Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Compound presentation with PPROM - Coggle Diagram
Compound presentation with PPROM
ข้อมูลพื้นฐาน
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
: ปฏิเสธการเจ็บป่วย
ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบัน
LMP (Last Menstrual Period) : 6 พฤษภาคม 2564
EDC (Expected Date of Confinement) : 13 กุมภาพันธ์ 2565 by date
ฝากครรภ์ครั้งแรก GA 17+2 wks by LMP ที่สุขุมวิท 77 โพลีคลีนิค รวมฝากครรภ์ทั้งหมด 5 ครั้ง
5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีน้ำไหลออกทางช่องคลอด ไม่มีมูกเลือด
3 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล เริ่มมีอาการเจ็บครรภ์เป็นระยะ ไม่มีปวดหัว ไม่มีตาพร่ามัว ไม่มีจุกแน่นลิ้นปี่
ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว
: ยายป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง
อาการสำคัญ
: มีน้ำไหลออกทางช่องคลอด 5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
ประวัติการแพ้
: ปฏิเสธการแพ้อาหาร ยา และสารเคมี
น้ำหนักก่อนการตั้งครรภ์ 60 kg ส่วนสูง 165 cm BMI 22.04 kg/m2
อาการแรกรับ
(21/12)
ANC >> TAS > SVF, FH(+), cephalic, AFI = 14.5 cm, EFW = 2000 gm, placenta fundus, PV = 4 cm, 100%, -1, ML (clear)
LR >> BT = 37.0 องศาเซลเซียส, PR = 94 bpm, BP = 129/77 mmHg, interval = 5 min, duration = 30 sec, intensity = ++, PV = 4 cm, 100%, 0, ML (clear), OL, FHS = 134 bpm
หญิงตั้งครรภ์ อายุ 18 ปี G1P0000 GA 32+5 wks by date
วินิจฉัยโรคแรกรับ
: Preterm spontaneous labour with preterm delivery
วินิจฉัยโรคครั้งสุดท้าย
: Compound presentation with PPROM
การดูแลรักษาภาวะถุงน้ำคร่ำรั่วก่อนกำหนด (PPROM)
การวินิจฉัย
Sterile speculum examination : ตรวจพบน้ำคร่ำจากปากมดลูก และ/หรือในช่องคลอด และ/หรือโดยทดสอบ nitrazinie หรือ fern test ให้ผลบวก
ตรวจ U/S เพื่อคำนวณอายุครรภ์ น้ำหนัก ปริมาณน้ำคร่ำ ส่วนนำ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ตลอดจนความผิดปกติ
ควรตรวจเพาะเชื้อจากปัสสาวะ จากช่องคลอดและทวารหนัก
ตรวจ CBC
ควรทำ fetal surveillance เช่น cardiotocography (CTG) โดยเฉพาะเมื่ออายุครรภ์ตั้งแต่ 32 wks ขึ้นไป
ตรวจหาภาวะ chorioamnionitis, placental abruption, non-reassuring fetal testing, advanced labour
ไม่ใช่
อายุครรภ์ 24 ถึง 33+6 wks
การดูแลแบบ Expectant
Serial evaluation for chorioamnionitis, labour, placental abruption, fetal well-being และ fetal growth
ให้ยาสเตียรอยด์แบบ single course
ให้ยาปฏิชีวนะเพื่อยืดอายุครรภ์ (prolonged latency period)
ให้คลอดเมื่อพบ chorioamnionitis, non-reassuring fetal testing, placental abruption, advanced labour
ให้คลอดเมื่ออายุครรภ์ 34 wks
แนะนำให้ยาปฏิชีวนะในขณะคลอดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ GBS
สำหรับในกรณีที่พบว่ามี chorioamnionitis แนะนำให้ยาปฏิชีวนะชนิด broad spectrum
คลอด
Dexamethasone 6 mg IM ทุก 12 hr x4 dose เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของปอดทารกในครรภ์
