Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

ผู้ป่วยชายไทย อายุ 70 ปี เตียง 19 มภร 10/1 Dx. Upper gastrointestinal…

- - - - ชายไทยอายุ 70 ปี ผิวขาวเหลือง พูดคุยรู้เรื่อง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี ศีรษะสมมาตรผมสั้นสีดำแซมขาว หายใจ room air มีอาการหอบเหนื่อย อัตราการหาย 26 ครั้ง/นาที อัตราการเต้นของหัวใจ 118 ครั้ง/นาที
        On injection plug ที่แขนข้างขวาและซ้าย
        Retain foley catheter เบอร์ 16 ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม ไม่มีตะกอน
        On NG tube เอา bag ออกแล้ว และ off NG tube เวลา 15.00 น.
        เริ่มให้รับประทานอาหารเหลว เป็นอาหารเฉพาะโรคและงดอาหารผักสีเข้ม
        ติดตามเจาะ DTX ทุก 6 ชั่วโมง
      - Vital signs
        
        BT = 37.1องศาเซลเซียส
        PR = 106 ครั้ง/นาที
        RR = 20 ครั้ง/นาที
        BP = 120/55 mmHg
    - - ชายไทยอายุ 70 ปี ผิวขาวเหลือง พูดคุยรู้เรื่อง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี ศีรษะสมมาตรผมสั้นสีดำแซมขาว หายใจ room air Off foley catheter เวลา 9.30 น. หยุดให้ KCL 40 mg + NSS 1,000 ml เหลือ 250 ml เริ่มให้รับประทานอาหารอ่อน มีการติดตามค่า DTX ก่อนอาหาร 3 มื้อ สามารถขยับร่างกายได้มากขึ้น เริ่มฉี่ด้วยตนเองได้
      - Vital signs
        
        BT = 37.7 องศาเซลเซียส
        PR = 116 ครั้ง/นาที
        RR = 24 ครั้ง/นาที
        BP = 117/60 mmHg
    - - ชายไทย
      - Vital signs
    - - ชายไทย70 ปี ผิวขาวเหลืองผู้ป่วยรู้สึกตัวดี สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี พูดคุยรู้เรื่อง ไม่มีคะแนนความปวด หายใจ Room air ไม่มีอาการหอบเหนื่อย on injection plug ที่แขนซ้ายข้งเดียว Off Foley catheter มีปัสสาวะสีส้ม ไม่มีตะกอน ไม่ขุ่น ฉี่ใส่ Comfort 100 เพื่อ Record I/O Off NG Tube ผู้ป่วยลุกเดินเอง มีอาการบวมตามแขนขา บวม กดบุ๋ม +4
        ให้ยา FUROSEMIDE 40 MG. INJ 2 ML. ผู้ป่วยมีปัสสาวะบ่อย ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีอาการวิงเวียนศีรษะ รับประทานอาหารอ่อนปกติ มีการติดตามค่า DTX ทุกๆ 6 ชั่วโมง
      - Vital signs
        
        ฺBT = 37.7 องศาเซลเซียส PR = 102 ครั้ง/นาที RR = 18 ครั้ง/นาที BP = 160/69 mmHg
  - - - มีอาการคลื่นไส้ รับประทานอาหารได้น้อย อาเจียนหลังรับประทานอาหาร จึงไปซื้อยาที่ร้านเภสัชกรมารับประทานแต่ไม่ดีขึ้น
    - - มีอาการคลื่นไส้ แน่นหน้าท้อง รับประทานอาหารได้น้อย จึงมาโรงพยาบาลได้ยากลับมารับประทานที่บ้าน
    - - อาเจียนมากกว่า 10 ครั้งไม่มีเลือดป่น อ่อนเพลียมาก มีไข้ ถ่ายเหลวสีดำ มีอาการแน่นหน้าอกมากบริเวณลิ้นปี่ จึงมาโรงพยาบาล
- - - - Hemoglobin (Hb) 8.9 g/dL ต่ำกว่าปกติ(12.8-16.1 g/dL)
        Hematocrit (Automate) 27.3% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
        MCV 64.6 fL ต่ำกว่าปกติ(78.9-98.6 fL)
        MCH 21.1 pg ต่ำกว่าปกติ(25.9-33.4 pg)
        WBC 16.95 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Corrected WBC 16.95 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Neutrophil 76% สูงกว่าปกติ(48.2-71.2%)
        Lymphocyte 15% ต่ำกว่าปกติ(21.1-42.7%)
        Basophil 0% ต่ำกว่าปกติ(0.1-1.2%)
    - - PT 14 sec. สูงกว่าปกติ(10.7-12.7 sec.)
        INR 1.2 สูงกว่าปกติ(0.88-1.11)
        APTT 19.8 sec. ต่ำกว่าปกติ(21.9-29.9 sec.)
    - - Glucose(FBS) 166 mg/dL สูงกว่าปกติ(70-99 mg/dL)
        Bun 42.2 mg/dL สูงกว่าปกติ(8.9-20.6 mg/dL)
        Creatinine 1.36 mg/dL สูงกว่าปกติ(0.73-1.18 mg/dL)
        Phosphorus 1.8 mg/dL (2.3-4.7 mg/dL)
        Sodium(Na)(Urine-spot) 40 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(54-150 mmol/L)
      - Electrolyte
        
        Sodium(Na) 124 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(136-145 mmol/L)
        Postassium K 2.66 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(3.5-5.1 mmol/L)
        Chloride 78 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(98-107 mmol/L)
        CO2 34.6 mmol/L สูงกว่าปกติ(22-29 mmol/L)
      - Liver function test
        
        Total protein 6 g/dL ต่ำกว่าปกติ(6.4-8.3 g/dL)
        Albumin 3 g/dL ต่ำกว่าปกติ(3.5-5.2 g/dL)
        AST(SGOT) 35 U/L สูงกว่าปกติ(5-34 U/L)
  - - - Hemoglobin (Hb) 9.1 g/dL ต่ำกว่าปกติ(12.8-16.1 g/dL)
        Hematocrit (Automate) 27.9% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
        MCV 69.5 fL ต่ำกว่าปกติ(78.9-98.6 fL)
        RBC 4.01 10^6/uL ต่ำกว่าปกติ(4.03-5.55 10^6uL)
        MCH 22.7 pg ต่ำกว่าปกติ(25.9-33.4 pg)
        RDW 19.9% สูงกว่าปกติ(11.8-15.2%)
        WBC 24.94 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Corrected WBC 24.94 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Neutrophil 88% สูงกว่าปกติ(48.2-71.2%)
        Lymphocyte 7% ต่ำกว่าปกติ(21.1-42.7%)
        Eosinophil 0% ต่ำกว่าปกติ(0.4-7.2%)
        Basophil 0% ต่ำกว่าปกติ(0.1-1.2%)
    - - 00.05 น.
        
