสถานะเป็นของแข็ง
เราจะพบน้ำค้างได้ตอนเช้าตรู่ ซึ่งจะเกาะอยู่บนใบหญ้า บนใยแมงมุมที่ขึงอยู่ตามต้นไม้
น้ำค้างที่พบบนใยแมงมุมมีลักษณะเหมือนเพชรเม็ดเล็กๆ ร้อยกันเป็นพวง
การเกิดน้ำค้างแข็งส่งผลทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย และหากเกิดเป็นจำนวนมากติดต่อกันหลายวันอาจะเป็นสาเหตุหนึ่งของอุบัติเหตุบนถนนได้
น้ำค้างแข็งที่เกิดขึ้นทางภาคเหนือ เรียกว่า เหมยขาบ หรือ แม่คะนิ้ง
สรุป - น้ำค้างเกิดจากการกลั่นตัวเมื่อไอน้ำในอากาศกระทบกับบริเวณผิววัตถุที่เย็นกว่า และน้ำค้างแข็งเกิดจากอากาศที่เย็นจัด ซึ่งอุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง น้ำค้างก็จะเกิดการแข็งตัวกลายเป็นน้ำค้างแข็ง
5.การเกิดหยาดน้ำฟ้า
สาระแกนกลาง - ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซึ่งเป็นน้ำที่มีสถานะต่างๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพื้นดิน ฝนเกิดจากละอองน้ำในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้นจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา ลูกเห็บเกิดจากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็งแล้วถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมา
สาระสำคัญ
ฝนเกิดจากไอน้ำในอากาศควบแน่นเป็นละอองน้ำเล็กๆ เมื่อละอองน้ำจำนวนมากในเมฆรวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมาเป็นฝน
หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็งรวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้นจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา
ลูกเห็บเกิดจากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็ง แล้วถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมา
สิ่งที่ตกลงมาจากฟ้าถึงพื้น เรียกว่า หยาดน้ำฟ้า
หยาดน้ำฟ้า ได้แก่ ฝน หิมะ และลูกเห็บ
ฝน มีสถานะเป็นของเหลว ส่วนหิมะและลูกเห็บมีสถานะเป็นของแข็ง
ทำไมเมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง ไม่เป็นหยาดน้ำฟ้า เพราะเนื่องจากเมฆไม่ได้ตกลงมาถึงพื้นดิน ส่วนหมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง ไม่ได้เกิดจากการตกลงมาจากฟ้า
ฝนมีประโยชน์ต่อสิ่งมีชีวิต ทำให้พืชเจริญเติบโต มีน้ำหมุนเวียน เป็นต้น
การเกิดฝนมี 3 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 น้ำในแหล่งน้ำต่างๆ เมื่อได้รับความร้อนจะระเหยกลายเป็นไอน้ำแล้วลอยขึ้นไปในอากาศ
ขั้นที่ 2 ไอน้ำในอากาศเมื่อเจออากาศเย็นจะควบแน่นเป็นละอองน้ำ รวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ
ขั้นที่ 3 เมื่อเมฆรวมตัวกันจำนวนมากจนอากาศพยุงน้ำหนักของละอองน้ำไม่ไหว จึงตกลงมาเป็นฝน
การเกิดหิมะ มี 3 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 น้ำในแหล่งน้ำต่างๆ เมื่อได้รับความร้อนจะระเหยกลายเป็นไอน้ำแล้วลอยขึ้นไปในอากาศ
ขั้นที่ 2 ไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้น จึงตกลงสู่พื้นโลก
ขั้นที่ 3 เมื่อผลึกน้ำแข็งตกลงมาบนโลกจะไม่ละลายจึงกลายเป็นหิมะ
สรุป - ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซึ่งเป็นน้ำที่มีสถานะต่างๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพื้นดิน ฝนเกิดจากละอองน้ำในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถพยุงไว้ได้จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ำในอากาศระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้นจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา ลูกเห็บเกิดจากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำแข็งแล้วถูกพยุงตัววนซ้ำไปซ้ำมาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมา
6.วัฎจักรน้ำ
สาระแกนกลาง - วัฎจักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มีแบบรูปซ้ำเดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำในบรรยากาศน้ำผิวดินและน้ำใต้ดิน โดยพฤติกรรมการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ส่งผลต่อวัฎจักรน้ำ
สาระสำคัญ - วัฎจักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มีแบบรูปซ้ำเดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำในบรรยากาศ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน ซึ่งพฤติกรรมในการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์จะส่งผลต่อวัฎจักรน้ำ
แหล่งน้ำต่างๆ มีความสำคัญต่อการเกิดวัฎจักรน้ำ ถ้าไม่มีแหล่งน้ำจะไม่มี่น้ำระเหยกลายเป็นไอน้ำขึ้นไปในบรรยากาศ ทำให้ไม่มีการหมุนเวียนน้ำ
วัฎจักรน้ำ คือ การหมุนเวียนของน้ำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นการเปลี่ยนสถานะของน้ำ โดยอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น ความร้อน ลม ป่าไม้
น้ำจากฟ้าที่ตกลงมาสู่พื้นผิวโลก จะถูกกักเก็บในแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล แม่น้ำ ลำธาร และแหล่งน้ำใต้ดิน
การเกิดวัฏจักรของน้ำ มี 4 ขั้นตอน ได้แก่
1) น้ำในแหล่งน้ำได้รับความร้อนแล้วระเหยเป็นไอน้ำลอยขึ้นไปในอากาศ
2) ไอน้ำควบแน่นเป็นละอองน้ำ และรวมตัวเป็นเมฆ
3) เมฆมีจำนวนมากจนอากาศไม่สามารถรับน้ำหนักไว้ได้จึงตกลงมาเป็นฝน
4) น้ำฝนไหลกลับสู่แหล่งน้ำตางๆ หรือซึมลงใต้ดิน
สรุป - วัฎจักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำที่มีแบบรูป ซ้ำเดิม และต่อเนื่องระหว่างน้ำในบรรยากาศ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ดิน โดยพฤติกรรมการดำรงชีวิตของพืช และสัตว์ส่งผลต่อวัฎจักรน้ำ