Ampicillin 2 g IV stat then ampicillin 2 g IV ทุก 6 hr เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
อายุครรภ์ 34 wks ขึ้นไป
ใช่
ให้คลอด
ให้ยาปฏิชีวนะในขณะคลอด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ GBS
ให้ยาปฏิชีวนะแบบ broad spectrum ถ้าพบว่ามี chorioamnionitis
TAS > SVF, FH(+), cephalic, AFI = 14.5 cm,
EFW = 2000 gm
PV = 4 cm, 100%, 0, ML (clear)
พยาธิสภาพ
ภาวะถุงน้ำคร่ำรั่วก่อนกำหนด
(Preterm premature rupture of membranes; PPROM)
อาการแสดง
หญิงตั้งครรภ์ให้ประวัติว่ามีน้ำใสๆ ไหลจากช่องคลอดคล้ายกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยหญิงตั้งครรภ์อาจคิดว่าเป็นอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะราด มีน้ำไหลตามหน้าขาและไหลออกมาเรื่อยๆ บางรายอาจมีแค่น้ำเลอะกางเกงในเป็นวงใหญ่หรืออาจเปื้อนกระโปรงเล็กน้อย
5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีน้ำไหลออกทางช่องคลอด ไม่มีมูกเลือด
การวินิจฉัย
ประวัติ ผู้คลอดให้ประวัติมีน้ำใสๆ ไหลออกทางช่องคลอด กลั้นไม่อยู่
ตรวจร่างกาย โดยการใส่ Dry sterilized speculum เข้าไปในช่องคลอด จะเห็นน้ำคร่ำขังอยู่ที่ posterior fornix หรือไหลออกมาจากปากมดลูกชัดเจน โดยเฉพาะเวลาให้ผู้คลอดเบ่งหรือไอ (cough teat)
ตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.1 Fern test เก็บตัวอย่างจาก posterior fornix ป้ายบนแผ่น slide ทิ้งให้แห้ง นำไปส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบผลึกเป็นรูป fern จากการที่น้ำคร่ำมี electrolyte โดยเฉพาะ NaCl
3.2 Nitrazine paper test เนื่องจากน้ำคร่ำมี pH อยู่ในช่วง 7.1-7.3 ขณะที่สารคัดหลั่งจากช่องคลอดมี pH อยู่ในช่วง 4.5-5.5 ดังนั้นเมื่อทดสอบด้วยกระดาษ Nitrazine จะเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน
3.3 Nile blue test เมื่อทารกอายุครรภ์ 32 wks ขึ้นไป จะตรวจพบเซลล์จากต่อมไขมันของทารกในน้ำคร่ำ เมื่อนำไปย้อมด้วย nile blue sulphate เซลล์เหล่านี้จะติดสีแสด
3.4 Indigocarmine ในกรณีที่ตรวจภายในแล้วไม่พบน้ำคร่ำในช่องคลอดแต่ยังมีข้อสงสัยว่าน้ำคร่ำอาจจะแตกจริง ทดสอบโดยการฉีดสี indigocarmine 1 cc ละลายวน NSS 9 cc ฉีดผ่านผนังหน้าท้องเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ แล้วสังเกตสีน้ำเงินของ indigocarmine ที่จะไหลผ่านเข้าไปในช่องคลอดหากมีถุงน้ำคร่ำแตกจริง
U/S มีประโยชน์ในกรณีที่ตรวจพบว่ามีน้ำคร่ำน้อย (Oligihydramnios) โดยที่ตรวจไม่พบความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะของทารกและทารกไม่มีภาวะเจริญเติบโตช้าในครรภ์ สัณนิษฐานได้ว่าน่าจะมีภาวะถุงน้ำคร่ำแตกจริง
ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและทารก เช่น การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อในโพรงมดลูก การตายปริกำเนิด การติดเชื้อของทารกในครรภ์ สายสะดือพลัดต่ำ ความพิการแต่กำเนิด เป็นต้น
ซักประวัติ
5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล มีน้ำไหลออกทางช่องคลอด ไม่มีมูกเลือด
3 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล เริ่มมีอาการเจ็บครรภ์เป็นระยะ ไม่มีปวดหัว ไม่มีตาพร่ามัว ไม่มีจุกแน่นลิ้นปี่
ตรวจร่างกาย
PV = 4 cm, 100%, 0, ML (clear)
U/S
