Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
หญิงไทย อายุ 29 ปี G1P0 GA39 week
CC: นัดมา Induction (29/9/63)
Dx.GDMA2…
หญิงไทย อายุ 29 ปี G1P0 GA39 week
CC: นัดมา Induction (29/9/63)
Dx.GDMA2
แรกรับ BP120/80 mmHg P 86 bpm R 20 bpm T37.1 C
ประวัติทางสูติกรรม:ประจำเดือนมาครั้งแรก ตอนอายุ12ปี
มาครั้งละ3-4 วัน ไม่ได้วางแผนมีบุตรคนนี้ คุมกำเนิดโดยการกินยาคุมกำเนิด
- ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
-ครั้งที่ 1 หมู่เลือด A Rh:positive Hct:39.3% VDRL:Non-reactive HbsAg:Negative HIV: Non-reactive OF: Negative DCIP: Negative
-ครั้งที่ 2 Hct:35.4% VDRL:Non-reactive HbsAg:Negative HIV: Non-reactive OF: Negative DCIP: Negative
G1P0
ไตรมาสที่ 1
Hormone estrogen,Progesterrone เพิ่มขึ้น
-
ไตรมาสที่ 2,3
รกสร้าง hormoneHPL
progesterone,corticol : สูงขึ้น
-
-
- ข้อวินิจฉัยการพยาบาล เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ข้อมูลสนับสนุน
OD : - ผลการคัดครองระดับน้ำตาลในเลือดเมื่ออายุครรภ์ 9 week ผล 50GCT=238mg%,100gOGTT=131,286,282,120mg%
เป้าหมาย
-ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
กิจกรรมการพยาบาล
1.จัดให้นอนพักบนเตียงโดยให้นอนศีรษะสูงเล็กน้อย เพื่อช่วยให้มดลูกไม่กดทับเส้นโลหิต Inferior vena cava ไม่เบียดกระบังลมช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนดีขึ้น
2.ประเมินอัตราการหายใจชีพจรและความดันโลหิตทุก 1 ชั่วโมงถ้าพบชีพจรมากกว่า 110 bpm หรือการหายใจมากกว่า 24 bpm ให้ออกซิเจนทาง Cannula 5 ลิตรต่อนาทีเพื่อช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอและรายงานแพทย์เพื่อให้การรักษา
3.สังเกตอาการอย่างใกล้ชิดถ้าพบอาการผิดปกติเช่นอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำคือใจสั่นวิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลมเหงื่อออกมากตัวเย็นน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 80 mg / dl ให้รายงานแพทย์
4.ดูแลความสะอาดร่างกายโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ซึ่งจะมีสิ่งคัดหลั่งเป็นมูก หรือมูกปนเลือดออกมามากเพื่อให้รู้สึกสบายและป้องกันการติดเชื้อ
5.ประเมินสภาพทารกในครรภ์โดยการฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกทุก 1 ชั่วโมงถ้ามีความผิดปกติเช่น FHS มากกว่า 160 bpm หรือน้อยกว่า 120 bpm หรือจังหวะไม่สม่ำเสมอให้ออกซิเจน 5 ลิตร / นาทีเพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนให้แก่ทารกในครรภ์และรายงานแพทย์เพื่อพิจารณาให้การช่วยเหลือ
6.ช่วยเหลือในการทํากิจกรรมบางอย่างเช่นการเช็ดตัวทำความสะอาดร่างกายเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบาย
-
- กิจกรรมการพยาบาลผู้คลอดที่ได้รับการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดโดยใช้ยา
1.การพยาบาลก่อนให้ยา
1.1.อธิบายให้ผู้คลอดเข้าใจถึงขั้นตอนการให้ยาและการปฏิบัติตัวก่อนให้และขณะให้ยาเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการให้ยาพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ซักถามและตอบคำถามจนผู้คลอดเข้าใจ
1.2เตรียมยาและสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์
2.การพยาบาลขณะให้ยา
2.1กรณีได้รับการชักนำการคลอดด้วยยาในกลุ่ม Prostagladins เหน็บยาในกลุ่ม PGET (Misoprosol หรือ Cytotec) ทางช่องคลอดหลังเหน็บยาจะต้องให้นอนยกกันสูงอย่างน้อย 30 นาที
2.2.ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและเสียงหัวใจทารกทุก 15-30 นาที