        Hematocrit (HCT) 26.5% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
      - 12.13 น.
        
        Hematocrit (HCT) 25.2% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
      - 18.35 น.
        
        Hematocrit (HCT) 30.1% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
      - 23.28 น.
        
        Hematocrit (HCT) 29.1% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
    - - Bun 28.6 mg/dL สูงกว่าปกติ(8.9-20.6 mg/dL)
        Creatinine 1.24 mg/dL สูงกว่าปกติ(0.73-1.18 mg/dL)
      - Electrolyte
        
        Sodium(Na) 128 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(136-145 mmol/L)
        Potassium K 3.04 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(3.5-5.1 mmol/L)
        Chloride 86 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(98-107 mmol/L)
    - - PH 7.51 สูงกว่าปกติ(7.35-7.45)
        pCO2 39 mm.Hg ต่ำกว่าปกติ(83-108 mm.Hg)
        HCO3 act 35.9 mmol/L สูงกว่าปกติ(18-23 mmol/L)
        HCO3 std 33.5 mmol/L สูงกว่าปกติ(18-23 mmol/L)
        BE (ecf) 12.9 mmol/L สูงกว่าปกติ(0-3 mmol/L)
        BE (B) 11.5 mmol/L สูงกว่าปกติ(0-3 mmol/L)
        ctCO2 37.3 mmol/L สูงกว่าปกติ(22.29 mmol/L)
        O2SAT 80% ต่ำกว่าปกติ(95-98%)
  - - - Hemoglobin (Hb) 9.5 g/dL ต่ำกว่าปกติ(12.8-16.1 g/dL)
        Hematocrit (Automate) 28.7% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
        MCV 71.1 fL ต่ำกว่าปกติ(78.9-98.6 fL)
        RBC 3.99 10^6/uL ต่ำกว่าปกติ(4.03-5.55 10^6uL)
        MCH 23.8 pg ต่ำกว่าปกติ(25.9-33.4 pg)
        RDW 20.7% สูงกว่าปกติ(11.8-15.2%)
        WBC 17.92 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Corrected WBC 17.92 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Neutrophil 81.5% สูงกว่าปกติ(48.2-71.2%)
        Lymphocyte 8.3% ต่ำกว่าปกติ(21.1-42.7%)
    - - 15.08 น.
        
        Hematocrit (HCT) 30.5% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
      - 23.29 น.
        
        Hematocrit (HCT) 29.1% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
    - - Magnesium 1.5 mg/dL ต่ำกว่าปกติ(1.6-2.6 mg/2.6 mg/dL)
      - Electrolyte
        
        Sodium(Na) 135 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(136-145 mmol/dL)
        CO2 19.9 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(22-29 mmol/L)
  - - - PT 14.9 sec. สูงกว่าปกติ(10.7-12.7 sec.)
        INR 1.28 สูงกว่าปกติ(0.88-1.11)
    - - Hemoglobin(Hb) 10.4 g/dL ต่ำกว่าปกติ(12.8-16.1 g/dL)
        Hematocrit(Automate) 31.1% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
        MCH 24 pg ต่ำกว่าปกติ(25.9-33.4 pg)
        RDW 21.7% สูงกว่าปกติ(11.8-15.2%)
        WBC 19.78 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Corrected WBC 19.78 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Neutrophil 82.6% สูงกว่าปกติ(48.2-71.2%)
        Lymphocyte 7.7% ต่ำกว่าปกติ(21.1-42.7%)
    - - 18.41 น.
        
        Hematocrit (HCT) 32.3% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
  - - - Hemoglobin(Hb) 11.4 g/dL ต่ำกว่าปกติ(12.8-16.1 g/dL)
        Hematocrit(Automate) 33.6% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
        MCV 71.3 fL ต่ำกว่าปกติ(78.9-98.6 fL)
        MCH 24.1 pg ต่ำกว่าปกติ(25.9-33.4 pg)
        RDW 22% สูงกว่าปกติ(11.8-15.2%)
        WBC 13.99 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Corrected WBC 13.99 10^3/uL สูงกว่าปกติ(4.03-10.77 10^3/uL)
        Neutrophil 81.8% สูงกว่าปกติ(48.2-71.2%)
        Lymphocyte 7.7% ต่ำกว่าปกติ(21.1-42.7%)
- - - - ข้อบ่งใช้
        
        เป็นยาหลักที่ใช้รักษาวัณโรค ทั้งในการรักษาแบบธรรมดาและการรักษาแบบระยะสั้น โดยเป็นยาพื้นร่วมกับยาขนานอื่นๆ นอกจากน้ียังใช้เป็นยาเดี่ยวในกรณีที่หวังผลในการป้องกันการกำเริบของโรค (ProphylacticTreatment)
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        INH ยับยั้งการสังเคราะห์ mycolic acid ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ cell wall ของ mycobacteriaINH จะออกฤทธ์ิได้ต้องอาศัยเอนไซม์ mycobacterialcatalase peroxidase (Kat G) ของเชื้อจึงจะได้ active form ซึ่ง active form ของ INH จะจับเข้ากับ Acylcarriersprotein(AcpM)และbeta-ketoacylcarrierproteinsynthase (KasA) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสังเคราะห์ mycolic acid โดยการจับเป็นแบบ covalent ทำให้เกิดการยับยั้งการสังเคราะห์ mycolic acid
      - ผลข้างเคียง
        