AFI = 14.5 cm
EFM = 2000 gm
การรักษา
อายุครรภ์น้อยกว่า 24 wks เป็นช่วงที่ทารกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถเลี้ยงให้รอดได้หากคลอด สามารถให้ทางเลือกได้ทั้งยุติการตั้งครรภ์หรือการรักษาแบบประคับประคอง โดยให้หญิงตั้งครรภ์เลือกหลังจากให้คำปรึกษาแก่หญิงตั้งครรภ์อย่างดีถึงการพยากรณ์โรค
อายุครรภ์ 24-31 wks ควรให้การรักษาแบบประคับประคอง (expectant management) เป็นหลัก โดยพยายามยืดอายุครรภ์ให้ถึง 33 wks หากไม่มีข้อบ่งชี้ให้รีบคลอด เนื่องจากหากคลอดในช่วงอายุครรภ์นี้จะมีภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดก่อนกำหนดของทารกค่อนข้างมาก ทั้งภาวะ respiratory distress syndrome, interventricular hemorrhage, necrotizing enterrocolitis, neonatal sepsis หรือภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เช่น retionopathy of prematurity, bronchopulmonary dysplasia หรือ neurodevelopmental delay
อายุครรภ์ 32-33 wks หากนำน้ำคร่ำที่ได้จากช่องคลอดหรือจากการทำ amniocenthesis ไปทดสอบความเจริญของปอดแล้วพบว่าปอดของทารกเจริญดีแล้วให้พิจารณาชักนำให้คลอด เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าทารกจะมีปัญหาภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจากการคลอดก่อนกำหนดค่อนข้างน้อยหากตรวจพบว่าปอดเจริญดีแล้ว นอกจากนี้อุบัติการณ์ของการเกิดการติดเชื้อในโพรงมดลูกพบน้อยกว่ากลุ่มที่รักษาแบบประคับประคอง แต่ถ้าหากไม่สามารถทดสอบความเจริญของปอดของทารกได้หรือทดสอบแล้วพบว่าปอดทารกยังไม่เจริญดีพอควรให้รักษาแบบประคับประคอง (expectant management) โดยควรให้ยาปฏิชีวนะเพื่อยืดอายุครรภ์ด้วยหากไม่มีข้อห้าม ส่วนการให้ยากลุ่ม corticosteroid ยังไม่มีข้อสรุปถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการให้ แต่ก็มีการแนะนำให้ใช้โดยผู้เชี่ยวชาญบางท่าน
อายุครรภ์ 34 wks ขึ้นไป แนะนำให้ชักนำการคลอดเลย โดยให้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย Group B Streptococcus
หญิงตั้งครรภ์ GA 32+5 wks by date
Bed rest
Bricanyl 5 amp+5%DW 500 ml IV drip via infusion pump rate 30 ml/hr เพื่อยับยั้งการหดรัดตัวของมดลูก
Dexamethazole 6 mg IM ทุก 12 hr x 4 dose เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของปอดทารกในครรภ์
Ampicillin 2 g IV stat then 1 g IV ทุก 4 hr เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สัมพันธ์กับปัจจัยอื่น
ประวัติน้ำเดินก่อนกำหนดในครรภ์ก่อน
มีการอักเสบติดเชื้อในร่างกาย โดยเฉพาะระบบสืบพันธุ์และระบบทางเดินปัสสาวะ
รกลอกตัวก่อนกำหนด รกเกาะต่ำ
ปากมดลูกมีการขยายมากเกินไป หรือปากมดลูกปิดไม่สนิท
พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหาร การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การใช้สารเสพติด เป็นต้น
อุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณมดลูก
มารดาอายุ 18 ปี
สามีและเพื่อนบ้านสูบบุหรี่เป็นประจำ
C/S
Primary C/S
ผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องเป็นครั้งแรก
Elective C/S
คือ การผ่าตัดคลอดบุตรที่มีการวางแผนล่วงหน้า เนื่องจากมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ของมารดาและทารกในครรภ์ เช่น breech presentation in primigravidarum
