Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
พลศึกษา (Physical Education) - Coggle Diagram
พลศึกษา (Physical Education)
ประวัติและความเป็นมา
ยุคดึกดำบรรพ์
ในอดีตเพื่อการอยู่รอดมนุษย์ในยุคนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ร่างกายอดทนแข็งแรง เพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้ายหรือภัยธรรมชาติทำเป็นแบบอย่างต่อกันมา การพลศึกษาจึงแทรกอยู่ในชีวิต การทำมาหากิน ความมั่นคงการอยู่รอดปลอดภัยและความต้องการโดยสัญชาติญาณมนุษย์ เพื่อให้การมีชีวิตที่ดี่ขึ้นสิ่งเหล่านี้ล้วนคือศาสตร์ของพลศึกษาอย่างหนึ่ง เพราะในยุคนี้มนุษย์พึ่งเริ่มทดลองใช้ชีวิตไม่มีศาสตร์ความรู้ใดๆมีเพียงกระบวนการทางธรรมชาติในการเอาตัวรอดของมนุษย์ในยุคเเรกเริ่ม
ยุคโบราณ
เริ่มต้นในกรีกโบราณ เรียกว่ากิจกรรมทุกชนิดที่มุ่งสร้างการพัฒนาการ
ทางกายและจิตใจที่จัดขึ้นใน สถานกายบริหาร
ทุกชนิดว่า ยิมนาสติกส์ Gymnastics
จากการศึกษาค้นคว้าวิชาพลศึกษาในสมัยแรกมีชื่อว่า ยิมนาสติก (Gymnastic) ซึ่งหมายถึงการออกกำลังเพื่อให้มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ อันจะทำให้เกิดความแข็งแรงมีพละและกำลัง นอกจากนี้ยังหมายถึงการออกกำลังกายเพื่อให้ทรวดทรงสง่างามเป็นนักรบอีกด้วย การออกกำลังกายถือว่าเป็นกระบวนการหนึ่งในการศึกษาของระบบโรงเรียน วิชาการออกกำลังกายจึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Physical Education ความหมายของพลศึกษาจึงถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในทางที่กว้างขึ้นและครอบคลุมลักษณะพื้นฐานของมนุษย์ด้านต่างๆมากขึ้น
ในศตวรรษที่ 17 นักการศึกษาชาวยุโรปเรียกกิจกรรม ที่เคยเรียกว่า Gymnastics โดยเปลี่ยนมาใช้คำว่า Motor Activity Program
ซึ่งมีความหมายว่ากิจกรรมทางกาย
ศตวรรษที่ 18-19 การศึกษายุคนี้เน้นไปทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึงการฝึกให้มีความสมบูรณ์ทางด้านร่างกายและจิตใจด้วยวิธีการฝึกอบรม คําว่า ยิมนาสติก จึงเปลี่ยนไปเป็นคำว่า วัฒนธรรมทางกาย (Physical Culture) การพลศึกษาสมัยนี้เป็นการฝึกให้ร่างกายมีทรวดทรง สวยงามและร่างกายสมส่วน
ยุคปัจจุบัน
พลศึกษาเป็น “ศาสตร์” แขนงหนึ่งที่อยู่บนรากฐานทางวิทยาศาสตร์และมีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์แขนงอื่นๆ อีกหลายแขนง พลศึกษา มาจากคำว่า “พละ” และ “ศึกษา” พละ แปลว่า กำลัง ส่วนคำว่า ศึกษา แปลว่า การเล่าเรียน เมื่อนำคำทั้งสองคำนี้มารวมกันเป็นคำสมาส สระลดรูปรวมเป็น “พลศึกษา” แปลตามรูปศัพท์ว่า การศึกษาเล่าเรียนในการบำรุงร่างกายโดยการออกกำลังกาย
พลศึกษา (Physical Education) เป็นศาสตร์และศิลป์ที่ได้รับการถ่ายทอดมานานจากคนตะวันตก คนตะวันออกพูดถึงคำว่าพลศึกษามานานในรูปแบบทาง จิตใจ นั่นคือ พละ 5 ธรรมที่เป็นพลัง มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา แต่ไม่ได้รับการตอบรับมากนัก จนมีหลักการที่ว่า “จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” จึงเห็นได้ว่าพลศึกษาต้องเกี่ยวโยงทั้งสองด้าน คือ ร่างกายและจิตใจ ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้และทั้งคู่ต้องทำงานไปพร้อมๆกัน
