Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

Caesarean section due to CPD (Cephalopelvic Disproportion) with F/E…

- - - - ผู้ป่วยมีน้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 43 กิโลกรัม ส่วนสูง 156 cm. BMI 17.67 kg/m2 (อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่าปกติ) ซึ่งควรมีน้ำหนักเพิ่มตลอดการตั้งครรภ์ 12.5 - 18 กิโลกรัม แต่ผู้ป่วยมีน้ำหนักก่อนคลอด 68 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นมา 25 กิโลกรัม ซึ่งมากเกินเกณฑ์มาตรฐาน
    - - ภาวะน้ำหนักเกินเป็นผลโดยตรง จากความไม่สมดุลของพลังงานที่ร่างกายได้รับจากการบริโภคอาหารและพลังงานที่ร่างกายนำไปใช้ ส่งผลให้ ร่างกายมีปริมาณเนื้อเยื่อไขมันและเซลล์ไขมันสูงกว่าปกติ
    - - ผลกระทบต่อสตรีตั้งครรภ์
        
        ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (gestational diabetes mellitus)
        
        ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (hypertensive disorders)
        
        ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thromboembolic disorders)
        
        การคลอดล่าช้า (prolonged labor)
        
        การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง (cesarean section)
        
        ผู้ป่วยผ่าตัดคลอด Low Transverse Caesarean Section with Forceps Extraction
        
        ภาวะซึมเศร้า (Depression)
      - ผลกระทบต่อทารก
        
        ภาวะแท้งบุตร (Abortion)
        
        ทารกเสียชีวิตในครรภ์ (fetal death)
        
        ความผิดปกติทางโครงสร้างของทารกในครรภ์ (fetal structural abnormality)
        
        ทารกตัวโต (macrosomia)
        
        ทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 4,060 กรัม
  - - - การผิดสัดส่วนกันอย่างแท้จริง (True disproportion) เป็นภาวะที่ศีรษะเป็นส่วนนำและอยู่ในท่าปกติ ส่วนที่ผ่านช่องเชิงกรานลงมาเป็นส่วนที่เล็กที่สุด แต่ไม่สามารถผ่านช่องเชิงกรานออกมาได้
      - การผิดสัดส่วนกันแบบสัมพันธ์ (Relative disproportion) เป็นภาวะที่ทารกมีส่วนนำหรือท่าผิดปกติ ทำให้ส่วนที่ผ่านช่องเชิงกรานมีขนาดใหญ่ไม่สามารถผ่านช่องเชิงกรานออกมาได้ แม้ว้าขนาดทารกจะไม่ใหญ่มาก
    - - ความผิดปกติของตัวทารกในครรภ์
        
        ทารกมีน้ำหนักแรกเกิด 4,060 กรัม
      - ความผิดปกติของช่องทางคลอด
      - ความผิดปกติของช่องทางการสืบพันธุ์
    - - ปากมดลูกเปิดอย่างน้อย 4 cm. ขึ้นไป และมีความบางอย่างน้อย 80 ขึ้นไป
        
        ผู้ป่วย Fully dilate ตั้งแต่เวลา 18.30 น.
      - มดลูกหดรัดตัวสม่ำเสมอและแรงพออย่างน้อย 2 ชั่วโมง ก่อนการตัดสินใจ
        
        Iinterval = 2'30''
        
        Duration = 30''
        
        Intensity = ++
      - การดำเนินการคลอดผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่ง Protraction disorder หรือ Arrest disorder
    - - โดยการตรวจภายใน ในช่วงเจ็บครรภ์คลอด พบว่า ศีรษะของทารกไม่เคลื่อนต่ำลงมา หรือ ปากมดลูกไม่มีการเปิดเพิ่มขึ้น มดลูกหดรัดตัวบ่อย และแรง เพื่อผลักดันให้ทารกเคลื่อนต่ำ แต่ทารกไม่สามารถเคลื่อนต่ำได้ จึงทำให้ส่วนนำมาอัดแน่นในช่องเชิงกราน ดังนั้นเมื่อมดลูกหดรัดตัวบ่อย ส่วนบนของมดลูกจะดึงรั้งให้มดลูกส่วนล่างขยายและบางลง ซึ่งสามารถมองเห็นรอยคอดตามขวางของหน้าท้อง และอยู่ต่ำกว่าระดับสะดือเล็กน้อย ซึ่งถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้มดลูกแตก
    - - การผ่าตัดทำคลอด
        (Ceasarean section)
        