Cesarean delivery on maternal request (CDMR)
คือ การผ่าตัดคลอดตามความต้องการของมารดา โดยไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์หรือทางสูติศาสตร์
Emergency C/S
คือ การผ่าตัดคลอดบุตร โดยมารดาหรือทารกในครรภ์อยู่ในภาวะวิกฤติ เช่น ภาวะที่มีการตกเลือดก่อนคลอดจาก Placenta previa เป็นต้น
Labored C/S
คือ การผ่าตัดคลอด โดยที่ช่วงแรกวางแผนว่าจะให้คลอดทางช่องคลอด แต่เมื่อเวลาผ่านไปพบว่าไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้
เป็นการผ่าคลอดแบบ labour C/S เนื่องจากตอนแรกแพทย์จะให้คลอดเองแต่ตอนหลังพบว่าทารกอยู่ในท่า compound presentation ไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้แพทย์จึงให้ทำการผ่าตัดคลอด
Secondary C/S
ผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้องในหญิงตั้งครรภ์ที่เคยผ่าตัดมาก่อน
ข้อบ่งชี้ด้านมารดา
เคยผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง
มีสิ่งกีดขวางทางช่องคลอด เช่น มีก้อนเนื้องอก เป็นต้น
มารดามีความผิดปกติของอุ้งเชิงกรานที่ขัดขวางกระบวนการคลอด
โรคหัวใจ หรือโรคที่ไม่เหมาะสมกับการเบ่งคลอด
พึ่งได้รับการผ่าตัดตกแต่งช่องคลอดหรือการผ่าตัดบริเวณก้นจาก inflammatory
bowel disease
ข้อบ่งชี้ด้านทารก
สถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพของทารก
ภาวะความพิการบางอย่างของทารก
การติดเชื้อของทารก
Prolong acidemia ของทารก
Abnormal placentation เช่น รกเกาะต่ำ รกลอกตัวก่อนกำหนด
Abnormal lobor จากภาวะ cephalopelvic disproportion
Previous uterine scar
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ระยะคลอด
หญิงตั้งครรภ์มีภาวะเจ็บครรภ์จริงร่วมกับมีน้ำคร่ำรั่วก่อนอายุครรภ์ครบกำหนด
ข้อมูลสนับสนุน
OD:
มารดา G1P0 GA 32+5 wks by date
PV = 4 cm, 100%, 0, ML (clear), OL (21 ธันวาคม 2564; 11.30 น.)
interval = 5 min, duration = 30 sec, intensity = ++ (21 ธันวาคม 2564; 11.30 น.)
SD:
หญิงตั้งครรภ์บอกว่ามีน้ำไหลออกจากช่องคลอด 5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
หญิงตั้งครรภ์บอกว่าเจ็บครรภ์ 3 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
วัตถุประสงค์
เพื่อยับยั้งการเจ็บครรภ์และให้เด็กได้ยาครบ
กิจกรรมทางการพยาบาล
ประเมินทารกในครรภ์ โดยฟังอัตราการเต้นหัวใจทารกทุก 30-60 นาที พร้อมทั้งสังเกตการดิ้นของทารก หรือ on fetal monitor เพื่อสังเกตอาการผิดปกติของทารกในครรภ์
เฝ้าระวังและติดตามความก้าวหน้าของการคลอด เพื่อสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ ได้แก่ dexamethasone 6 mg IM stat ทุก 12 hr x4 dose เพื่อให้ปอดของทารกสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ bricanyl 5 amp + 5% DW 500 ml IV drip via infusion pump rate 30 ml/hr พร้อมทั้งเฝ้าติดตามผลข้างเคียงของยา
ติดต่อกุมารแพทย์ และเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตทารกคลอดก่อนกำเนิด หากเกิดความผิดปกติกับทารกแรกคลอด
เกณฑ์การประเมินผล
เจ็บครรภ์ลดลง
ไม่มีความก้าวหน้าของกลไกการคลอด คือ ปากมดลูกไม่เปิดเพิ่มและมี contraction ลดลงหรือไม่มี contraction กี่นาที?เกณฑ์!!