ประวัติเเละความเป็นมาของพลศึกษาในไทย
กรมพลศึกษา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2477 ในชื่อ กรมพลศึกษา เป็นส่วนราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่หลักในการผลิตบุคลากรทางการศึกษาด้านพลศึกษา กิจการลูกเสือ และกิจการสารวัตรนักเรียน โดยมีหน่วยงานหลักในการดำเนินการ คือ วิทยาลัยพลศึกษา
ในปี พ.ศ. 2485 กรมพลศึกษา ได้แบ่งส่วนราชการ 6 กอง คือ สำนักงานเลขานุการกรม กองกายบริหาร กองกีฬา กองกรีฑาสถานแห่งชาติ กองการลูกเสือ และกองอนุสภากาชาดและมีการปรับปรุงโครงสร้างเรื่อยมา กระทั่งในปี พ.ศ. 2536 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างกรมพลศึกษาอีกครั้ง โดยกำหนดภารกิจให้กรมพลศึกษา มีหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาการพลศึกษา สุขภาพ นันทนาการ การกีฬา วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์สุขภาพ ลูกเสือ ยุวกาชาด และสารวัตรนักเรียนและนักศึกษา ตลอดจนการจัดการศึกษาด้านพลศึกษา สุขศึกษา นันทนาการ วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาศาสตร์ทางจิตและประสาท และวิทยาศาสตร์สุขภาพ
ในปี พ.ศ. 2545 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรม และถ่ายโอนภารกิจของกรมพลศึกษา แยกออกไปสังกัดกับหน่วยงานต่างๆ เช่น งานสารวัตรนักเรียน ไปขึ้นกับสำนักพัฒนานักเรียนนักศึกษาและกิจการพิเศษ งานลูกเสือ ไปขึ้นกับสำนักกิจการลูกเสือ ยุวกาชาด และกิจการนักเรียน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนกิจการด้านการผลิตบุคลากรทางการศึกษา ไปขึ้นกับสถาบันการพลศึกษา และภารกิจด้านการส่งเสริมและพัฒนาการพลศึกษา สุขภาพ นันทนาการ เป็นสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ (Office of Sport and Recretion Development) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในท้ายที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 ให้เปลี่ยนชื่อสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ กลับไปเป็น กรมพลศึกษาเช่นเดิม ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนชื่อสำนักงานพัฒนาการกีฬาและนันทนาการ เป็นกรมพลศึกษา พ.ศ. 2553 มีผลบังคับใช้ คือ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553
คุณค่าเเละประโยชน์ของพลศึกษา
เพื่อให้ทราบความรู้ข้อมูลประวัติศาสตร์ความเป็นมาของพลศึกษาเเล้วนำไปปฏบัติตามเพื่อสร้างสุขภาพ
ร่างกายเเละจิตใจให้เเข็งเเรงเเละสมบูรณ์
อีกทั้งกิจกรรมที่ได้จากการออกกำลังกายตามศาสตร์ของพลศึกษายังส่งเสริมการทำงานเป็นทีมเช่นกีฬาฟุตบอลเเละเป็นการสร้างวินัยเเละพัฒนาทัศนคติของการเคารพ
เพื่อมีความรู้และเข้าใจในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการ วิธีการสร้างสัมพันธภาพในครอบครัวและกลุ่มเพื่อนมีสุขนิสัยที่ดีในเรื่องการกิน การพักผ่อนนอนหลับ การรักษาความสะอาดอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย การเล่นและการออกกำลังกาย