        ไม่อยากอาหาร,คลื่นไส้,อาเจียน, jaundice, right upper quandrant pain และอาการน้ีอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ หากมีอาการของ INH-induced hepatitis ควรหยุดใช้ยาทันที
    - - ข้อบ่งใช้
        
        เป็นยาปฏิชีวนะที่ทางการแพทย์ใช้ป้องกันหรือรักษาวัณโรค รักษาการติดเชื้อในจมูกและลำคอจากแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไข้กาฬหลังแอ่นชนิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคติดเชื้อชนิดอื่น รวมทั้งช่วยป้องกันการแพร่เชื้อดังกล่าวไปสู่ผู้อื่น แต่จะไม่นำมาใช้รักษาโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบในระยะที่แสดงอาการแล้ว
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        จะออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างพันธุกรรมหรือดีเอนเอ (DNA) ของแบคทีเรีย โดยตัวยาจะไปรวมตัวกับเอนไซม์ที่มีชื่อว่า RNA polymerase และทำให้เอนไซม์หยุดลง (ไม่มีผลต่อเอนไซม์ในร่างกายมนุษย์) จึงทำให้แบคทีเรียไม่สามารถขยายพันธุ์ เจริญเติบโต และตายในที่สุด
        หลังจากได้รับยาเข้าสู่ร่างกาย ยาจะถูกดูดซึมได้ดีจากทางเดินอาหารและกระจายตัวไปตามเนื้อเยื่อของร่างกายและไขสันหลัง (ระดับยาสูงสุดในเลือดคือเฉลี่ยประมาณ 2-3 ชั่วโมงหลังการรับประทานยา) ไรแฟมพิซินจะถูกเปลี่ยนโครงสร้างที่อวัยวะตับ ยาบางส่วนจะถูกเปลี่ยนโครงสร้างในระหว่างการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก และทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง ยาจะถูกกำจัดออกจากร่างกายประมาณ 50% ของระดับยาในกระแสเลือด โดยส่วนใหญ่จะถูกขับออกจากร่างกายทางน้ำดีและทางปัสสาวะ
      - ผลข้างเคียง
        
        แสบร้อนกลางอก เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องเสีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เจ็บตามแขนหรือขา มองเห็นผิดปกติ ผิวแดง พฤติกรรมเปลี่ยนไป หรือไม่มีสมาธิ รวมทั้งอาจทำให้สารคัดหลั่งของร่างกายเปลี่ยนเป็นสีแดงอมน้ำตาล เช่น เหงื่อ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำตา เป็นต้น
    - - ข้อบ่งใช้
        
        -ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้แข็ง
        -ช่วยป้องกันการเกิด นิ่วในไต
        -ลดความเสี่ยงต่อการเป็น โรคหัวใจ
        -ทาให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
        -ช่วยเปลี่ยนรูปของ ทริปโตแฟน ให้เป็น ไนอะซิน (วิตามินบี3)
        -ช่วยป้องกันโรคทางประสาทและโรคผิวหนังหลายชนิด
        -ลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน
        -ช่วยชะลอวัยได้
        -เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ
        -ลดอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในเวลากลางคืน มือชา ขาเป็นตะคริว และ ปลายประสาทที่แขนขาอักเสบบางชนิด
        -ลดอาการปากแห้งและปัญหาด้านการปัสสาวะที่เกิดจากการรับประทาน
        ยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่มไตรไซคลิก
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        วิตามิน บี6 เป็นตัวสาคัญที่จะทำให้การดูดซึมของวิตามิน บี12 เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่ และสมบูรณ์ ,ช่วยวิตามิน F (Linoleic acid หรือ Unsaturated fatty acid) ปฎิบัติ หน้าที่ดีขึ้น , วิตามิน บี6 นี้เป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์ที่สาคัญตัวหนึ่งซึ่งทา หน้าที่เผาผลาญ และใช้คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ให้เป็นประโยชน์ต่อ ร่างกาย , การสร้างเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมน ช่วยในการหดตัวของ กล้ามเนื้อเรียบ และมีผลต่อการควบคุมการทางานของสมองและเนื้อเยื่อ , การสร้าง สารภูมิคุ้มกันโรค และสังเคราะห์สารแรกเริ่มของวงแหวนเฟอร์ไฟริน (porphyrinring) ซึ่งเป็นส่วนสาคัญของเฮโมโกลบิน ,การสร้างกรดอะมิโนที่ไม่ จาเป็นต่อร่างกาย ,ช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ด โลหิตแดง , ช่วยในการปล่อยน้าตาล (Glycogen) จากตับและกล้ามเนื้อออกมาเป็น กาลังงาน ,ช่วยในการเปลี่ยนทริพโตฟาน (Tryptophan) เป็นไนอะซินหรือวิตามิน บี 3 ,วิตามิน บี6 เป็นตัวสาคัญในการสังเคราะห์ และควบคุมการปฎิบัติหน้าที่ของ DNA และ RNA ซึ่งเป็นปัจจัยสาคัญในการบ่งบอกพันธุกรรม
      - ผลข้างเคียง
        
        โดยทั่วไปการใช้วิตามินบี 6 จะไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ หากใช้ในปริมาณที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยอาจพบผลข้างเคียงบ้าง เช่น อาการชา แต่หากพบว่ามีอาการแพ้วิตามิน บี 6 เช่น เป็นลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือโดยเร็ว หรือหากพบอาการป่วยอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
    - - ข้อบ่งใช้
        
        เป็นยารักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก และอาจช่วยป้องกันภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารจากความเครียดได้ โดยตัวยาจะเคลือบไม่ให้แผลสัมผัสกับกรดหรือเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้ยาชนิดนี้รักษาผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        Sucralfate เป็นสารประกอบเชิงซ้อนระหว่างอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์ (aluminum hydroxide) กับ sulfated sucrose โดยจับกับกรดในกระเพาะอาหารได้เป็นสารที่มีลักษณะเหนียวข้น เคลือบแผลในทางเดิน อาหาร จึงปกป้องแผลจากกรดและ pepsin นอกจากนี้ยังเพิ่มการสร้างพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) เพิ่มการสร้างสารเมือก (mucus) และไบคาร์บอเนต (bicarbonate)
      - ผลข้างเคียง
        
