Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
1.สุเมเรียน, 6.เปอร์เซีย, สุเมเรียน (Sumerian)สุเมเรียนเป็นชื่อเรียกกลุ่ม…
-
6.เปอร์เซีย
เปอร์เซีย (Persia) พวกเปอร์เซียเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพมาจากทางเหนือของเทือกเขาคอเคซัส เมื่อราว 1800 ปีก่อนคริสต์ศักราชและตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนเปอร์เซียหรือประเทศอิหร่อน ปัจจุบัน ต่อมาได้ร่วมมือกับพวกแคลเดียนโค่นล้มจักรวรรดิแอลซีเรียนและสถาปนา จักรวรรดิเปอร์เซียเมื่อประมาณ 550 ปีก่อนคริสต์ซักราช จากนั้นได้ขยายอำนาจเข้ายึดครองจักรวรรดิบาบิโลนของพวกแคลเดียน ดินแดนเมโสโปเตเมีย เอเชียไมเนอร์และอียิปต์ ในสมัยพระเจ้าดาริอุสหรือเดอไรอัสมหาราช (Darius the Great) เปอร์เซียได้ขยายอิทธิพลเข้าไปในดินแดนตะวันออกถึงลุ่มแม่น้ำสินธุของ อินเดียและทางตะวันตกถึงตอนใต้ของยุโรป แม้ว่าเปอร์เซียไม่ประสบความสำเร็จในการทำสงครามเพื่อยึดครองนครรัฐกรีก แต่จักวรรดิเปอร์เซียในขณะนั้นก็มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุด
เปอร์เซียเป็นจักรวรรดิใหญ่ที่ครอบคลุมดินแดนของชนชาติต่างๆ จำนวนมาก จึงต้องจัดการปกครองให้มีประสิทธิภาพ ผู้ปกครองใช้หลักความยุติธรรมในการจัดเก็บภาษีและการศาล รวมทั้งการกระจายอำนาจการปกครองให้แก่ท้องถิ่นและดินแดนต่างๆ โดยรับวิธีควบคุมอำนาจปกครองตามแบบพวกแอสซีเรียน ซึ่งได้แก่ การสร้างถนนเชื่อมดินแดนต่างๆ เพื่อรองรับการเดินทัพ การสื่อสาร และไปรษณีย์ ถนนสายสำคัญ ได้แก่ เส้นทางหลวงเชื่อมเมืองซาร์ดิส (Sardis) ในเอเชยไมเนอร์ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี) และนครซูซา (Susa) ซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซีย ถนนสายนี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ หากยังมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างดินแดนต่างๆ ภายในจักรวรรดิ และเป็นเส้นทางสำคัญในการติดต่อระหว่างตะวันออกและตะวันตก
พวกเปอร์เซียรับความเจริญรุ่งเรืองจากดินแดนต่างๆ โดยเฉพาะจากอียิปต์และเมโสโปเตเมีย แล้วหล่อหลอมเป็นวัฒนธรรมของตน เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร การใช้ระบบเงินตรา การประยุกต์รูปแบบสถาปัตยกรรม ฯลฯ อย่างไรก็ตาม พวกเปอร์เซียก็มีอารยธรรมที่โดดเด่น คือ มีศาสนาของตนเอง ได้แก่ ศาสนาโซโรแอสเตอร์ (Zoroaster) ซึ่งสั่งสอนให้มนุษย์ทำความดีเพื่อมีชีวิตที่ดีในอนาคตและละเว้นความชั่วโดยเฉพาะการกล่าวเท็จ หลักความดีความชั่วของศาสนาโซโรแอสเตอร์มีอิทธิพลต่อแนวคิดและคำสอนของศาสนายูดาย (Judaism) ของชาวยิว และศาสนาคริสต์ซึ่งถือกำเนิดขึ้นหลังจากนั้น
-
-
สุเมเรียน (Sumerian)สุเมเรียนเป็นชื่อเรียกกลุ่มคนที่อพยพเข้ามา อยู่ในเขตซูเมอร์ (Sumer) หรือบริเวณตอนใต้สุด ของแม่น้ำไทกริสและยูเฟรส ซึ่งติดกับปากอ่าว เปอร์เซีย เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐ ปีมาแล้ว พวกสุเมเรียน ได้พัฒนาความเจริญรุ่งเรืองที่ก้าวหน้าทัดเทียมกับ อารยธรรมอียิปต์ เช่นรู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์ม หรืออักษรลิ้มบนแผ่นดินเหนียวแล้วนำไปเผาไฟ การคำนวณการพัฒนามาตราชั่งตวงวัด การทำปฏิทิน การใช้แร่โลหะ การคิดค้นระบบชลประทานเพื่อ ส่งเสริมการกสิกรรม และการก่อสร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ 1. เพื่อเป็นที่ประทับของเทพเจ้า ทำให้นักประวัติศาสตร์ บางกลุ่มเชื่อว่าอารยธรรมโลกเริ่มต้นที่เขตซูเมอร์ ชาวสุเมเรียนอยู่รวมกันเป็น นครรัฐเล็ก ๆ หลายแห่ง เช่น เมืองเออร์ (Ur) เมือง อุรุก (Uruk) เมืองคิช (Kish) และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) แต่ละแห่งไม่มีกษัตริย์หรือเจ้าผู้ครองนคร เพราะพวกสุเมเรียนเชื่อว่าพวกเขามีเทพเจ้าคุ้มครอง จึงมีเพียงพระหรือนักบวชเป็นผู้ทำพิธีบูชาเทพเจ้า และจัดการปกครองในเขตของตนอย่างไรก็ตามการ ที่นครรัฐต่างๆ ล้วนเป็นอิสระต่อกันทำให้ไม่สามารถ รวมกันเป็นปึกแผ่นได้ดินแดนของพวกสุเมเรียนจึง ถูกรุกรานจา...