2.3.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงหรือบ่อยขึ้นตามความเหมาะสม
2.4.ประเมินอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาเช่นคลื่นไสยาเจียนมีไข้ท้องเสียหลอดลมตีบเป็นต้น
3.กรณีได้รับการชักนำการคลอดด้วย Oxytocin ทางหลอดเลือดดำ
3.1สังเกตและประเมินการหดรัดตัวของมดลูกทุก 15-30 นาทีเพื่อติดตามความก้าวหน้าของการคลอดในรายทีหลังจากได้ยาไปประมาณ 15-30 นาที แต่มดลูกยังหดรัดตัวไม่ดีต้องปรับเพิ่มจำนวนหยดของ Oxytocin ในรายที่มดลูกหดรัดตัวนานเกิน 90 วินาทีและ interval น้อยกว่า 2 นาทีจะต้องหยุดให้ยาและรายงานแพทย์ทันที
3.2ประเมินเสียงหัวใจทารกทุก 30-60 นาทีอย่างสม่ำเสมอหรือประเมินต่อเนื่องถ้ามีอาการและอาการแสดงว่าทารกในครรภ์มีภาวะขาดออกซิเจนต้องหยุดให้ยาจัดให้คลอดนอนตะแคงซ้ายให้ออกซิเจนและรายงานแพทย์ทันที
3.3ดูแลให้กระเพาะปัสสาวะว่างเพื่อส่งเสริมการหดรัดตัวของมดลูก
3.4สังเกตและติดตามปริมาณน้ำเข้าและออกจากร่างกาย
3.5ประเมินอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาเช่นปัสสาวะออกน้อยสับสนชักซึมความดันโลหิตต่ำหัวใจเต้นเร็วเป็นต้นรวมถึงประเมินภาวะเขียนที่อาจเกิดขึ้นเช่น amniotic fluid embolism มดลกแตกตกเลือดหลังคลอดเป็นต้นถ้าพบความผิดปกติต้องรายงานแพทย์ทันที
-
- ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล เกิดภาวะ fetal distress เนื่องจากออกซิเจนไปยังรกลดลง
ข้อมูลสนับสนุน
OD: ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกนานเกิน 90 วินาที I น้อยกว่า2 นาที ฟังFHS ได้ 105 bpm
เป้าหมาย
เพื่อให้ทารกได้รับออกซิเจนอยางเพียงพอ
เกณฑ์การประเมินผล
-FHS อยู่ในช่วง 120-160 bpm
-ทารกดิ้นดี 2-3ครั้ง/ชั่วโมง
กิจกรรมการพยาบาล
1.จัดให้มารดานอนตะแคงซ้าย เพื่อไม่ให้มีการกดทับเส้นเลือด Inferior vena cava ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น
2.ให้oxygen mask with bag 10ลิตร/นาทีแก่มารดา เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนทำให้มารดาและทารกได้รับออกซิเจนอยางเพียงพอ
3.ดูแลให้ได้รับ Ringer lactate solution 1000 ml rate 100cc/hr.เพื่อเพิ่ม Blood serculation ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายเพิ่มมากขึ้น
4.ประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ โดยทำNST monitor
5.ฟังและบันทึก FHS ทุก15 – 30 นาที
6.ตรวจและบันทึก Uterine contraction ทุก 30 นาที เพื่อสังเกตการหดรัดตัวของมดลูก เนื่องจากเมื่อมดลูกมีการหดรัดตัว เกิดการเกร็งของเส้นเลือด เลือดไปเลี้ยงรกและมดลูกน้อยลง
7.รีบแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาช่วยทารกให้คลอดออกมาเร็วที่สุดด้วยวิธี C/S
-
- ข้อวินิจฉัยการพยาบาลที่4 มารดาความวิตกกังวลเกี่ยวกับการคลอดเนี่องจากมารดาเป็นครรภ์แรก
ข้อมูลสนับสนุน
Subjective data: มารดาบอกว่า“ กลัวว่าจะคลอดเองไม่ได้กลัวลูกเป็นอันตราย
Objective data: มารดาครรภ์แรก มีสีหน้ากังวลเมื่อพูดถึงการคลอด
เป้าหมายการพยาบาล
-ให้มารดาคลายความวิตกกังวล
เกณฑ์ประเมินผล:
-มารดามีหน้าที่สดชื่นขึ้น
-มารดากล้าถามปัญหาจากเจ้าหน้าที่และสามารถบอกเมื่อต้องการได้
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำตัวเองให้มารดารู้จักก่อนให้การพยาบาลเพื่อให้มารดาเกิดความไว้วางใจและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามกิจกรรมการพยาบาล
2.สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับมารดาโดยการพูดคุยให้มีการเป็นกันเองใช้คำพูดที่สุภาพและเข้าใจง่ายให้ความสนใจมารดาและเปิดโอกาสให้มารดาได้ถามสิ่งที่มารดายังไม่เข้าใจใช้การสัมผัสเช่นการบีบมือแตะไหล่เพื่อให้มารดาเกิดความอบอุ่นใจและไว้วางใจ