        มีผลข้างเคียงน้อย คือ อาการท้องผูก
    - - ข้อบ่งใช้
        
        เป็นยาที่ใช้ในการป้องกันและรักษาอาการติดเชื้อราในกลุ่มเอโซล (Azole Antifungal) โดยกลไกในการทำงานของยาคือ ตัวยาจะเข้าไปก่อกวนการก่อตัวของเยื่อบุเซลล์เชื้อรา ทำให้เชื้อราค่อย ๆ ตาย ยา Fluconazole มักใช้ในการรักษาอาการติดเชื้อราที่ผิวหนัง การติดเชื้อในกระแสเลือด รวมไปถึงป้องกันการติดเชื้อราของผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี (HIV) และโรคเอดส์
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        ยากระจายไปในเน้ือเยื่อต่างๆได้ดี และผ่านเข้าไปในน้ำไขสันหลังได้มากถึง 60-80% ค่าปริมาตรการกระจายตัวประมาณ 55-59 ลิตร ยาจับกับ พลาสมาในโปรตีนต่ำคือ ประมาณ 11-12% ยาถูกทหลายที่ตับน้อยมากและขับออกทางไตในรูปแบบเดิมประมาณ 80% ดังนั้นจึงควรปรับขนาดยาในผู้ป่วยที่มีการทำงานของ ไตบกพร่อง
      - ผลข้างเคียง
        
        คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร ท้องอืด การรับรสเปลี่ยนไป อาการเหล่าน้ีจะมีความรุนแรงมากขึ้นถ้าใช้ยาในผู้ป่วยเอดส์
    - - ข้อบ่งใช้
        
        จัดอยู่ในยาปฏิชีวนะกลุ่มเพนิซิลลิน (Penicillins) ซึ่งจะใช้ในการรักษาโรคที่มีสาเหตุการติดเชื้อมาจากแบคทีเรีย เช่น การติดเชื้อเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทางเดินปัสสาวะ หู คอ จมูก และผิวหนัง โดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาชนิดนี้ทุกครั้ง
      - ผลข้างเคียง
        
        มีอาการคลื่นไส้และอาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง ท้องเดิน ปวดหัว มีผื่นคัน ลมพิษ ในกรณที่มีผื่นคันเกิดขึ้น ให้รีบติดต่อหรือพบแพทย์ในทันที หากพบว่ามีอาการบวมที่ใบหน้าและปาก หรือมีอาการหายใจติดขัด อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณของการแพ้ยาปฏิชีวนะชนิดนี้นั่นเอง ซึ่งควรหยุดใช้ยาในทันทีและเข้าพบแพทย์ให้เร็วที่สุด
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        โดยการไปทำลายผนังเซลล์ของเชื้อโรคและทำให้เชื้อโรคตาย ทั้งนี้เส้นทางที่นำยาไปฆ่าเชื้อโรคได้คือเลือดในร่างกายนั่นเอง โดยระดับยาในเลือดที่มีความเข้มข้นจนถึงจุดที่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้ จะยับยั้งการแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคในร่างกาย ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาที่ถูกขนาดและต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่เพียงพอ การรักษาจึงจะได้ผลดี
    - - ข้อบ่งใช้
        
        เป็นยาใช้สำหรับบรรเทาอาการคลื่นไส้หรืออาเจียน นอกจากนี้ยังอาจนำมาใช้รักษาอาการที่เกิดขึ้นจากการย่อยอาหารล่าช้าจนมีอาการแน่นท้อง ท้องอืด เรอ คลื่นไส้ แสบร้อนกลางอก และปวดท้อง โดยยานี้จะไปช่วยเพิ่มการหดตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อาหารเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหารได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        กลไกการออกฤทธิ์ของยาคือ ดอมเพอริโดนมีฤทธิ์ต้านการทำงานของโดปามีน ดอมเพอริโดนเพิ่มการเพอริสทัลซิส (peristalsis) ของหลอดอาหาร กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก ซึ่งส่งผลให้ลด gastric emptying และเวลาของอาหารที่อยู่ในลำไส้เล็ก
      - ผลข้างเคียง
        
        อาการบวมที่มือ เท้า ข้อเท้า ลำคอ ริมฝีปาก หรือใบหน้ามีผื่น อาการคัน หรือลมพิษขึ้นตามผิวหนัง มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ
  - - - ข้อบ่งใช้
        
        ยาชนิดหนึ่งในกลุ่มยายับยั้งการหลั่งกรดแบบโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (Proton Pump Inhibitor) โดยแพนโทพราโซลจะลดการหลั่งกรดภายในกระเพาะให้น้อยลง ยาชนิดนี้มักใช้ในการรักษาโรคกรดไหลย้อน โรคแผลในกระเพาะอาหาร อาการกรดไหลย้อนเข้าหลอดคอ (Erosive Esophagitis) หรืออาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรดในกระเพาะ เช่น กลุ่มอาการโซลลิงเจอร์-เอลลิสัน (Zollinger-Ellison Syndrome) ซึ่งเป็นเนื้องอกที่สร้างฮอร์โมนกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดอย่างมากในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ แพนโทพราโซลยังใช้ในการบรรเทาอาการแสบร้อนกลางอก (Heartburn) อาการไอเรื้อรัง ปัญหาในการกลืน ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารและอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งหลอดอาหารได้
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        กลไกในการออกฤทธิ์ของยา คือการนำความเป็นด่างของยาสะเทินกับกรดในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เพื่อลดความเป็นกรด เมื่อความเป็นกรดลดลงการกัดกร่อนของกรดที่จะทำให้เกิดแผลหรือการทำให้แผลที่มีอยู่ระคายเคืองจึงลดลงและให้ผลในการบรรเทาอาการ
      - ผลข้างเคียง
        