-
อมอไรต์ (Amorites)พวกอมอไรต์หรือบาบิโลเนียนเป็นชนเผ่าเซมิติกซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง ได้ขยายอิทธิพลในดินแดนเมโสโปเตเมียและสร้างจักรวรรดิบาบิลอนที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงประมาณปี ๑๘๐๐-๑๖๐๐ ก่อนคริสต์ศักราช ผู้นำสำคัญคือกษัตริย์ฮัมมูราบีผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้สร้างความเข้มแข็งให้แก่ จักรวรรดิบาบิลอน โดยการทำสงครามขยายดินแดนและจัดทำประมวลกฎหมายของพระเจ้าฮัมมูราบี เพื่อเป็นหลักในการปกครองและจัดระเบียบสังคม นอกจากนี้ชาวบาบิโลเนียนยังสืบทอดความเจริญ ต่างๆ ของพวกสุเมเรียนไว้ เช่น ความเชื่อทางศาสนา ซึ่งได้แก่การบูชาเทพเจ้า การแบ่งกลุ่มชนชั้นในสังคม เพื่อแบ่งแยกหน้าที่และความสะดวกในการปกครอง การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและการค้าขายกับ ดินแดนอื่น ๆ เช่น อียิปต์และอินเดียซึ่งนำความมั่งคั่งให้แก่จักรวรรดิบาบิลอน จักรวรรดิบาบิลอนค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลง เมื่อมีชนชาติอื่นขยายอิทธิพลเข้ามาในดินแดนเมโสโปเตเมีย และสลายไปโดยถูก พวกอัสซีเรียนโจมตี
-
ฮิตไทต์ (Hittites)พวกฮิตไทต์เป็นพวกอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพมาจากทางเหนือของทะเลดำเมื่อประมาณ ปี ๒,๓๐๐ ก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาได้ขยายอิทธิพลเข้าไปในเขตจักรวรรดิบาบิลอนและเข้าครอบครองดินแดน ซีเรียในปัจจุบัน พวกฮิตไทต์สามารถนำเหล็กมาใช้ประดิษฐ์อาวุธแบบต่าง ๆ และจัดทำประมวลกฎหมาย เพื่อใช้ควบคุมสังคมโดยไม่เน้นการใช้ความรุนแรงตอบโต้ผู้ที่กระทำความผิด เช่น ให้จ่ายค่าปรับแทนการ ลงโทษที่รุนแรง อาณาจักรฮิตไทต์เสื่อมอำนาจลงในราวปี ๑,๒๐๐ ก่อนคริสต์ศักราช
-
คาลเดียน (Chaldeans)พวกคาลเคียนได้ร่วมกับชนชาติ อื่นทําลายอำนาจของอัสซีเรียนเมื่อปี ๖๑๒ ก่อน คริสต์ศักราช หลังจากนั้นก็ได้ครอบครองดินแดน ส่วนใหญ่ของจักรวรรดิอัสซีเรีย ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของ คาลเตียน คือ กษัตริย์เนบูดเนซซาร์ ซึ่งสถาปนา จักรวรรดิบาบิลอนขึ้นใหม่และรื้อฟื้นความเจริญ ต่าง ๆ ในอดีต เช่น การก่อสร้างอาคารที่สวยงาม 7 โดยเฉพาะการสร้าง “สวนลอยแห่งบาบิลอน” ซึ่งได้ สวนลอยแห่งบาบิลอน ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก รับการยกย่องว่าเป็น ๑ ใน ๗ สิ่งมหัศจรรย์ของโลก การรื้อฟื้นประมวลกฎหมายและวรรณกรรมของ ชาวบาบิโลเนียนรวมทั้งระบบเศรษฐกิจและการค้า ดังนั้น นักประวัติศาสตร์จึงเรียกจักรวรรดิของพวก คาลเดียนว่า “จักรวรรดิบาบิลอนใหม่ อย่างไรก็ตามพวกคาลเดียนก็ได้สร้างมรดกที่สำคัญ คือ การศึกษา ทางด้านดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ จักรวรรดิคาลเดียนมีอำนาจในช่วงสั้น ๆ และสิ้นสลายเมื่อปี ๕๓๙ก่อนคริสต์ศักราช
-
