Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory system), บทที่2 ระบบหายใจ…
บทที่ 1 ระบบไหลเวียนเลือด (Circulatory system)
1.เลือด(blood)ประกอบด้วยเม็ดเลือด(blood cell)
พลาสมา(plasma)
เกล็ดเลือด(platelet)
พลาสมาหรือน้ำเลือด (Plasma)
• ประมาณ 55% ของปริมาณเลือดทั้ง หมด >> น้กาประมาณ 91% สารโปรตีน 7% มีลกัษณะใสไม่มีเซลล์ • ทําหน้าที่ช่วยขนส่งโมเลกุลต่างๆ เช่นไขมันหรือโปรตนี และฮอร์โมนบํางชนิด
เกล็ดเลือก(Blood platelelet Thrmbocyte)
เกล็ดเลือดเป็นส่วนของ cytoplasm ของ megakaryocytes ไม่มีนิวเคลียส
•มีหน้าที่ทำให้เลือดห้ามเลือด
เมล็ดเลือด(blood cell)
เม็ดเลือดขาว
(White blood cell)WBC
1.)เม็ดเลือดขาวชนิด Granulocytes
1.1Neutrophils
1.2 Eosinophils
1.3 Basophils
Basophils
•สร้าง histamine ทำให้เกิดการแพ้หรืออักเสบ
• สร้างสาร heparin ช่วยในการแข็งตัวของเลือด
Eosinophils
•มีนิวเค 2 พูได้
•เพิ่มจำนวนเมื่อมีการแพ้หรือติดเชื้อพยาธิ
•หน้าที่ในการทำลายสารพิษของ histamineที่ถูก
สร้างจาก mast cells
ในขณะที่เนื้อเยื่อมีการถูกทำงาน
Neutrophils
•มีนิวเคลียสหลายพู
•ทำลายสิ้งแปลกปลอมโดยการจับกินแบบฟาโกไซโทซิส
•หน้าที่ในการทำลายเชื้อเเบคทีเรียมักพบในการอักเสบแบบเฉียบพลันของเนื้อเยื่อ
ทำหน้าที่:ป้องกัน การกรานของแบคทีเรีย,เชื้อโรค,สิ่งแปลกปลอมต่างๆ
เซลล์เม็ดเลือดขาวประมาณ5,000-10,000
คุณสมบัที่สำคัญ
ของเม็ดเลือดขาว 3 ประการ
1.Diapedesis:สามารถเคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยไปยังเนื้อเยื่อได้
2.chemotaxis:สามารถเคลื่อนที่เข้าหาสารเคมีที่ปล่อยจากเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายได้
3.phagocytosis:สามารถเก็บกินสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาสู้ร่างกาย
2.)เม็ดเลือดขาวชนิดAgranulocytes
2.1 Lmphocytes
2.2 Monocytes
Monocytes
•มีนิวเคลรูปคล้ายไต
•เมื่อแทรกออกจากหลอดเลือดสู้เนื้อเยื่อต่างๆจะเจริญเป็นแมโครฟาจ(macrophage)
•มีหน้าที่เก็บกินสิ่งแปลกปลอมต่างๆ
Lymphocytes
•มีนิวเคลีใหญ่เกือบเต็มเซลล์
•มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมคุ้มกันของร่างกาย
•แบ่งเป็น B-cell เจริญที่ไขกระดูก, T-cell
พัฒนาที่ต่อมไทมัส
เม็ดเลือดแดง(Red blood cell)RBC
ทำหน้าที่:1.ขนส่งออกซิเจน,คาร์บอนไดออกไซด์
2.ควบคุมดุลกรด-ด่างในร่างกาย
3.เก็บเอนไซม์ carbonic anhydrase(CA)
•ขนส่งออกซิเจน,คาร์บอนไดออกไซด์
•ในเม็ดเลือดแดงมีสารชื่อ ฮีโมโกบิล(hemoglobin)
-อายุการทำงานในกระแสโรหิต~90-120วัน
1.Embryo:yolk sac
2.Mid-trimester : liver,spleen
3.Last month of gestation & after birth :red_flag:bone narrow (Flat bone)
👉🏻อัตราการสร้าง400-500มล|เดือน
👉🏻ถูกควบคุมโดยฮอร์โมน erythropoietin
2.หลอดเลือด (vessels) ประกอบด้วย
•หลอดเลือดแดง (artery)
•หลอดเลือดดำ (vein)
•หลอดเลือดฝอย (capillary)
หลอดเลือดขนาดเล็ก
1.Arteriole
2.Metarteriole
3.Capillary
หน้าทีช่วยให้มีการซึมผ่านของสาร
