CBL Case 1
การพยาบาลสตรีที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

  1. เกณฑ์การวินิจฉัย Hypertensive disorder in pregnancy จาก Urine protein 24 hours

สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Preeclampsia หรือ Chronic hypertension with superimposed preeclampsia แล้ว ตลอดการตั้งครรภ์สิ่งสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังคือการดําเนินโรคที่รุนแรงขึ้น หรือที่เรียกว่าการเกิด Severe feature สำหรับเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็น Preeclampsia with severe feature ประเมินจากการเกิดภาวะผิดปกติอย่างน้อย 1 ข้อขึ้นไป ดังนี้

  1. Hypertensive disorder in pregnancy แบ่งเป็นกี่ประเภท ใช้เกณฑ์ใดบ้าง แต่ละประเภท ต่างกันอย่างไร และ case นี้ เป็นชนิดไหนเพราะอะไร

ประเภทของความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ แบ่งออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้

  1. แนวทางการดูแลรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอดและระยะหลัง
    คลอด
  1. ประเด็นปัญหาสุขภาพที่สาคัญใน case ประกอบด้วยประเด็นใดบ้าง คาสาคัญที่นักศึกษาค้นพบ ในกรณีนี้ พร้อมกับความหมาย

ระยะตั้งครรภ์

ระยะคลอด

ระยะหลังคลอด

1. Gestational hypertension ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่ตรวจ พบในช่วงอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป โดยไม่พบภาวะ proteinuria ร่วมด้วย และความดันโลหิตมักกลับสู่ระดับปกติภายใน 12 สัปดาห์หลังคลอด

การดูแลสตรีตั้งครรภ์ด้วย Expectantmanagement

  1. Admit ตลอดการตั้งครรภ์เพื่อเฝ้าระวังการเกิดภาวะแทรกซ้อนของมารดาและทารกอย่างใกล้ชิด
    2.ให้ MyS04 นาน 48 ชม. หากอาการของสตรีตั้งครรภ์คงที่ไม่เกิด Severe feature ขึ้นอีกสามารถ argaron ww M₂SO4 1
  2. วัดความดันโลดและประเมินอาการปวดศีรษะ ตามัว จุกลิ้นปี่ ทุก 2-4 ชั่วโมง
    4.บันทึก uidintake / urinoutput อย่างเข้มงวด
    5.ตรวจติดตาม Lab CBC c platelet, BUNICE, Electrolyte, AST / ALT อย่างน้อยสัปดาห์ละสอง แต่หากพบความผิดปกติควรตรวจทุก 6-12 ชมหากดูแนวโน้มไม่ดีขึ้นภายใน 12 ชมควรพิจารณาให้คลอด
  3. การติดตามสุขภาพทารกในครรภ์
  • สอนนับลูกดิ้น
  • ระวังภาวะทารกโตช้าในครรภ์

  1. MgSo4 level มีผลลดการชักอย่างไร แต่ละระดับมีผลอย่างไร
  1. Systolic BP (SBP) ≥ 160 mmHg หรือ Diastolic BP (DBP) ≥ 110 mmHg เมื่อวัด 2 ครั้งห่างกัน 4 ชั่วโมง

2. Preeclampsia ภาวะครรภ์เป็นพิษ คือ ความดันโลหิตสูงตรวจพบในช่วงอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป ร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะ คือ urine protein 24 hr. 2 300 mg แบ่งเป็น Mild preeclampsia (BP <160/110 mmHg) และ Severe preeclampsia (BP>160/110 mmHg)

  1. Thrombocytopenia คือ เกล็ดเลือด < 100,000 cell/mm3
  1. Renal insufficiency คือ Serum creatinine ≥1.1 หรือมากกว่า 2 เท่าของค่า Serum creatinine
    เดิม โดยไม่มีโรคไตอื่น อาจพบปัสสาวะออกน้อยกว่า 400 ซีซี/วัน
  1. Pulmonary edema
  1. proteinuria > 5grams/day
  1. IUGR
  1. มีอาการปวดศีรษะหรือตาพร่ามัวที่เกิดขึ้นใหม่ reflex เร็วขึ้น

proteinuria

  1. Impaired liver function คือ AST/ALT สูงกว่า 2 เท่าของค่า Upper normal limit หรือมีอาการ
    ปวดจุกใต้ลิ้นปี่รุนแรงและไม่หายไป (Severe persistence)

3. Chronic hypertension with Superimposed preeclampsia or Eclampsia ความดันโลหิตสูงก่อนตั้งครรภ์ ร่วมกับภาวะครรภ์เป็นพิษ คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่พบตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์หรือก่อน อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และพบภาวะโปรตีนในปัสสาวะร่วมด้วย