นิเชียน (Phoenicians) ระหว่างปี 1000-700 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกฟีนิเชียนอาศัยอยู่ในดินแดนฟินิเชียซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศเลบานอนปัจจุบัน และมีการปกครองแบบนครรัฐ ลักษณะที่ตั้งมีเทือกเขาสลับซับซ้อนกั้นระหว่างที่ราบแคบๆ ซึ่งขนานกับชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับดินแดนอื่นๆ ทำให้พวกฟีนิเชียนไม่สามารถขยายดินแดนของตนออกไปได้ จึงดำรงชีวิตด้วยการเดินเรือและค้าขายทางทะเลนอกจากมีชื่อเสียงในด้านการค้าแล้ว ชาวฟีนิเชียนยังมีชื่อเสียงในด้านอุตสาหกรรมต่อเรือซึ่งทำจากไม้ซีดาร์ที่มี อยู่มากบนเทือกเขาในเลบานอนและการทำอุตสาหกรรมเครื่องใช้จากแร่โลหะต่างๆ เช่น ทองคำ ทองแดง ทองเหลือง แร่เงิน และเครื่องแก้ว นอกจากนี้ยังริเริ่มการทอผ้าขนสัตว์และย้อมผ้า รวมทั้งได้จับจองอาณานิคมในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจำนวนมาก เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าของตน เช่น เกาะซิซีลี ซาร์ดิเนีย และมอลตา อนึ่ง ชาวฟีนิเชียนจำเป็นต้องใช้เอกสารและหลักฐานในการติดต่อค้าขายจึงได้พัฒนาตัว อักษรขึ้นจากโบราณของอียิปต์จำนวนรวม 22 ตัว อักษรฟีนิเชียนเป็นมรดกทางอารยธรรมที่สำคั
-
ฮิบรู (Hebrews) ชาวฮิบรูหรือชาวยิว เป็นชนเผ่าเซมิติกที่เร่ร่อนอยู่ในดินแดนต่างๆ เคยอาศัยอยู่ในเขตซูเมอร์ก่อนที่จะอพยพเข้าไปอยู่ดินแดนคานาอัน (Canaan) หรือปาเลสไตน์ (Palestine) ในปัจจุบัน ชาวฮิบรูเป็นชนชาติที่เฉลียวฉลาดและบันทึกเรื่องราวของพวกตนในคัมภีร์ศาสนา (Old Testament) ทำให้มีข้อมูลเกี่ยวกับบรรพบุรุษของชาวยิวอย่างละเอียด บันทึกชาวฮิบรูกล่าวว่า เดิมบรรพบุรุษเคยอยู่ทางตอนเหนือของเมโสโปเตเมียต่อมาได้ตกเป็นทาสของอียิปต์ เมื่ออียิปต์เสื่อมอำนาจ ชาวฮิบรูจึงพ้นจากความเป็นทาสโดยผู้นำคือโมเสส (Moses) ได้นำชาวฮิบรูเดินทางเร่ร่อนเพื่อหาที่ตั้งหลักแหล่งทำมาหากิน ในที่สุดมาถึงดินแดนคานาอัน หรือภายหลังเรียกว่า “ปาเลสไตน์” และสร้างอาณาจักรอิสราเอล มีกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์เดวิด (David) ซึ่งสถาปนานครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวง ต่อมาอาณาจักรอิสราเอล ได้แตกแยกเป็น 2 ส่วน หลักจากกษัตริย์โซโลมอนสิ้นพระชนม์ เมื่อปี 922 ก่อนคริสต์ศักราช และถูกชนชาติที่เข้มแข็งกว่าคือแอลซีเรียนและแคลเดียนเข้ายึดครอง ชาวยิวส่วนใหญ่ถูกจับไปเป็นทาสในดินแดนอื่น แต่ได้กลับคืนดินแดนปาเลสไตน์อีกครั้งเมื่อจักรวรรดิเปอร์เซียเข้ามาครอบครองดินแดนนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้ละทิ้งดินแดนของตนไปในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 หลังจากพวกโรมันเข้ายึดครองปาเลสไตน์และทำลายเมืองของชาวยิวชาวยิวมีกฎหมาย วรรณกรรม และศาสนาของตนเอง ประมวลกฎหมายเรียกว่า “กฎหมายโมเสส” วรรณกรรมที่สำคัญคือคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งประมวลกฎหมายเรื่องราวตั้งแต่การกำเนิดของโลกมนุษย์ จนกระทั่งถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของชนชาติยิว คัมภีร์ไบเบิลฉบับนี้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและเป็นภาคพระคัมภีร์เก่า (Old Testament) ในคัมภีร์ไบเบิลของศาสนาคริสต์ด้วย
-