อัตราการเต้นหัวใจของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ 110-160 ครั้ง/นาที
การดิ้นของทารกเป็นไปตามปกติ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
การประเมินผล
PV = 5 cm, 100%, 0, ML (clear), OL (21 ธันวาคม 2564; 20.30 น.)
interval = >10 min, duration = 20 sec, intensity = + (21 ธันวาคม 2564; 20.30 น.)
อัตราการเต้นหัวใจของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ 148 ครั้ง/นาที (21 ธันวาคม 2564; 20.30 น.)
ทารกในครรภ์ดิ้นดี
เสี่ยงต่อการติดเชื้อในโพรงมดลูกเนื่องจากมีการรั่วของถุงน้ำคร่ำเป็นเวลานาน
ข้อมูลสนับสนุน
SD:
หญิงตั้งครรภ์บอกว่ามีน้ำไหลออกจากช่องคลอด 5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
OD:
มารดา G1P0 GA 32+5 wks by date
PV = 4 cm, 100%, 0, ML (clear)
วัตถุประสงค์
เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อในโพรงมดลูก
กิจกรรมทางการพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง โดยเฉพาะอุณหภูมิร่างกาย หากมากกว่าปกติอาจมีการติดเชื้อ
ประเมินอัตราการเต้นหัวใจของทารก หากอัตราการเต้นหัวใจทารกมากกว่าปกติ อาจเริ่มมีการติดเชื้อ
ประเมินและสังเกตลักษณะน้ำคร่ำที่ออกจากช่องคลอด ทั้งลักษณะ สี กลิ่น เพื่อประเมินความรุนแรงของการติดเชื้อ หากมีการติดเชื้อน้ำคร่ำจะมีสีเหลืองเขียว และกลิ่นเหม็น
ดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ และเปลี่ยนผ้าขวางทุกครั้งที่เปียกชุ่มหรือทุก 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากภายนอก
ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์ ได้แก่ ยา Ampicillin 2 g IV stat then ampicillin 2 g IV ทุก 6 hr เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
แนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ให้แจ้งพยาบาลหากรู้สึกหนาวสั่น หรือรู้สึมีน้ำไหลออกจากช่องคลอดปริมาณมาก
หลีกเลี่ยงการตรวจทางช่องคลอด หากจำเป็นต้องตรวจควรระมัดระวังเกี่ยวกับเทคนิคปราศจากเชื้อ
เกณฑ์การประเมินผล
อุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
อัตราการเต้นหัวใจของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ 110-160 ครั้ง/นาที
การประเมินผล
อุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ 36.6 องศาเซลเซียส (22 ธันวาคม 2564; 10.00 น.)