4. Eclampsia ความดันโลหิตสูงร่วมกับมีอาการชัก โดยการชักไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น

5. Chronic hypertension ความดันโลหิตสูงก่อนตั้งครรภ์ คือ ภาวะความดันโลหิตสูงที่พบตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์หรือก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ หรือยังคงมีความดันโลหิตสูงในช่วงหลังจาก 12 สัปดาห์หลังคลอด โดยไม่พบภาวะ proteinuria ร่วมด้วย

  • mgso4 เป็นเกลือแร่ที่ใช้รักษาภาวะความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์ โดยmgso4 จะไปลดการหลั่งสาร acetycholine ที่ปลายประสาท ยับยั้งการส่งกระแสประสาทไปยังกล้ามเนื้อ(blocking neuromuscular transmission)ทำให้ช่วยยับยั้งการชักได้(anticonvulsant) และออกฤทธิ์กดการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางทำให้หลอดเลือดขยายตัว เกิดvasodilation


  • ระดับของ mgso4 มีผล ดังนี้


    -mgso4 5-10 mEq/L จะทำให้EKG เปลี่ยน


    -mgso4 10 mEq/L จะทำให้ deep tendon reflexหายไป


    -mgso4 12 mEq/L จะทำให้หยุดการหายใจ


    -mgso4 มากกว่า 15 mEq/L ทำให้หัวใจหยุดเต้น


เกณฑ์ในการแบ่งแต่ละประเภท

urine protein creatinine index (UPCI) ≥ 0.3 grams

urine dipstick ≥ 1+ แต่ urine dipstick จะใช้เฉพาะกรณีที่ไม่สามารถตรวจด้วย urine protein 24 hr หรือ UPCI ได้

urine protein ≥ 300 mg ในปัสสาวะะที่ เก็บต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง

พบหลัง 20 สัปดาห์

พบก่อน 20 สัปดาห์

ระยะ Latent phase

พบ proteinuria

  1. สภาพแวดล้อมให้สงบลดแสงเสียงสัมผัสเพื่อให้นอนหลับพักผ่อนให้มากที่สุด และช่วยลดความดันในท่านอนตะแคงซ้าย
  2. วัดความดันโลหิตทุก 24 ชั่วโมง
  3. เก็บ Urine Protein 24 ชั่วโมงส่งตรวจเพื่อประเมินการทำงานของไต
  4. ประเมินความเครียดและความวิตกกังวลโดยแนะนำและฝึกวิธีการบรรเทาความเจ็บปวดในระยะคลอด เช่น การฝึกควบคุมการหายใจการลูบหน้าท้องและการนวดผ่อนคลาย
    5ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก
    6.ประเมินความรุนเเรงของอาการบวม

ไม่พบ proteinuria

  1. หลักการรักษา ภาวะ Hypertensive disorder in pregnancy ด้วยยา

พบ proteinuria

ไม่พบ proteinuria

ยาลดความดันโลหิตที่นิยมใช้ในสตรีตั้งครรภ์

Chronic hypertension with Superimposed preeclampsia or Eclampsia

Chronic hypertension

Preeclampsia

Eclampsia

Gestational hypertension

Methyldopa 250 mg bid
กลุ่มยา : Antihypertensives
กลไกการออกฤทธิ์ : เมื่อเข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น alpha-methyldopamine และ alpha-methylnorepinephrine ได้ (คล้ายกับการเปลี่ยน L-dopa เป็น dopamine และ norepinephrine ในภาวะปกติ) เชื่อว่า alpha-methyldopamine หรือ alpha-methylnorepinephrine มีฤทธิ์กระตุ้นตัวรับ α2 ในระบบประสาทส่วนกลาง จึงมีผลลดการหลั่งสารสื่อประสาทซิมพาเธทิก ทําให้ความดันในหลอดเลือดส่วนปลายลดลง
อาการข้างเคียง : ปวดหัว เวียนหัว ง่วงซึม คัดจมูก อ่อนเพลีย

Hydralazine 25 mg bid
กลุ่มยา : Vasodilator antihypretensive drugs
กลไกการออกฤทธิ์ : ทําให้กล้ามเนื้อเรียบของผนังหลอดเลือดแดงคลายตัวโดยตรง มักใช้บ่อยในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ หรือโรคไตรุนแรง
อาการข้างเคียง : ยานี้อาจทำให้เกิดอาการเวียนหัว ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ใจเต้นเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก บวม