3.อธิบายกระบวนการคลอดคร่าวๆให้มารดาได้รับฟังการคลอดมี 4 ระยะคือ
3.1 ระยะที่ 1 ของการคลอดเริ่มตั้งแต่เจ็บครรภ์จริงถึงปากมดลูกเปิดหมด 10 เซนติเมตรในครรภ์แรกใช้เวลา 8-12 ชั่วโมงซึ่งในระยะนี้แบ่งได้อีกเป็น 2 ระยะอ
3.1.1 ระยะปากมดลูกเปิดข้าคือตั้งแต่ปากมดลูกเริ่มเปิดจนกระทั่งปากมดลูกเปิด 3 เซนติเมตรระยะนี้มดลูกจะมีการหดรัดตัวนาน ๆ ครั้งมีความเจ็บปวดไม่มากมารดาสามารถปฏิบัติตัวได้ตามปกติ
3.1.2 ระยะปากมดลูกเปิดเร็วคือตั้งแต่ปากมดลูกเปิด 3 เซนติเมตรถึงปากมดลูกเปิดหมด 10 เซนติเมตรใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 7 ชั่วโมงมดลูกจะรัดตัวขึ้นนานขึ้นและแรงขึ้นจะมีอาการเจ็บครรภ์มากขึ้น แต่จะมีระยะพักให้ทนต่อความเจ็บปวดได้มารดาควรนอนพักบนเตียง
3.2 ระยะที่ 2 ของการคลอดหรือระยะเบ่งเริ่มต้นตั้งแต่ปากมดลูกเปิดหมดจนถึงเด็กคลอดครรภ์แรกใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
3.3 ระยะที่ 3 ของการคลอดหรือระยะรกคลอดเริ่มตั้งแต่เด็กคลอดจนถึงรกคลอดระยะใช้เวลาประมาณ 30 นาที
3.4 ระยะที่ 4 ของการคลอดหรือระยะ 2 ชั่วโมงหลังคลอดเริ่มตั้งแตรกคลอดจนถึง 2 ชั่วโมงหลังคลอดเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มปรับตัวเข้าสู่สภาวะปกติ
4.ดูแลและสอนวิธีการบรรเทาอาการปวดโดยไม่ใช้ยา
4.1หายใจล้างปอด (Cleansing breath): หายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปาก
4.2หายใจแบบช้า (Slow deep chest breathing): หายใจเข้าทางจมูกช้าๆนับ 1-4 และหายใจออกทางปากนับ 1-5
4.3การหายใจแบบเร็วตื้นและเบา (Shallow accelerant decelerated breathing) หายใจล้างปอด 1 ครั้งเมื่อมดลูกมีการหดรัดตัวให้หายใจแบบเร็วตื้นและเบาจนกระทั่งมดลูกคลายตัวจึงหายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง
4.4การหายใจแบบเร็วตื้นเบาและเป่าออก (Shallow breathing with forced blowing out) หายใจล้างปอด 1 ครั้งจากนั้นหายใจเข้าออกทางปากตื้น ๆ เร็ว ๆ เบา ๆ 4 ครั้งติดต่อกันแล้วเป่าลมออกปาก 1 ครั้งหายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง
5.ประเมินการหดตัวของมดลูกและ FHS หากพบความผิดปกติรายงานให้แพทย์ทราบ
-
โดยปกติระดับน้ำตาลในเลือดของทารกจะลดสูงสุดในช่วง 30-90 นาทีหลังคลอด แล้วจะเพิ่มขึ้นจนคงที่ในช่วง 90-180 นาทีหลังคลอด
ซึ่งเกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยภาวะ neonatal hypoglycemia ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 36mg/dl ในช่วง2-3 ชั่วโมงหลังคลอด
(สมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย,2560)
การชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ ์ (Induction of labor) หมายถึงการชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเจ็บครรภ์จริงตามธรรมชาติ ชึ่งแบ่งได้เป็น ๒ กรณี คือการชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์ แบบมีข้อบ่งชี้ (Indicated induction of labor)
และการชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์แบบกำหนดเวลาล่วงหน้า(Elective induction of labor)
- ปฏิกิริยาต่อยากลุ่มอื่น (Drug interaction) พบว่าจะเสริมฤทธิ์ของยาชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์ตัวอื่น ๆ ได้ถ้าใช้ร่วมกันหรือให้ต่อเนื่องกันผลที่ตามมาคือทำให้เกิดภาวะมดลูกถูกกระตุ้นเกินได้ดังนั้นไม่ควรให้ยา Oxytocin แก่มารดาตั้งครรภ์ที่เพิ่งได้รับยา Misoprostol หรือในกรณีที่จะให้ยา Oxytocin ต้องเว้นระยะเวลาให้ห่างจากยา Misoprostol ที่สอดช่องคลอดครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 4 ชั่วโมงจึงจะให้ยาต้อง Oxytocin ต่อได้