        การมองเห็นไม่ชัดเจน ปากแห้ง คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออก อาการเจ็บปวดที่ท้อง ผิวแห้งหรือผิวแดง กลิ่นลมหายใจเหมือนกับกลิ่นผลไม้ ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ หิวอาหารหรือน้ำบ่อยกว่าปกติ มีปัญญาในการหายใจ น้ำหนักลดลงอย่างไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดหัวและท้องเสียเกิดขึ้นร่วมด้วย
    - - ข้อบ่งใช้
        
        เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มยาเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยการทำลายผนังเซลล์ทำให้แบคทีเรียตาย ใช้ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียกระจายลุกลามไปทั่ว เช่น การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน โรคหนองในแท้ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในหู ปอด ช่องท้อง ทางเดินปัสสาวะ ข้อต่อ กระดูก กระแสเลือด เป็นต้น และในบางครั้งแพทย์ก็ฉีด Ceftriaxone เพื่อป้องกันการติดเชื้อก่อนจะทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยด้วย
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) ตัวยามีฤทธิ์เข้าจับกับ penicillin-binding protein (PBPs) ที่จะยับยั้งกระบวนการทรานส์เปปทิเดชันในขั้นตอนสุดท้ายของการสังเคราะห์เปปทิโดไกลแคนของผนังเซลล์ของแบคทีเรีย เป็นผลให้ยับยั้งสารชีวสังเคราะห์ของผนังเซลล์แบคทีเรียและหยุดการประกอบโครงสร้างของผนังเซลล์ เซฟไตรอะโซน(Ceftriaxone) มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อที่กว้าง ในแบคทีเรียที่มีเอนไซม์บีต้า เลคแตมเมส เพื่อทำลายยาพบว่า เซฟไตรอะโซนมีความคงตัวมากที่สุด
      - ผลข้างเคียง
        
        ท้องร่วง หรือคลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย แต่หากอาการที่เป็นผลข้างเคียงปรากฏขึ้นและไม่หายไป อาการทรุดหนักลงให้รายงานแพทย์ทันที
    - - ข้อบ่งใช้
        
        คือยาในกลุ่ม PPIs หรือ Proton Pump Inhibitors ออกฤทธิ์ช่วยลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร นิยมใช้ในผู้ที่มีปัญหากรดเกิน มีการระคายเคืองหรือมีแผลในระบบทางเดินอาหาร เป็นยาที่ออกฤทธิ์นาน และให้ประสิทธิภาพทางการรักษาที่ดี
      - กลไกการออกฤทธิ์
        
        ยาโอเมพราโซลจะออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ที่เรียกว่า Hydrogen-potassium Adenosinetriphosphatase ทำให้ลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จึงช่วยให้อาการของโรคกรดไหลย้อนและแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ดีขึ้น
      - ผลข้างเคียง
        
        อาการไม่รุนแรง เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ไอ ปากแห้ง ทรงตัวลำบาก รู้สึกหน้ามืด รู้สึกหัวเบาโหวงเหวง ง่วงนอนหรือง่วงซึม นอนไม่หลับ ท้องอืด ปวดท้อง ท้องเดิน ท้องเสีย หรือท้องผูก ปริมาณเอนไซม์ในตับ (AST, ALT) สูง
        อาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด มีอาการแน่นหน้าอก ปวดบริเวณหน้าอก หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ มีอาการบวมที่ใบหน้า เปลือกตา ปาก ลิ้น ลำคอ มือ เท้า ข้อเท้า และขาส่วนล่าง เวียนศีรษะรุนแรง มีผื่นคัน ผื่นลมพิษ มีตุ่มน้ำสีแดง
    - - ข้อบ่งใช้
        
        รักษาภาวะบวมเนื่องจากโรคหัวใจล้มเหลว โรคตับหรือโรคไต
        ใช้ร่วมกับยาลดความดัน อื่นๆ เพื่อรักษาภาวะความดันโลหิตสูง ใช้เพื่อลดระดับแคลเซียมในเลือด
      - ผลข้างเคียง
        
        ความดันโลหิตต่ำ วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด เป็นลม ยาทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น จึงอาจทำให้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานควบคุมระดับน้ำตาลได้ยากขึ้น ยาอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้หากขณะที่รับยาร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำอยู่แล้ว อาการแพ้ของฟูโรซีไมด์ที่มีรายงานคือเป็นผื่น, มีไข้, ปวดเนื้อตัว, ไตอักเสบ (Interstitial nephritis), เม็ดเลือดขาวชนิดอีโอสิโนฟิลในเลือดสูง (Eosinophilia)
      - กลไกการออกฤทธฺ์
        
        ยาฟูโรซีไมด์ออกฤทธิ์ที่ thick ascending limb of Henle's loop โดยยับยั้งปั๊มที่ดูดโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์กลับเข้าหลอดเลือด ทำให้เกลือแร่เหล่านี้ สูญเสียออกไปทางปัสสาวะและดึงน้ำตามออกไปด้วย ขณะที่ปั๊มอีกด้านยังคงทำหน้าที่ขับโพแทสเซียมออกทิ้งได้ตามปกติ จึงทำให้ร่างกายสูญเสียโพแทสเซียม ออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับน้ำปัสสาวะ หากเป็นในคนปกติที่มีสมดุลเกลือแร่ในร่างกายอยู่แล้วความดันโลหิตจะลดและจะเกิดอาการอ่อนเพลียลงอย่างรวดเร็ว แต่หากใช้ในคนไข้โรคไตวายเรื้อรังซึ่งมีภาวะโพแทสเซียมคั่งในเลือดและความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว การเสียโพแทสเซียมและน้ำที่เกินออกไปก็จะทำให้ร่างกายมีสมดุลดีขึ้น
- - - - SD
        
        ผู้ป่วยบอกว่ามีอาการจุก แน่นบริเวณหน้าอก หลังรับประทานอาหาร
      - OD
        
        ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ มีไข้ ระบาย Content ด้วยสาย NG tube เป็นสี Coffee ground
        
        1 มกราคม 2565
        
        Hematocrit (Automate) 27.3% ต่ำกว่าปกติ(38.2-48.3%)
        
