Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อสถานการณ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม - Coggle…
ผลกระทบของโลกาภิวัตน์ที่มีต่อสถานการณ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
สังคมในยุคโลกาภิวัตน์เป็นโลกที่มนุษย์สามารถข้ามพรมแดนของประเทศ
และสามารถทะลุกาลเวลาได้
ยุคโลกาภิวัตน์เป็นยุคข้อมูลข่าวสาร (Information Age) ที่ไร้พรมแดน ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
และมีประสิทธิภาพของเทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคม รูปแบบกิจกรรมการดำเนินงานทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การศึกษา
การเมือง วิถีชีวิต ฯลฯ ที่เคยมีอยู่เฉพาะในพื้นที่ไม่กี่แห่งในโลกได้กระจายออกไปยังพื้นที่ใหม่
ขยายตัวครอบคลุมไปทั่วโลก ทำให้ประชากรโลกใกล้ชิดกันมากขึ้น มีความเชื่อมโยงระหว่างกันมากขึ้น โลกที่เคยกว้างใหญ่กลับเล็กลง
ดินแดนแต่ละประเทศที่อยู่ห่างไกลกันสามารถติดต่อกันได้ภายในเวลาเสี้ยววินาทีประดุจเป็นหมู่บ้านเดียวกัน (Global Village)
ประชากรโลกส่วนใหญ่มักเห็นผลกระทบของโลกาภิวัตน์ในด้านเศรษฐกิจเพราะคิดว่าเป็นสิ่งใกล้ตัว ส่วนผลกระทบที่ใกล้ตัวกว่าและเกิดขึ้นในระยะยาวเช่นกันคือ
ผลกระทบทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาและจำเป็นต้องยอมรับนอกจากจะยอมรับแล้ว
พลเมืองโลกต้องเข้าใจถึงกลไกความสัมพันธ์ของสถานการณ์ทั้งสาม ได้แก่ เศรษฐกิจ พลังงาน และ สิ่งแวดล้อม ให้ถูกต้อง ชัดเจน เพื่อร่วมมือกันใช้สติปัญญา คิดและลงมือปฏิบัติในการสร้างวิถีที่สามารถลดผลกระทบดังกล่าว ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว
ระบบเศรษฐกิจแบบฐานข้อมูลข่าวสาร (Informationbased economy)
ที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ UNCTAD (The United Nations Conference on Trade and Development) ระบุว่า การหันมาใช้หุ่นยนต์มากขึ้นเป็นล้านตัว กำลังกลายเป็นความเสี่ยงสำหรับแรงงานจำนวนมากในประเทศกำลังพัฒนา และไม่ใช่เฉพาะแรงงานในโรงงานเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบถึงการจ้างงานในครัวเรือนด้วย
เนื่องจากตัวเลขคาดการณ์ของสมาพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ หรือ International Federation on Robotics (IFR) ชี้ว่า ระหว่างปี ค.ศ.2016 ถึง 2019 จำนวนหุ่นยนต์ที่มีใช้ในครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นประมาณ 31 ล้านตัว
คาดการณ์ยอดขายรวมสำหรับหุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้น หุ่นยนต์ตัดหญ้า และหุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ อยู่ที่ 1.03 หมื่นล้านปอนด์ หรือ เกือบ 5 แสนล้านบาท
ศาสตราจารย์ริชาร์ด บอลด์วิน ประธานศูนย์วิจัยนโยบายเศรษฐกิจ (Centre for Economic Policy Research) มองว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอาจหมายถึงความเสี่ยงตกงาน สำหรับผู้ที่ทำงานแบบนั่งโต๊ะหรืองานในสำนักงาน
รัฐบาลควรให้ความสนใจกับนโยบายด้านสังคม อย่างที่เห็นในช่วงกระแสโลกาภิวัฒน์หลังสงครามโลก ที่มีการเปิดการค้าเสรีไปพร้อม ๆ กับการเพิ่มสวัสดิการสังคม จัดระบบต้นทุนด้านการศึกษาให้ถูกลง และออกมาตรการเพื่อรักษาการจ้างงาน ให้ลูกจ้างได้มีโอกาสใช้ประโยชน์จากยุคโลกาภิวัตน์
ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเปรียบเหมือนคลื่นโลกาภิวัตน์ลูกที่หนึ่ง ทำให้ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศถูกลง สร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วให้แก่กลุ่มประเทศ จี 7
คือ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร แคนาดา และอิตาลี