อัตราการเต้นหัวใจของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ 148-160 ครั้ง/นาที (22 ธันวาคม 2564)
ทารกในครรภ์อาจเกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากมดลูกมีการหดรัดตัว
ข้อมูลสนับสนุน
SD:
หญิงตั้งครรภ์บอกว่ามีน้ำไหลออกจากช่องคลอด 5 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
หญิงตั้งครรภ์บอกว่าเจ็บครรภ์ 3 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
OD:
มารดา G1P0 GA 32+5 wks by date
PV = 4 cm, 100%, 0, ML (clear), OL
interval = 5 min, duration = 30 sec, intensity = ++ (21 ธันวาคม 2564)
วัตถุประสงค์
ทารกในครรภ์ไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน
กิจกรรมทางการพยาบาล
ทุก 30-60 นาที พร้อมทั้งสังเกตการดิ้นของทารก หรือ on fetal monitor ตลอดเวลาเพื่อสังเกตอาการผิดปกติของทารกในครรภ์
ประเมินและสังเกต สี กลิ่น ลักษณะน้ำคร่ำที่ออกจากช่องคลอด เพื่อประเมินความผิดปกติ
ให้หญิงตั้งครรภ์นอนบนเตียง เพื่อป้องกันการเกิดสายสะดือพัดต่ำ และลดกิจกรรมการใช้ออกซิเจน
จัดท่า
contraction
record ทุก 30 min
เกณฑ์การประเมินผล
อัตราการเต้นหัวใจของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ 110-160 ครั้ง/นาที
การดิ้นของทารกเป็นไปตามปกติ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป
การประเมินผล
อัตราการเต้นหัวใจของทารกอยู่ในเกณฑ์ปกติ 148-160 ครั้ง/นาที (22 ธันวาคม 2564)
ทารกในครรภ์ดิ้นดี
ระยะหลังคลอด
Day 0
(24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด; 23 ธันวาคม 2564)
เสี่ยงต่อการตกเลือดเนื่องจากการผ่าตัดคลอดบุตร
ข้อมูลสนับสนุน
OD:
มารดาหลังคลอดมีแผลในโพรงมดลูก
ขณะทำการผ่าตัดคลอดบุตรเสียเลือด 200 ml.
วัตถุประสงค์
เพื่อมารดาหลังคลอดไม่เกิดภาวะตกเลือดหลังการผ่าตัดคลอดบุตร
เกณฑ์การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ค่าความดันโลหิต SBP 80-135/DBP 60-85 mmHg
อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วง 60-100 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 12-22 ครั้ง/นาที
เลือดที่ออกทางช่องคลอดไม่เกิน 500 ml ใน 24 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด
มดลูกหดรัดตัวดี กลมแข็งอยู่ระดับสะดือ หรือต่ำกว่าสะดือ
มารดาหลังคลอดไม่มีภาวะ Active bleeding per vagina และไม่มีอาการแสดงของภาวะช็อกจากการเสียเลือด (Hypovolemic shock) เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อแตก มือ-เท้าเย็น
กิจกรรมทางการพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ร่วมกับดูแลให้ได้รับสารน้ำ 5%D/N/2 1,000 ml + Syntocinon 20 Unit IV drip 120 ml/hr ตามแผนการรักษาของแพทย์
ประเมินกระเพาะปัสสาวะ หากมี Bladder full จะขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก
ประเมินลักษณะและปริมาณของเลือดที่ออกจากช่องคลอด และเฝ้าระวังอาการแสดงของภาวะช็อกจากการเสียเลือด (Hypovolemic shock)
การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ (23 ธันวาคม 2564; 18.00 น.)
ค่าความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ 118/76 mmHg
อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ 90 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ 18 ครั้ง/นาที
เลือดที่ออกทางช่องคลอดประมาณ 320 ml (ขณะผ่าตัดจนถึง 24 ชั่วโมงหลังคลอด)
มดลูกหดรัดตัวดี กลมแข็งอยู่ระดับสะดือ HF = 5 นิ้ว
มารดาหลังคลอดไม่มีภาวะ Active bleeding per vagina และไม่มีอาการแสดงของภาวะช็อกจากการเสียเลือด (Hypovolemic shock)
เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาระงับความรู้สึกทางไขสันหลัง
ข้อมูลสนับสนุน
OD:
มารดาผ่าตัดคลอดได้รับยาระงับความรู้สึกเข้าช่องไขสันหลัง (Spinal block) และยา Pre-med คือ Morphine
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนยาระงับความรู้สึกเข้าช่องไขสันหลัง (Spinal block) และยา Pre-med Morphine
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
ค่าความดันโลหิต SBP 80-135/DBP 60-85 mmHg
อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วง 60-100 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 12-22 ครั้ง/นาที
ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
ไม่มีอาการปวดศีรษะ (Post dural puncture headache: PDPH)
ไม่มีการคั่งของปัสสาวะ
อาการชาทุเลาลงและเริ่มขยับขาได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง
วัตถุประสงค์
มารดาผ่าตัดคลอดได้รับยาระงับความรู้สึกเข้าช่องไขสันหลัง (Spinal block) และยา Pre-med คือ Morphine
กิจกรรมทางการพยาบาล
ประเมินระดับความรู้สึกตัว
ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพ
แนะนำให้ผู้ป่วยนอนราบประมาณ 6-8 ชั่วโมง เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะความดันโลหิตต่ำจากระบบประสาทอัตโนมัติไม่ทำงาน
สังเกตและติดตามภาวะแทรกซ้อนยาระงับความรู้สึกเข้าช่องไขสันหลัง (Spinal block) และยา Pre-med Morphine
ความดันโลหิตต่ำ
อาการคลื่นไส้ อาเจียน
ปวดศีรษะ (Post dural puncture headache: PDPH)
ประเมินภาวะปัสสาวะคั่ง
ประเมินอาการชา
การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ (23 ธันวาคม 2564; 14.00 น.)