        PT 14 sec. สูงกว่าปกติ(10.7-12.7 sec.)
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดอันตรายจากการเกิดเลือดออกในกระเพาะอาหารส่วนบนซ้ำ
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือ ถ่ายอุจจาระดำ ไม่มีอาการจุกเสียดบริเวณหน้าอก
        
        ผู้ป่วยมีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอยู่ในเกณฑ์ที่ปกติหรือเพิ่มจากค่าเดิมที่แพทย์สามารถรับได้
        2.1 Hematocrit (HCT) 38.2-48.3% Keep > 24%หากต่ำแพทย์อาจพิจารณาการให้เลือด
        2.2 PT (21.9-29.9 sec.)
    - - ประเมิน vital signs ทุกๆ 4 ชั่วโมง
        1.1 BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
        1.2 PR 60-100 ครั้ง/นาที
        1.3 RR 12-22 ครั้ง/นาที
        1.4 BP 90-140/60-90 mmHg
        1.5 O2 sat 95-100%
        
        ประเมิน Content ที่ออกจาก NG tube มาที่ bag เพื่อดูปริมาณของเลือดที่ออกมาว่ามีปริมาณเท่าไร มีสี Coffee gound ออกมาจากกระเพราะอาหารหรือไม่
        
        ประเมินการถ่ายอุจจาระว่ามีการถ่ายอุจจาระมีสีดำอยู่หรือไม่
        
        ประเมินอาการปวดท้อง
        
        ดูแลให้ได้รับยาและสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
        5.1 PANTOPRAZOLE SODIUM 40 MG.INJ. IV drip 8 mg/hr 0.9% Nacld5w (4 มกราคม 2565)
        5.2 OMEPRAZOLE SODIUM 40 mg.INJ. ทุก 12 ชั่วโมง (4 มกราคม 2565)
        5.3 SUCRALFATE GEL1 ซอง รับประทานก่อนอาหาร วันละ 2 ครั้ง
        
        ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอโดยการให้ ออกซิเจนทางสายยาง ชนิด Cannular 3-5 LPM เพื่อลดการทำงานของหัวใจและลดภาวะความเป็นกรดในเลือดจากการที่เซลล์ขาดออกซิเจน
        
        ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Special test
        7.1 Hematocrit (HCT)
        7.2 PT
    - - 5 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยไม่มีการอาเจียนเป็นเลือด
        
        ผู้ป่วยไม่มีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
        
        ผู้ป่วยไม่มีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
        
        ไม่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      - 4 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยไม่มีการอาเจียนเป็นเลือด
        
        ผู้ป่วยไม่มีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการแน่นท้อง
        
        Hematocrit(HCT) 32.3% ต่ำกว่าปกติ(21.1-42.7%)
      - 6 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยไม่มีการอาเจียนเป็นเลือด
        
        ผู้ป่วยไม่มีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
        
        ผู้ป่วยไม่มีการถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
        
        ไม่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  - - - OD
        
        ผู้ป่วยมีอาการ เวียนศีรษะ หอบเหนื่อย เหงื่อออก
        
        ผู้ป่วยอาเจียนมากกว่า 10 ครั้ง
        
        กล้ามเนื้ออ่อนแรง
        
        1 มกราคม 2565
        
        Sodium(Na) 124 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(136-145 mmol/L)
        
        Postassium K 2.66 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(3.5-5.1 mmol/L)
        
        Chloride 78 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(98-107 mmol/L)
        
        CO2 34.6 mmol/L สูงกว่าปกติปกติ(22-29 mmol/L)
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการแสดง เนื่องจากสูญเสียอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
        2.1 Hypokalemia อาการแสดงเช่น อาเจียน ท้องเสีย ภาวะเลือดเป็นด่าง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หยุดหายใจ
        2.2 Hyponatremia อาการแสดงเช่น มีไข้ต่ำๆ กระหายน้ำมาก หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง หายใจหอบเหนื่อย ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี
        
        ผู้ป่วยมีค่าอิเล็กโทรไลต์อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติหรือเพิ่มจากค่าเดิมที่แพทย์สามารถรับได้
        2.1 Sodium(Na) 136-145 mmol/L
        2.2 Postassium K 3.5-5.1 mmol/L
        2.3 Chloride 98-107 mmol/L
        2.4 CO2 22-29 mmol/L
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดอันตรายจากการสูญเสียอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย
    - - ประเมิน vital signs ทุกๆ 4 ชั่วโมง
        1.1 BT 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
        1.2 PR 60-100 ครั้ง/นาที
        1.3 RR 12-22 ครั้ง/นาที
        1.4 BP 90-140/60-90 mmHg
        1.5 O2 sat 95-100%
        
        ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ Electrolyte imbalance
        2.1 Hypokalemia อาการแสดงเช่น อาเจียน ท้องเสีย ภาวะเลือดเป็นด่าง กล้ามเนื้ออ่อนแรง หยุดหายใจ
        2.2 Hyponatremia อาการแสดงเช่น มีไข้ต่ำๆ กระหายน้ำมาก หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง หายใจหอบเหนื่อย ปัสสาวะน้อยหรือไม่มี
        
        Record I/O ดูปริมาณสารน้ำที่เข้า-ออกร่างกายว่ามีปริมาณเท่าใด
        
        ดูแลให้ได้รับยาและสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
        4.1 0.9% NSS 1000 ml + KCL 40 mg Drip 80 ml/hr. (4 มกราคม 2565)
        
        ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Clinical Chemistry ผลตรวจ Electrolyte
        6.1 Sodium(Na)
        6.2 Postassium
        6.3 Chloride
        6.4 CO2
    - - 4 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว
        
        กล้ามเนื้ออ่อนแรง
        
        ไม่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      - 5 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว
        
        กล้ามเนื้ออ่อนแรง
        
        ไม่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
      - 6 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว
        