หลังจากช่วงปี 1990 ก็มีคลื่นโลกาภิวัตน์ลูกที่สองเกิดขึ้น เพราะพัฒนาการด้านสารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารทำให้อัตราความมั่งคั่งของกลุ่มประเทศเหล่านี้ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
เนื่องจากประเทศอื่น ๆ ก็ได้รับข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีไปพร้อมกันด้วย จึงนำไปใช้พัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศหรือกลุ่มประเทศของตนได้เช่นกัน
ระบบการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมเปลี่ยนเป็นการผลิตต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
กระแสเงินตราต่าง ๆ ได้ผ่านเข้าและออกธนาคารตลอดเวลาในช่วงเวลาที่วัดกันเป็นเสี้ยววินาที โดยใช้อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งอัตราเร็วนี้แสดงถึงความสามารถที่จะก้าวล้ำหน้าผู้อื่น มีผลต่อการกระจายอำนาจและผลกำไรอย่างมากมาย
กระแสการแข่งขันด้านการค้าและการแสวงหาตลาดจึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นสภาพข้ามชาติอย่างแท้จริง รูปแบบการแข่งขันเพื่อผูกขาดอำนาจและผลประโยชน์การค้าและช่องทางการเข้าสู่ตลาดโลกที่เคยใช้ในอดีตไม่ประสบผลสำเร็จ
เพราะการดำเนินกิจกรรมทางการค้าได้พัฒนาซับซ้อนและมีกลไกมีวิธีการหลากหลายมากขึ้น ในยุคนี้ใช้“การทูตแผนใหม่” (New Diplomacy) ที่มุ่งไปที่พันธมิตรทางธุรกิจ การค้าและอุตสาหกรรม แทนการใช้ระบบการเมืองดังที่เคยปรากฏในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
การที่ระบบเศรษฐกิจแบบใหม่มีข้อมูลข่าวสารเข้ามามีบทบาทสำคัญ จึงนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงด้านการผลิตสินค้า จากวิธีการผลิตที่เหมือนกันในปริมาณมากเสร็จสิ้นในที่เดียว มาเป็นการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาควบคุมในการผลิต ที่มีการควบคุมงานเฉพาะขั้นตอน
ทำให้ใช้ระยะเวลาการผลิตสั้นกว่า สิ้นเปลืองน้อยกว่า เช่น รถยนต์ มีการผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่มีความสามารถเฉพาะด้านหลายประเทศแล้วนำมาประกอบกันเป็นรถทั้งคันในอีกประเทศหนึ่ง
ก่อนส่งไปขายทั่วโลกเป็นลักษณะของบริษัทข้ามชาติทุนข้ามชาติที่เข้าไปเสาะแสวงหาผลกำไรอย่างไร้พรมแดนในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลก +
แล้วส่งผลกำไรไปยังบริษัทที่เป็นเจ้าของ
เป็นแบบฉบับธุรกิจโลกาภิวัตน์ซึ่งส่งผลต่อไปถึงธุรกิจการเงิน หลักทรัพย์ ธนาคาร ประกันภัยที่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับธุรกิจแบบโลกาภิวัตน์ด้วย
ระบบเศรษฐกิจได้เปลี่ยนรากฐานจากระบบอุตสาหกรรมมาเป็นระบบเศรษฐกิจแบบฐานข่าวสาร ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการผลิต การจัดการ และเผยแพร่ข่าวสาร
ข่าวสารกลายเป็นสินค้าประเภทหนึ่ง ตัวอย่างธุรกิจชนิดนี้ เช่น การผลิตคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรคมนาคม วิทยุ โทรทัศน์ การพิมพ์ โทรศัพท์ หนังสือ วารสาร เป็นต้น
ผู้ต้องการใช้ข่าวสารต้องเสียค่าใช้จ่าย ข่าวสารกลายเป็นแหล่งทุน จึงทำให้เกิดการว่าจ้างแรงงานทางด้านข่าวสารมากขึ้น
แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย
ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา เคยประสบความสำเร็จจากการใช้ข้อได้เปรียบจากการส่งออกสินค้าที่ใช้แรงงานราคาถูกจนทำให้ประชากรมีรายได้ที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง
แต่เมื่อตลาดโลกมีรูปแบบการแข่งขันที่แตกต่างและซับซ้อนมากขึ้นด้วยระบบฐานข้อมูลข่าวสาร การผลิตในรูปแบบเดิม ๆ ก็กลายเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว
ผู้บริหารประเทศที่รับผิดชอบทางด้านเศรษฐกิจเห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อสร้างข้อได้เปรียบใหม่ ๆ ให้กับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ต้องใช้นวัตกรรมเพิ่มรายได้ต่อหัวต่อจำนวนประชากร ต้องแก้ไขปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ ต้องเปลี่ยนจากการเพิ่มมูลค่าเป็นการสร้างมูลค่า จากทำมากได้น้อยให้เป็นทำน้อยได้มาก
เช่น การสร้างมูลค่าให้อุตสาหกรรมสมุนไพรไทย การทำให้บางจังหวัดท่องเที่ยวกลายเป็น World Class Destination เป็นต้น
ที่สำคัญที่สุดคือ ต้องพัฒนาเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมจึงจะถือว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
สถานการณ์สิ่งแวดล้อม
5.1 ภาวะโลกร้อน หรือภาวะอุณหภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง
มีสาเหตุมาจากชั้นบรรยากาศที่ปกคลุมโลกไว้มีก๊าซต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกมีคุณค่ามหาศาลต่อสิ่งมีชีวิต
เนื่องจากช่วยกรองรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่ให้แผ่ถึง ผิวโลกโดยตรงจึงทําให้ผิวโลกไม่ร้อนเกินไป ในขณะเดียวกันก็ช่วยเก็บกักความร้อนบางส่วนไว้ไม่ให้อุณหภูมิที่ผิวโลกเย็นเกินไป เช่นกัน
ช่วยป้องกันแสงแดดไม่ให้เผาไหม้ พืชที่บอบบาง และทําให้อากาศภายในเรือนอบอุ่นเหมาะสมกับการเติบโตของพืชอีกด้วย
5.2 มลภาวะทางอากาศ
5.2.1 การเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และน้ํามัน จะทําให้เกิดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ (nitrogen oxide) และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (sulfurdioxide) เมื่อก๊าซเหล่านี้ทําปฏิกิริยากับน้ําฝนหรือละอองน้ําในอากาศจะ กลายเป็นกรดไนตริก (nitric acid) และกรดกํามะถัน (sulfuric acid) เกิดเป็นภาวะที่เรียกว่า “ฝนกรด”
5.2.2 คุณภาพของอากาศในเมืองที่มีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักจะมีอนุภาคขนาดเล็กแขวนลอยอยู่ในอากาศ และ มีก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์เข้มข้นสูง ทําให้ผู้ที่ดําเนินชีวิตอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นประจํามีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด ถุงลมโป่งพอง
5.3 ภาวะขาดแคลนน้ำ
ปริมาณน้ําโดยรวมบนโลกเป็นน้ําเค็ม 97.5% ที่เหลือประมาณ 2.5% เป็นน้ําจืด
ในปริมาณน้ำจืด ทั้งหมดนี้เป็นน้ําแข็งที่ขั้วโลกและบนภูเขาสูง 68.9% น้ําใต้ดิน 30.8%
และน้ำผิวดิน ได้แก่ น้ำในทะเลสาบ แม่น้ำลําคลอง น้ำตก เพียง 0.25%
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ และจํานวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น ทําให้ความต้องการใช้น้ำจืดเพิ่มขึ้นด้วยหากยังไม่มีการแก้ปัญหาภาวะขาดแคลนน้ำที่ถูกต้องจะทําให้วิกฤตการณ์ขาดแคลนน้ำมีความรุนแรงมากขึ้น ตามลําดับ จนกระทั่งนําไปสู่สงครามการแย่งชิงน้ำ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ศึกษาปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้เกิดภาวการณ์ขาดแคลนน้ำ สรุปได้ 10 สาเหตุ ได้แก่
(1) ภาวะเรือนกระจกที่ทําให้อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลในบางพื้นที่ เช่น ในบางปีจะมีฤดูร้อนที่ยาวนานแต่ฤดูหนาวสั้นลง ทําให้ปริมาณน้ำฝนและหิมะลดลง และเกิดความความแห้งแล้งตามมา
(2) มลพิษในแม่น้ำลําคลองและแหล่งน้ำต่าง ๆ เกิดจากการปล่อยน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมลงในแหล่งน้ำโดยไม่ได้ ผ่านการบําบัด สารเคมีตกค้างจากการเกษตร การทําเหมืองแร่ และจากการทิ้งขยะและของเสียลงในแหล่งน้ำ เป็นต้น
(3) จํานวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทําให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มสูงขึ้น
1 more item...