หลอดเลือดแดงของร่างกาย(principal artery of the body
หลอดเลือดแดงของงอกและท้อง
1.Aorta
เป็นหลอดเลือดแดงที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายที่ออกจากหัวใจห้องล่างซ้าย แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
1.3Descnding aorta
1.3.1 Thoracic aorta
•อยู่ในช่องอก ให้ 2 แขนง
2.parietal branch ส่งไปเลี้ยงผนังทรวงอก
•posteriorintercostalartery
•Superior phrenic artery
1.Visceral branch เป็นแขนงที่ส่งไปเลี้ยงอวัยวะภายในอก
•Bronchial artery
•Esophageal artery
•Medinal artery
1.3.2Abdominal aorta
1.celiac trunk :check:กระเพาะอาหาร ลำไส้
2.Middle suprarenal artery:หมวกไต
3.Lumbar artery:เอว
4.Superior mesenteric artery:ลำไส้เล็ก
5.Renal artery:ไต
6.Gonadal(Teasticular or ovarian)arteryอวัยวะเพศชาย
7.lnferior mesenteric artery:ลำไส้
8.middle sacral artery :กระเบนเหน็บ
1.2 Arch of aorta หรือAortic arch แขนงแยกเป็น 3 แขนง
1.2.1 Brachiocephalic artery
•Right common carotid artery
•Right subclavian artery
1.2.2 Left common carotid artery
1.2.3Left subclavian artery
1.1.Ascending aorta
แขนงแสกเป็น 2 แขนง
1.1.1 Right coronary artery
1.1.2 Left coronary artery
Ascending aorta
หลอดเลือดแดงบริเวณคอและศีรษะ
Common carotid artery 1 คู่แตกแขนงได้ 2 แขนงใหญ่
1.External carotid artery
2.lnternal carotid artery
เลี้ยงเบ้าตาและเกือบทั้งหมกของเปลืองสมองใหญ่
หลอดเลือดแดงของรยางค์บน
Brachial artery
เป็นแขนงต่อจาก Axillary artery
เป็น 2 แขนงใหญ่คือ
1.ulnar artery
2.Radial artery
Axillary artery
ต่อจาก subclavian artery ผ่านขอบล่างของกระดูกซี่โครงที่ 1 เข้าสู้รักแร้เปลี่ยนชื่อเป็น Axillaryartery แตกแขนงเบี้ยงโครงสร้างภายในรักแร้
Vertebral artery
•เป็นแขนงมาจากsubclavianartery
•เมื่อเข้าสู้กะโหลกศรีษะทั้งสองจะรวมกันเป็น Basilar artery ให้แขนงไปเลี้ยง cerebellum,pons และหูส่วนใน
Subclavian artery
👉🏻ข้างซ้ายแตกแขนงมาจาก arch of aorta
👉🏻ข้างขวาแตกแขนงจากbrachiocephalic artery
แขนงของ Sobclavian artery ได้แก
1.Vertebralartery
2.Thyrocervicaltunk
3.lnternal thoracic artery
3.หัวใจ(heart)
ขนาดและตำแหน่งของหัวใจ
วางตัวอยู่ในช่องอกอยู่ระหว่างปอดทั้ง 2 ข้าง(เรียกmediastinum)
ผนังหัวใจ(Heart wall)
1.ชั้นนอกสัด
2.ชั้นกลาง
3.ชั้นในสุด
ห้องหัวใจ(Chamber of the heart)
•ห้องบนเรียกว่า atria (atrium) 2ห้อง
Right atrum
Left atrium
•superi vena cava
•lnferior vena cava
หัวใจห้องบนซ้าย
•รับเลือดจากpulmonary veins 4 เล้น
•มีลิ้นหัวใจชื่อBicuspid
•ห้องล่าง เรียกว่า Ventricle 2 ห้อง
Right ventricle
Left Ventricle
หัวใจห้องล่างขวา
•รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา
•ผ่านลงสู้ล่างขวาโดยผ่านลิ้นเรียก Tricuspid valve
หัวใจห้องล่ายซ้าย
•มีผนังหนาสัด
•รับเลือดจากหัวใจห้องบนซ้าย
ลิ้นหัวใจ(Heart valves)
1.) Cuspid valves หรือAtrioventricular valves ก้นัระหว่าง atrium กับ ventricle
