การพยาบาลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว
(Heart failure)

  1. กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว (Myocardial failure) เป็นความผิดปกติของกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมดหรือเป็นบางส่วนแล้วมีผลทา ให้ความแรงและความเร็วของการบีบตัวลดลง ปริมาณเลือดที่ถูกบีบมาจึงไม่เพียงพอกับความต้องการของเนื้อเยื่อ โดยเฉพาะขณะที่มีการออกแรงเพิ่มขึ้น
  2. ภาวะหัวใจล้มเหลวเลือเคั่ง (Congestive heart failure) เป็นภาวะที่ระบบต่างๆของร่างกายมีการตอบสนอง
    ต่อการที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ พร้อมกับมีการคั่งของเลือดตามเนื้อเยื่อส่วนปลายและบวม

ชนิดของหัวใจล้มเหลว

1. แบ่งตามเวลาการเกิดโรค
1.1 New onset: หัวใจล้มเหลวที่เกิดขึ้นครั้งแรก โดยอาจเป็นแบบเฉียบพลัน (acute onset) หรือเกิดขึ้นช้า (slow onset)
1.2 Transient: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการชั่วขณะ เช่น เกิดขณะมีภาวะหัวใจขาดเลือด
1.3 Chronic: หัวใจล้มเหลวที่มีอาการเรื้อรัง โดยอาจมีอาการคงที่ (stable) หรืออาการมากขึ้น (worsening หรือ decompensation)

2. แบ่งตามการทางานของกล้ามเนื้อหัวใจ
2.1 Systolic heart failure หรือ heart failure with reduced EF (HFREF)
2.2 Diastolic heart failure หรือ heart failure with preserved EF (HFPEF)

3. แบ่งตามอาการและอาการแสดงของหัวใจที่ผิดปกติ
3.1 Left sided-heart failure : เกิดภาวะเลือดคั่งในหัวใจห้องซ้ายทั้งบนและล่าง หลอดเลือดพัลโมนารีและปอด มีอาการหรืออาการแสดงที่เกิดจากปัญหาของหัวใจห้องล่างซ้าย หรือห้องบนซ้าย
3.2 Right sided-heart failure : มีความดันในหัวใจห้องบนและในหลอดเลือดดา สูงขึ้น ทา ให้เกิดอาการแสดงที่เกิดจากปัญหาของหัวใจห้องล่างขวา (right ventricle) หรือ ห้องบนขวา (right atrium) เช่น อาการบวม ตับโต

4. แบ่งตามลักษณะของ cardiac output
4.1 High-output heart failure: คือ ภาวะที่อาการและอาการแสดงของหัวใจล้มเหลวเกิดจากการที่ร่างกายต้องการปริมาณเลือดจากหัวใจ (cardiac output) มากกว่าปกติ โดยที่การทา งานของหัวใจอาจจะปกติได้
4.2 Low-output heart failure: คือ ภาวะที่หัวใจบีบเลือดออกจากหัวใจได้น้อยลง (low cardiac output) จนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ส่งผลให้เนื้อเยื่อได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ

สาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลว

  1. ภาวะที่หัวใจต้องรับภาระหนักอย่างผิดปกติ (Abnormal loading condition)
    1.1 ปริมาณเลือดที่กลับเข้าสู่หัวใจ (preload) เพิ่มมากขึ้น
    1.2 การเพิ่มความต้านทานของหลอดเลือด (increased afterload)
    1.3 ความจำกัดในการคลายตัวรับเลือดของเวนตริเคิล (Limited ventricular filling)
  1. กล้ามเนื้อหัวใจทาหน้าที่ผิเปกติ (Abnormal muscle function) ภาวะที่รบกวนความสามารถในการหดตัวของกล้ามเนื้อหัวใจโดยตรงและมีผลต่อการหดตัวของหัวใจ
  1. ความผิเปกติที่จังหวะการเต้นของหัวใจ ภาวะที่หัวใจเต้นผิดจังหวะทุกชนิดทา ให้เกิดหัวใจล้มเหลวได้ โดยถ้าเป็นชนิดรุนแรงโอกาสที่จะเกิดหัวใจล้มเหลว
  1. ความผิดปกติของร่างกายที่ชักนำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ที่พบบ่อยได้แก่ ภาวะเลือดจาง การติดเชื้อ ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ (hyperthyroidism) การมีเนื้องอกของต่อมหมวกไตส่วนเมดัลลา (pheochromocytoma) การตั้งครรภ์และการที่ร่างกายขาดวิตามิน บี 1