ท้องถิ่นนิยม (Localism)
ระบบสื่อสารไร้พรมแดนทำให้เกิดการครอบโลกทางวัฒนธรรม อิทธิพลของวัฒนธรรมและอำนาจของเศรษฐกิจจากประเทศที่พัฒนาแล้วได้ไหลบ่าเข้าสู่ประเทศอื่นอย่างรุนแรง
ก่อให้เกิดกระแสวัฒนธรรมโลก (Neo - Westernization) ครอบงำทางความคิด การมองโลก การแต่งกาย การบริโภคนิยม แพร่หลายเข้าครอบคลุมเหนือวัฒนธรรมประจำชาติของแต่ละประเทศ
ผลที่ตามมาคือ เกิดระบบผูกขาดแบบไร้พรมแดน ในขณะเดียวกันระบบสื่อสารไร้พรมแดนก็ทำให้เกิดความรู้สึก ท้องถิ่นนิยมแทนที่อุดมการณ์ชาตินิยมไปพร้อมกันด้วย
เนื่องจากประชาชนในท้องถิ่นสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารด้านต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนของตนได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้เกิดการปลุกจิตสำนึกของประชาชนในท้องถิ่นให้รู้จักเห็นคุณค่าอนุรักษ์ และหวงแหนทรัพยากรภายในท้องถิ่นของตน
พร้อมทั้งตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาลกลาง หากรัฐบาลกลาง หวังจะตักตวงผลประโยชน์จากท้องถิ่นโดยไม่โปร่งใส ก็จะถูกต่อต้านจากประชาชนในท้องถิ่น ดังที่เราได้พบเห็นที่กลุ่มประชาชนออกมาเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคต่าง ๆ
4.สถานการณ์พลังงาน
ประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้ามากถึง 68% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่มีความเสี่ยงสูงต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีต้นทุนทางด้านพลังงานที่สูงกว่าประเทศ คู่แข่งทางการค้า ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของประเทศไทยในเวทีการค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้เพราะปัจจุบันประเทศไทยต้องพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล (fossil) ในการขับเคลื่อนระบบต่าง ๆ ในปริมาณสูง
แต่ประเทศไทยสามารถขุดเจาะและผลิตพลังงานจากฟอสซิลได้เพียง 10% ของความต้องการใช้พลังงานในประเทศเท่านั้น
กระทรวงพลังงานระบุว่าในปี พ.ศ. 2555 ไทยมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป ได้แก่ เบนซินพื้นฐาน แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันอากาศยาน ดีเซลหมุนเร็ว ดีเซลพื้นฐาน น้ำมันเตาเฉลี่ยประมาณ 199.3 พันบาร์เรล/วัน
หรือคิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 2.7 ล้านบาท จึงต้องนำเข้าพลังงานวัตถุดิบจากต่างประเทศ
ซึ่งในปี พ.ศ. 2556 นำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเฉลี่ย 910,000 บาร์เรล/วัน เฉลี่ยปีละประมาณกว่า 332,150,000 บาร์เรล
คิดเป็นมูลค่าที่ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตราไปยังต่างประเทศกว่าปีละ 1,160,028 ล้านบาทเพื่อนำมาใช้ในภาคอุตสาหกรรมและการค้าของประเทศ
หลายประเทศแก้ปัญหาด้านพลังงานโดยประกอบกิจการไฟฟ้าขนาดเล็กเป็นหน่วยย่อย ๆ
กระจายการผลิต กระจายอำนาจการประกอบกิจการไฟฟ้าให้ภาคประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และเอกชนรายย่อย
เพื่อการกระจายผลประโยชน์และลดความเสี่ยงของผลกระทบ ซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยเอง ที่มีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่มาก