Tricuspid (Right)
Bicuspid or mitral (Left)
2.) Semilunar valves
Aortic semilunar valve (Aortic Valve) กันระหว่าง aorta กับ Leftventricle
Pulmonary semilunar valve (Pulmonic Valve) กันpulmonarytrunk กับ Rightventricle Bicuspid valve Pulmonary semilunar valve Aortic semilunar valve
การควบคุมการทำงานของระบบไหลเวียนเลือด
1.ศูนย์ควบคุมระบบไหลเวียนเลือด
2.ตัวรับรู้การเปลี่ยนแปลงในระบบไหลเวียนเลือด
3.อวัยวะแสดงผลซื้องได้เเก่หัวใจและหลอดเลือด
บทที่2 ระบบหายใจ respiratory system
โครงสร้างผนังถุงลมจะประกอบด้วยเซลล์เยื่อบุชั้นเดียว
แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ
•Capillary endothelial cells
👉🏻เซลล์ถุงลมชนิดที่ 1 (type I alveolar cell)
👉🏻เซลล์ถุงลมชนิดที่ 2 (type II alveolar cell หรอื Great alveolar)
•เซลล์ถุงลมชนืดที่ 1 เป็นเซลล์ส่วนใหญ่ของผนังถุงลม
•เซลล์ถุงลมชนิดที่ 2 ทำหน้าที่สร้างสารด แรง ตึงผิว และพบเซลล์ macrophage
Respiratory part
• Alveolar sac ปรถกอบด้วย alveoli ประมาณ 20 ถุง • ปอดมีโครงสร้างท่ประกอบด้วยถุงลม ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ต่างกน
➢บริเวณแลกเปลียนก๊าซระหว่างอากาศในถุงลมกับอากาศในหลอดเลือดฝอย
Respiratory bronchioles >> Alveolar ducts >> Alveolar sacs >> Alve
สารลดแรงตึงผิว (surface tension and surfactant)
ประโยชน์
ช่วยลดแรงตงึ ผวิ ของของเหลวบนถุงลม
ลดการแทรกซึมของของเหลวเข้ามาในถุง
สรา้ ี งในเดอนื ที4ของการต้งคั รรภ์และทาหน้าท่ได้ต้งแต่เดอื
ปอด(Lungs)
เส้นประสาทที่มาเลี้ยงปอด
Apex อยูเ่ หนือไหปลารา้ ขึนไปประมาณ 1.5-2.5 ซม และอยูต่ รงกับกระดูกสันหลัง T1 2. Base อยูต่ ิดกระบังลมข้างขวาอยูต่ รงกับกระดูกสันหลัง T10 ข้างซ้าย T11
เยื้อหุปอด
•เป็นถุง2ชั้น
•ชั้นนอกติดกับผนังทรวงอก
•ชั้นในติดกับผนังอกของปอดเรียก Visceralpleura
ลักษณะภายนอก
Right lung
• Upper (Superior) lobe
• Middle lobe
• Lower (Inferior) lobe
Left lung
• Upper (Superior) lobe
• Lower (Inferior) lobe
แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ
2.Respiratorypartเป็นส่วนที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างหลอดเลือดฝอยกับถุงลม
• Respiratory bronchioles
•Alveolar duct
•Alveolar sac
•Alveoli
Conducting part ส่วนที่เป็นทางผ่านของอากาศ (Air passages) โดยไม่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซซึ้งประกอบด้วย
• Terminal bronchiole
• Bronchiole
• Bronchus (bronchi)
Pharynx
เริ่มตั้งแต่ base of skull ลงไปจนถึงกระดูกคอชั้งที่6 ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศและอาหารมีโครงสร้างแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้เเก่
1.Nasopharynx
2.Oropharnx
3Laryngopharynx
• Larynx
ควบคุมการ หายใจเข้า-ออก การกลืนอาหาร และปองกันท่อ ลมในระบบทางเดินหายใจ
ประกอบด้วยกระดูกออ่ น 9 ชน
การสร้างเม็เลือดแดง(Erytropiesis)