การปรับตัวเพื่อแก้ไขภาวะ
หัวใจล้มเหลวของร่างกาย

การปรับตัวอย่างเฉียบพลัน
(Acute compensation)

การปรับตัวที่ค่อยเป็นค่อยไป
(Subacute compensation)

การปรับตัวอย่างเรื้อรัง
(Chronic compensation)

  1. เพิ่มการทำงานของระบบประสาทซิมพาเธติค
  2. ลดการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเธติค
  3. เพิ่มการหลั่งแคทีโคลามีน
  4. เพิ่มการสกัดเอาออกซิเจนออกจากเลือด
  1. เพิ่มการบีบตัวของหัวใจ
  2. เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ
  3. ปลายมือปลายเท้าเขียว

แอลโดสเตอโรนเพิ่มขึ้น

แอนติไดยูเรติค
ฮอร์โมนเพิ่มขึ้น

เพิ่มการดูดกลับของโซเดียม

บวม มีการคั่งของสารน้า

เพิ่มการดูดซึม
กลับของน้า

เวนตริเคิลหนาตัว

การประเมินสภาพผู้ป่วย

Class I : สามารถทำการออกแรงได้ตามปกติ โดยที่ไม่มีอาการเหนื่อย
Class II : มีการจำกัดการออกแรงเล็กน้อย จะมีอาการสบาย ขณะนั่งพัก
Class II : มีการจำกัดการออกแรงอย่างมาก จะมีอาการสบายขณะนั่งพัก โดยการออกแรงน้อยกว่าที่ทา กิจวัตรประจา วันทั่วไป ก็จะทา ให้เกิดอาการเหนื่อย ใจสั่น หรือเจ็บหน้าอก
Class IV : ไม่สามารถออกแรงโดยไม่แสดงอาการเหนื่อย จนถึงมีอาการเหนื่อยขณะพักเฉยๆ ได้ และอาการเหนื่อยจะเป็นมากขึ้น เมื่อมีการออกแรง

อาการและอาการแสดงทางคลินิก

เหนื่อยหอบเมื่อจะต้องออกแรงในการหายใจ เหนื่อยหอบเป็นพักๆในตอนกลางคืน หายใจผิดปกติ คือมีอัตราการหายใจเร็วและค่อย ๆ ช้าจนหยุดหายใจแล้วเริ่มหายใจเร็วใหม่ เจ็บหน้าอกในท่านอนราบตอนกลางคืน การไอ ปัสสาวะออกน้อย บวม แน่นหรือจุกบริเวณใต้ชายโครงขวา
หรือบริเวณลิ้นปี่ ท้องมาน หลอดเลือดดา ที่คอโป่ งพอง (Neck vein engorged)

การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัย

ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest X-ray, CXR)

  • Cardiomegaly
  • Pulmonary venous congestion
  • คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (electrocardiography)

การตรวจเลือด

  • Complete blood count (CBC)
  • การทางานของไต (Renal function)
  • การตรวจการทางานของตับ (Liver function test)
  • การทางานของต่อมไทรอยเ์ (Thyroid function test)
  • การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (echocardiography)

การพยาบาล

  1. ติดตามวัดและบันทึกสัญญาณชีพ ลักษณะการหายใจ อัตราการหายใจ จังหวะการหายใจ
  2. ประเมินการหายใจ อาการหอบเหนื่อยหรือลักษณะการหายใจที่ผิดปกติ เช่น การใช้ accessory muscle ช่วยในการหายใจ , Dyspnea , Orthopnea , PND
  3. ดูแลจัด Fowler’s position เพื่อให้หายใจได้สะดวก
  4. แนะนําให้หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของโซเดียม เช่น ไส้กรอก อาหารปรุงสําเร็จรูป ของหมักดอง เป็นต้น
  5. ให้ Bed rest ให้ผู้ป่วยพักผ่อนอย่างเพียงพอเพื่อลดการทํางานของหัวใจ
  6. ดูแลให้ได้รับออกซิเจนหรือยาตามแผนการรักษา