        การผ่าตัดคลอดแบบดั้งเดิม (classical Ceasarean section)
        
        การผ่าตัดคลอดชนิดตัดส่วนล่างของมดลูก (lower uterine segment section)
        
        Low Transverse Caesarean Section with Forceps Extraction
  - - - ผู้ป่วยผ่าคลอด Low Transverse Caesarean Section with Forceps Extraction
- - - - OD :
        
        ผู้ป่วยผ่าคลอด Low Transverse Caesarean Section with Forceps Extraction
        
        T = 37.0 C , BP = 90/60 mmHg , PR = 100 bpm , RR = 18 bpm
    - - เพื่อให้มารดาหลังคลอดไม่มีภาวะตกเลือด
    - - สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติดังนี้ชีพจร 60-100 ครั้ง/นาที
      - ความดันโลหิต SBP 80-135/ DBP 60-85 mmHg. อัตราการหายใจ 12 - 22 bpm.สม่ำเสมอ
      - เยื่อบุตาไม่ซีด ผิวหนังไม่เย็นซีด
      - มดลูกหดรัดตัวกลมแข็ง อยู่ระดับสะดือ
    - - ตรวจวัดสัญญาณชีพหลังจากกลับมาจากห้องผ่าตัด ทุก 15 นาที 4 ครั้ง 30 นาที 2 ครั้ง และ 1 ชั่วโมง จนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ หลังจากนั้นวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
      - ให้มารดาหลังคลอดนอนพักลดการใช้พลังงาน และงดอาหารและน้ำทางปาก ประมาณ 12 - 24 ชั่วโมงแรก หลังผ่าตัด ในวันถัดมาสามารถดื่มน้ำ รับประทานอาหารเหลว และอาหารอ่อนได้ตามลำดับ พร้อมกับการหยุดให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และหลังจากนั้นสามารถที่จะรับประทานอาหารปกติได้
      - สังเกตระดับความรู้สึกตัวและอาการผิดปกติ เช่น หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น ซีด เพื่อ ประเมินการตอบสนองของร่างกายต่อปริมาณเลือดที่ลดลงในระบบไหลเวียนเลือด
      - ประเมินดูสาเหตุของการตกเลือดเฉียบพลัน คือ การหดรัดตัวที่ไม่ดีของมดลูก การเหลือค้างของส่วนการตั้งครรภ์การบาดเจ็บของช่องทางคลอด เช่น มดลูกแตก และความผิดปกติของ ระบบการแข็งตัวของเลือด เช่น ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
      - ตรวจดูการหดรัดตัวของมดลูก และระดับยอดมดลูก
      - บันทึกจำนวนน้ำที่เข้าและออกจากร่างกาย เพื่อรักษาความสมดุลของน้ำและเกลือแร่
      - ดูแลความสุขสบายทั่วๆไป ให้ความอบอุ่น และป้องกันการสูญเสียความร้อนของร่างกาย ดูแลและแนะนำการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
      - ทำความสะอาดร่างกายวันละ 2 ครั้ง เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 4 ชั่วโมง สักเกตลักษณะ สี และกลิ่นน้ำคาวปลา
      - แนะนำไม่ให้มารดากลั้นปัสสาวะ เนื่องจากจะทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
      - แนะนํามารดาให้ทารกดูดนมตนเอง เพื่อกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวดี
      - แนะนํามารดาให้นอนคว่ํา ศีรษะตะแคงข้างใดข้างหนึ่ง ใช้หมอนหนุนท้องน้อย และสะโพก
        ช่วยให้น้้ำคาวปลาไหลสะดวกดี มดลูกหดรัดตัวดี
    - - สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T = 37.2 องศาเซลเซียส PR = 98 ครั้ง/นาที RR = 18 ครั้ง/นาที BP = 110/80 mmHg Pain score = 1 คะแนน
      - เยื่อบุตาไม่ซีด ผิวหนังไม่เย็นซีด
  - - - OD :
        