จึงเห็นได้ว่าพลังงานมีผลกระทบต่อระบบการค้าของประเทศไทยโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนในประเทศควรหันมาให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาพลังงานภายในประเทศให้สามารถนำมาใช้ทดแทนพลังงานที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
เพื่อเป็นการพึ่งพาตนเองทางด้านพลังงานอย่างยั่งยืนและเป็นการลดความเสี่ยงทางด้านพลังงานของประเทศ
ตลอดจนสามารถลดต้นทุนในการแข่งขันกับต่างประเทศจนสามารถเพิ่มมูลค่าทางการค้าให้แก่ธุรกิจของประเทศไทยให้สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจของภูมิภาคในอนาคตอันใกล้นี้
พลังงานเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ ภาคการผลิตใช้พลังงานสังเคราะห์ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงและไฟฟ้า นอกจากนั้นกระแสโลกาภิวัตน์ทำให้ประชากรโลกทั้งในสังคมเมืองและในท้องถิ่นห่างไกลมีโอกาสรับรู้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เท่าเทียมกันมากขึ้น
ส่งผลให้มีการใช้อุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบอาชีพและการดำเนินชีวิตมากขึ้นด้วย แม้ว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะมาจากแหล่งผลิตหลายแห่ง มีลักษณะแตกต่างกันบ้าง แต่ก็ใช้พลังงานในการทำงานเหมือนกัน จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นก็ยิ่งส่งผลให้มีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นตามไปด้วย
ตลาดพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิต มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก และเป็นปัจจัยสำคัญต่อความ
มั่นคงด้านพลังงาน อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมากในประเทศที่กำลังพัฒนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย ทำให้มีความต้องการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก กิจการไฟฟ้าเองก็มีวิวัฒนาการอย่างมาก จากที่เคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวด ไปสู่การปล่อยเสรีมากขึ้น
โดยผู้ผลิตสามารถใช้เชื้อเพลิง และแหล่งความร้อนแบบผสมผสาน ในราคาที่ถูกกว่าเดิม ในการผลิตไฟฟ้าพลังความร้อน โรงไฟฟ้าและเชื้อเพลิงในการผลิตค่อย ๆ เปลี่ยนจากการที่รัฐเป็นเจ้าของ ไปเป็นของบริษัทเอกชน
ความเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก่อให้เกิดขีดจำกัดของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน การพัฒนากิจการไฟฟ้านับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตของประเทศที่กำลังพัฒนาหลายประเทศ
และที่กำลังพัฒนา ทำให้ตลาดไฟฟ้ามีความซับซ้อนขึ้นในลักษณะเดียวกับตลาดน้ำมัน พันธมิตรร่วมทุนอย่างเช่นการรวมตัวกันระหว่างบริษัทไฟฟ้ากับผู้จัดหาเชื้อเพลิง จะทำให้เศรษฐกิจระดับประเทศเกี่ยวโยงไปถึงเครือข่ายธุรกิจระหว่างประเทศและทั่วโลก
การสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังมีปัญหาที่ประชาชนไม่มั่นใจด้านความปลอดภัย
เพราะอายุของการแผ่กัมมันตภาพรังสีอยู่ระหว่าง 1,000 ถึง 100,000 ปี และแนวทางการจัดการกับเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ใช้แล้วและกากนิวเคลียร์ให้ปลอดภัยอย่างแท้จริงและถาวรยังไม่ชัดเจน