ค่าความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ 130/72 mmHg
อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ 72 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ 18 ครั้ง/นาที ไม่มีภาวะหยุดหายใจ (total spinal block) ผิวไม่ซีด เล็บมือเล็บเท้าไม่เขียว
ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
ไม่มีอาการปวดศีรษะ (Post dural puncture headache: PDPH)
ไม่มีการคั่งของปัสสาวะ Intake 2600 Output 2400 (23 ธันวาคม 2564)
อาการชาทุเลาลงและเริ่มขยับขาได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง
Day 1
(24 ธันวาคม 2564)
มีโอกาสเกิดการติดเชื้อในร่างกายเนื่องจากมีแผลผ่าตัดทางหน้าท้องและแผลในโพรงมดลูก
ข้อมูลสนับสนุน
OD:
Cesarean section due to compound presentation (23 ธันวาคม 2564)
วัตถุประสงค์
เพื่อให้มารดาหลังคลอดไม่เกิดภาวะติดเชื้อ
เกณฑ์การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
อุณหภูมิร่างกายอยู่ในช่วง 36.5-37.4 องศาเซลเซียส
อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในช่วง 60-100 ครั้ง/นาที
น้ำคาวปลาไม่มีกลิ่นเหม็น ลักษณะสีมีการเปลี่ยนเป็นปกติ
แผลผ่าตัดไม่มีเลือดหรือ discharge ซึม ไม่บวมแดง
กิจกรรมทางการพยาบาล
ประเมินสัญญาณชีพให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อหลังคลอด เช่น ปวดแผลมาก แผลผ่าตัดมีลักษณะบวมแดง มีหนอง มี discharge ซึม น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น สีเหลืองขุ่นขาวคล้ายหนอง
ดูแลให้มารดาได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์ ได้แก่ Cefazolin 2 gm. IV ทุก 8 hr. x3 dose และเฝ้าระวังผลข้างเคียงของยา
ดูแลทำความสะอาดแผลผ่าตัดทางหน้าท้องแบบ วิธีปราศจากเชื้อ
ให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันภาวะติดเชื้อหลังคลอด
ดูแลแผลผ่าตัดไม่ให้เปียกชื้น หรือโดนน้ำ
เปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 3-4 ชั่วโมง หรือเมื่อผ้าอนามัยเปียกชุ่ม เพื่อลดการสะสมเชื้อโรค
รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยซ่อมแซมให้แผลหายเร็วขึ้น
ไม่ใช้มือจับ แกะ เกาแผล และสังเกตสิ่งคัดหลั่งที่ออกมาจากแผล เพราะทำให้แผลมีโอกาสติดเชื้อ อักเสบหรือหายช้าได้
การประเมินผล
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ (24 ธันวาคม 2564; 18.00 น.)
อุณหภูมิร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ 36.3 องศาเซลเซียส
อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในเกณฑ์ปกติ 82 ครั้ง/นาที
น้ำคาวปลาสีแดง (ruba) ไม่มีกลิ่นเหม็น ออกประมาณครึ่งแผ่นผ้าอนามัย
แผลผ่าตัดคลอดแนว classical cesarean section แผลไม่มี bleed ซึม ไม่มี discharge