        กล้ามเนื้ออ่อนแรง
        
        ไม่มีผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
  - - - ประเมิน vital sign ทุก4 ชั่วโมง
        1.1 อุณภูมิ 36.5-37.4 องศา
        1.2 BP 60-100 ครั้ง/นาที
        1.3 RR 12-22 ครั้ง/นาที
        1.4 BP 90-140/60-90 mmHg
        1.5 O2 sat 95-100%
        
        ให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง(Fowler's position) 60-90 องศา เพื่อเพิ่มพื้นที่ปอดในการหายใจ
        
        ดูแลให้ได้รับยาและสารน้ำทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
        3.1 ISONIAZID 100 MG.TAB.รับประทานครั้งละ 3 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน
        3.2 RIFAMPICIN 450 MG.CAP.รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนนอน
        
        ประเมิน Oxygen sat > 95% หากต่ำกว่าสามารถให้ Oxygen ชนิด Cannular 3-5 LPM ได้เลยไม่ต้องรอคำสั่งของแพทย์
        
        สอนหายใจอย่างมีประสิทธิภาพและแนะนำวิธีการกระตุ้นให้ปอดทำงานอย่างเต็มที่
    - - OD
        
        ผู้ป่วยเป็นโรควัณโรคมาก่อน
        
        ผู้ป่วยมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว
        
        อัตราการหายใจอยู่ที่ 26 ครั้ง/นาที (3 มกราคม 2565)
        
        ฟิมล์ X-RAY พบ ฝ้าสีขาว บริเวณปอดด้านบนทั้ง2ข้าง
        
        ฟังปอดไม่ได้ยินเสียงวีด หรือเสียงน้ำในปอด
      - SD
        
        ผู้ป่วยบอกเหนื่อย หายใจไม่ทัน
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยผู้ได้รับออกซิเจนเต็มที่ ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการเหนื่อยหอบ
        
        ผู้ป่วยหายใจปกติไม่เร็ว อัตราการหายใจอยู่ระหว่าง 12-22 ครั้ง/นาที
        
        หายใจคงที่สม่ำเสมอ ไม่มีลักษณะการหายใจลำบาก
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดง เนื่องจากการพร่องออกซิเจน
        4.1 ผิวหนังซีดหรือเป็นสีเขียวคล้ำ
        4.2 หายใจมีเสียงวีด หายใจถี่ หายใจลำบาก
        4.3 หัวใจเต้นเร็ว
        4.4 สับสนมึนงง
        
        ความเข้มข้นออกซิเจนในเลือด(Oxygen saturation : O2 sat) Keep > 95% หากต่ำกว่าสามารถให้ Oxygen ชนิด Cannular 3-5 LPM ได้เลยไม่ต้องรอคำสั่งของแพทย์
        
        ฟังเสียงปอดว่ามีเสียงวีด หรือเสียงน้ำในปอดหรือไม่
        
        ติดตามผลตรวจฟิล์มเอ็กซเรย์ โดยจะไม่มีฝ้าขาวมากขึ้นกว่าเดิม
    - - 5 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยมีอัตราการหายใจ 26 ครั้ง/นาที
        
        ผู้ป่วยมีการหอบเหนื่อย
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจลำบาก
        
        Oxygen sat 98%
        
        ฟังเสียงปอดไม่พบเสียงวีด หรือเสียงน้ำในปอด
      - 4 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยมีอัตราการหายใจ 24 ครั้ง/นาที
        
        ผู้ป่วยมีการหอบเหนื่อย
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจลำบาก
        
        Oxygen sat 97%
        
        ฟังเสียงปอดไม่พบเสียงวีด หรือเสียงน้ำในปอด
      - 6 มกราคม 2565
        
        ผู้ป่วยมีอัตราการหายใจ 21 ครั้ง/นาที
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการหอบเหนื่อย
        
        ผู้ป่วยไม่มีอาการหายใจลำบาก
        
        Oxygen sat 98%
        
        ฟังเสียงปอดไม่พบเสียงวีด หรือเสียงน้ำในปอด
  - - - ผู้ป่วยได้รับ สารน้ำทางหลอดเลือดดำ แบบ Lode คือ เป็น
        NSS 0.9% 1000 ml lode 500 ml drip 40 ml/hr (1/01/65)
        NSS 0.9% 1000 ml lode 300 ml drip 80 ml/hr (2/01/65)
        NSS 0.9% 1000 ml + KCL 60 mEq drip 80 ml/hr
        NSS 09% 1000 ml + KCl 40 mEq drip 80 ml/hr (3/01/65)
        ผู้ป่วยเป็น Hypokalemia ค่า
        
        Postassium K 2.66 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(3.5-5.1 mmol/L)(1 มค. 2565)
        
        Potassium K 3.04 mmol/L ต่ำกว่าปกติ(3.5-5.1 mmol/L)(2 มค.2565)
        ผลแลป EKG คือ
        ผู้ป่วยบวมตามมือตามเท้า บวมกดบุ๋ม +1
        I/O
        
        Total intake(24hrs.)=2035 Total output(24hrs.)=900 Positive (1 มค. 2565)
        
        Total intake(24hrs.)=3313 Total output(24hrs.)=1900 Positive (2 มค. 2565)
        
        Total intake(24hrs.)=2750 Total output(24hrs.)=2200 Positive (3 มค. 2565)
        ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย ปวดศรีษะ ความดันโลหิตสูง
    - - เพื่อให้ผู้ป่วยไม่เกิดอันตรายจากภาวะน้ำเกิน
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการบวมตามมือตามเท้า2. สารน้ำเข้า-ออกร่างกายเป็น Negative 500 cc/day 3. อัตราการหายใจปกติ 12-22 ครั้ง/นาที ไม่มีเหนื่อยหอบ 4. ผู้ป่วยสามารถนอนราบได้ 5. ผู้ป่วยมี Intake มากกว่า output ประมาน 800 cc/day 6. ฟังปอดไม่พบน้ำในปอด
    - - ประเมิน vital sign ทุก4 ชั่วโมง
        1.1 BT
        1.2 BP
        1.3 RR
        1.4 BP
        1.5 O2 sat
        