        ผู้ป่วยได้รับการช่วยคลอดด้วยคีม
    - - ผู้คลอดปลอดภัยจากอันตรายในการช่วยคลอดด้วยคีม
    - - ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการช่วยคลอดด้วยคีม เช่น สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีภาวะตกเลือด หรือติดเชื้อ
      - มดลูกหดรัดตัวดี
    - - ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ 15 นาที 4 ครั้ง และ 30 นาทีจนมารดาหลังคลอดอยู่ในภาวะปกติ เพื่อให้ทราบสภาวะทั่วไปของมารดาหลังคลอดและประเมินอาการผิดปกติ
      - ดูแลมารดาหลังคลอด โดยเฉพาะสังเกตการหดรัดตัวของมดลูก น้ำคาวปลา ถ้ามีสิ่งผิดปกติรีบรายงานแพทย์
      - ประเมินภาวะคั่งของน้ำปัสสาวะ เนื่องจากกระเพาะปัสสาวะ อาจได้รับบาดเจ็บจากการใช้คีมช่วยคลอด
      - แนะนำให้ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ทุกครั้งที่ปัสสาวะหรืออุจจาระ และเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
      - แนะนำให้สังเกตและบันทึกลักษณะสิ่งคัดหลั่งและน้ำคาวปลาทุกวัน
      - แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารจำพวกโปรตีน และวิตามิน
      - แนะนำ ดูแล ให้มารดานอนหลับพัผ่อนอย่างเพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง
      - อำนวยความสะดวกให้มารดาหลังคลอดในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พูดคุย ซักถามเกี่ยวกับบุตร หรือข้อสงสัยต่างๆ
      - ให้การดูแลด้านจิตใจมารดา เพื่อช่วยให้มารดาหลังคลอดลดความวิตกกังวลและความเครียดจากการคลอด
    - - สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ T = 37.2 องศาเซลเซียส PR = 98 ครั้ง/นาที RR = 18 ครั้ง/นาที BP = 110/80 mmHg Pain score = 1 คะแนน
      - มดลูกหดรัดตัวดี ภายหลังการผ่าคลอด Day 1 มดลูกอยู่ระดับสะดือ
  - - - SD : ผู้ป่วยบอกว่า มีอาการปวดเต้านมทั้งสองข้าง Pain score = 1 คะแนน
      - OD : ตรวจเต้านม พบว่า ลานนมทั้งข้างเริ่มแข็ง มีก้อน
      - OD : มารดาให้นมลูก นำลูกเข้าเต้ายังไม่ถูกวิธี
      - SD : ผู้ป่วยตั้งครรภ์ครั้งแรก
    - - เพื่อให้มารดาคลายกังวลเกี่ยวกับการให้นมบุตร และบรรเทาอาการปวด อาการคัดตึงเต้านม
    - - อาการปวด คัดตึงเต้านมลดลง
      - LATCH score อยู่ในช่วง 8-10 คะแนน
    - - แนะนำมารดาให้นวดเต้านม หรือประคบอุ่นโดยการนำผ้าชุบน้ำอุ่น/hot pack มาวางบนเต้านมแล้วทำการนวดคลึงเต้านม ก่อนให้นมบุตร
      - แนะนำให้มารดารับประทานอาหารที่กระตุ้นการไหลของน้ำนม เช่น ขิง ฯลฯ
      - แนะนำให้มารดาดื่มน้ำวันละ 2 - 3 ลิตร เพื่อช่วยให้น้ำนมหลั่งออกมาได้มากยิ่งขึ้น
      - ประเมินการเข้าเต้าของทารก (LATCH score)
      - บอกมารดาว่าการปวดมดลูกระหว่างการให้นมบุตร เป็นเรื่องปกติของมารดาหลังคลอด และเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากมดลูกมีการเข้าอู่ ส่งผลทำให้ยอดมดลูกละระดับลง
    - - เต้านมและลานนมแข็ง มีก้อน หัวนมไม่สั้น ไม่บอด ไม่บุ๋ม
      - น้ำนมไหลดี 2+
      - LATCH score = 9 คะแนน