        ประเมินการกดบุ๋มเพื่อดูระดับการบวมน้ำของผู้ป่วย
        
        ดูแลได้รับน้ำไม่เกินประมาณ 1500 cc/day
        
        ใช้ยารักษาตามแผนการรักษา โดยการให้ยา FUROSEMIDE 40 MG. INJ. 2 ML. ที่มีกลไกในการขับน้ำออกจากร่างกาย ทาง ปัสสาวะ
        
        ติดตามอาการผู้ป่วยหลังจากได้รับยาตามแผนการรักษา โดยสังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้ยาหรือไม่ อาการข้างเคียงของยา คือ วิงเวียนศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ
        
        record I/O เพื่อดูปริมาณ น้ำที่ออกจากร่างกาย สังเกตุผู้ป่วยว่ามีปัสสาวะมากขึ้นหรือไม่
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการบวมตามมือตามเท้ากดไม่บุ๋ม 2. สารน้ำเข้า-ออกร่างกาย 2.1. Total intake(24hrs.)=1250 Total output(24hrs.)=1750 Nagative 500 (5 มค. 2565) 2.2. Total intake(24hrs.)=450 Total output(24hrs.)=2800 Negative 2350(6 มค. 2565) 3. อัตราการหายใจปกติ 18 ครั้ง/นาที ไม่มีเหนื่อยหอบ 4. ผู้ป่วยสามารถนอนราบได้ 5. ฟังปอดไม่พบน้ำในปอด
- - - - ผู้เข้ารับการตรวจจะต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อม กล่าวคือ ตรวจวัดสัญญาณชีพ (ความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ, ชีพจร และอัตราการหายใจ) อยู่ในเกณฑ์ปกติ และต้องได้รับคำอธิบายจากแพทย์ถึงสภาพอาการและข้อบ่งชี้ในการตรวจก่อนทำการตรวจ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนตรวจเกี่ยวกับโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา สารเคมี หรืออาหาร ยาที่รับประทานเป็นประจำ และประวัติการผ่าตัด โดยเฉพาะการผ่าตัดในช่องท้อง
      - ผู้เข้ารับการตรวจต้องงดน้ำ งดอาหารหลังเที่ยงคืน หรืออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้กระเพาะอาหารว่าง ทำให้แพทย์มองเห็นหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้นได้ชัดเจน และเป็นการป้องกันการสำลักเศษอาหารเข้าปอด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปอดอักเสบได้
      - สำหรับยาที่ต้องงดก่อนมารับการส่องกล้อง ได้แก่ ยาเคลือบกระเพาะอาหาร หรือยาน้ำสีขาว (Alum Milk) ก่อนตรวจ 1 วัน เพราะอาจทำให้แพทย์มองไม่เห็นทางเดินอาหารส่วนต้นขณะส่องกล้อง งดยาต้านเกล็ดเลือดและยาละลายลิ่มเลือด (Aspirin, Persantin, Ticlid, Plavix, Warfarin, Orfarin, Heparin, Fraxiparine) ก่อนตรวจ 7 วัน กรณีผู้ป่วย เบาหวาน ให้งดกินยาและฉีดยาเบาหวานในวันที่มาตรวจ แต่ให้นำยารักษาโรคประจำตัวมาด้วย
    - - ผู้ป่วยจะได้รับเสื้อที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ โดยให้สวมทับเสื้อที่ท่านสวมอยู่, ถอดแว่นตา, คอนแทคเลนส์ และฟันปลอม จากนั้นแพทย์จะตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร และระดับออกซิเจนในเลือด เมื่อตรวจเสร็จแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการพ่นยาชาที่บริเวณลำคอ โดยอาจพ่นประมาณ 2-3 ครั้ง ท่านจะรู้สึกชาและหนาที่บริเวณลำคอ อาจมีการให้ยานอนหลับเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยคลายกังวลขณะทำหัตถการ ซึ่งแพทย์จะแจ้งให้ทราบก่อนส่องกล้อง
      - แพทย์จะเริ่มทำการส่องกล้อง โดยการใส่อุปกรณ์ช่วยในการอ้าปาก (Mouthpiece) เพื่อช่วยอ้าปากของผู้ป่วยระหว่างทำการส่องกล้อง จากนั้นค่อยๆ สอดกล้องช้าๆ เข้าไปทางปาก ผ่านโคนลิ้น ลงไปยังหลอดอาหาร จนกระทั่งไปถึงกระเพาะอาหาร ในขณะเดียวกันแพทย์จะทำการเป่าลมเข้าไปด้วยเพื่อให้มองเห็นพยาธิสภาพภายในหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กส่วนต้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากพบสิ่งความผิดปกติอาจจำเป็นต้องทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์
      - หากผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการกลืนและทำตามแพทย์สั่งจะไม่รู้สึกเจ็บ ทั้งนี้ การส่องกล้องจะไม่รบกวนการหายใจ ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ตามปกติในระหว่างการส่องกล้อง โดยการส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนต้นจะใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที
    - - แหลังส่องกล้องผู้ป่วยได้รับการสังเกตอาการผิดปกติประมาณ ½ – 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยไม่ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารจนกว่าผู้ป่วยคอจะหายชา ให้ทดสอบโดยกลืนน้ำลาย ผู้ป่วยไม่มีอาการชาแล้วจึงให้ จิบน้ำได้
      - หลังส่องกล้องอาจมีอาการเจ็บคอ ควรหลีกเลี่ยงดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารร้อน รสจัด เพราะอาจทำให้ระคายเคืองได้ ควรรับประทานอาหารเหลวหรืออ่อน รสไม่จัด ประมาณ 1-2 วัน ในระหว่างนี้ ควรสังเกตน้ำลายที่บ้วนออกมา ซึ่งอาจมีเลือดปนเล็กน้อย เนื่องจากในขณะส่องกล้องอาจมีการครูด การถลอกเกิดขึ้นได้บ้าง โดยปกติจะหายได้เองภายใน 1-2 วัน แต่ถ้ามีเลือดออกมากผิดปกติ ให้รีบแจ้งแพทย์หรือพยาบาล หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดมากบริเวณลำคอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก มีไข้สูง ควรรีบมาพบแพทย์