Labetalol 100 mg bid
กลุ่มยา : Antihypertensives
กลไกการออกฤทธิ์ : ออกฤทธ์ิเป็น competitive antagonist ที่ alpha1 และ beta-receptors การออกฤทธ์ิปิดกั้นที่ receptors มีผลให้ความดันโลหิตลดได้
อาการข้างเคียง : คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ความดันโลหิตต่ำ

หมายเหตุ

  1. ห้ามใช้ยากลุ่ม ACEi
  2. พิจารณาให้ Low dose aspirin คือ Aspirin (81) 1x1 oral,pc ตั้งแต่ GA12-36 wk ในราย
    ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิด Preeclampsia with severe feature
  3. บางรายอาจได้รับ calcium ร่วมด้วย

Nifedipine 10-30 mg tid
กลุ่มยา : Calcium Channel Blocker
กลไกการออกฤทธิ์ : กลไกการออกฤทธิ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งจะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น
อาการข้างเคียง : เวียนศีรษะเล็กน้อย อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ตะคริว ไอ เจ็บคอ

ระยะ Active phase

Case นี้เป็นความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์ประเภทไหน ? พิจารณาจากเคสพบว่าสตรีตั้งครรภ์รายนี้พบความดันโลหิตสูงขณะอายุครรภ์ 27+3 week และพบ proteinuria ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวสตรีตั้งครรภ์รายนี้เป็นความดันโลหิตสูงประเภท preeclampsia with severe feature

  1. วัดความดันโลหิตทุก 15 นาทีจนกระทั่งคงที่เปลี่ยนเป็นทุก 1 ชั่วโมงจนคลอด
  2. ดูแลให้ได้รับยาป้องกันภาวะชักคือ Magnesium sulfite ตามแนวทางการรักษา
  3. จัดทำให้ผู้ป่วยนอนตะแคงซ้ายและให้ออกซิเจน
  4. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการให้ยาเพื่อป้องกันการชักจากภาวะความดันโลหิตสูงรวมถึงผลข้างเคียงจากยาที่อาจเกิดขึ้น
  5. ดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นภายหลังคลอด เช่น ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ
  6. เฝ้าระวังอาการตกเลือดหลังคลอด เช่น สังเกตการหดรัดตัวของมดลูก ปริมาณเลือด ดูแลให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
  7. ติดตามผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการเพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

1.จัดท่านอนตะแคงโดยเฉพาะท่านอนตแคงซ้าย โดยใช้หมอนหนุนสะโพกข้างขวาของผู้ป่วยและตะแคงหน้าเพื่อป้องกันการสำลักและส่งเสริมการไหลเวียนเลือด

  1. ให้ออกซิเจนทาง face mask 10 ตรต่อนาทีเพื่อป้องกันภาวะ hypoxia และป้องกันทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน
  1. ประเด็นเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ข้อมูลที่ท่านคิดว่าควรเพิ่มเติม แนวทางการดูแลที่เหมาะสม เป็นต้น
  • Preeclampsia หมายถึง ความดันโลหิตสูงร่วมกับมีโปรตีนในปัสสาวะ ที่เกิดขึ้นใหม่หลังสัปดาห์ของการตั้งครรภ์และกลับมาปกติในช่วงหลังคลอดมักมีอาการบวมร่วมด้วย
  • เครื่องตรวจการเต้นของหัวใจทารกในครรร์อิเล็กทรอนิค (Electronic Fctal Monitoring; หรือเครื่อง EFM)
    หมายถึง เครื่องการตรวจประเมินการทำงานของหัวใจทารกในครรภ์ และประเมินการหดรัดตัวของมดลูก แสดงผลและมีการบันทีไว้อย่างต่อเนื่อง ในที่นี้หมายถึงเฉพาะเครื่องตรวจการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์แบบภายนอก
  • Late deceleration คือ การลดลงของ FHR อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไปและกลับคืนสู่ baseline อย่างช้าๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก
  • urine albumin/sugar = 1+/negative คือ พบโปรตีน/น้ำตาลในปัสสาวะปริมาณน้อย(1+)
  • ภาวะขาดออกซิเจนแรกเกิด (birth asphyxia) หมายถึง ภาวะที่ทารกแรกเกิดขาดออกซิเจน (hypoxia) ทำให้มีคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูง (hypercapea) PaCO, มากกว่า 50 มิลลิเมตรปรอท ออกซิเจนในเลือดต่ำลง
  • ภาวะน้ำท่วมปอด (Pulmonary edema) หรือภาวะปอดบวมน้ำ เกิดจากการมีของเหลวในถุงลมปอดมากผิดปกติ ทำให้การแลกเปลี่ยนก๊าซลดลง ผู้ป่วยจึงเกิดอาการต่าง ๆ จากการมีระดับออกซิเจนในเลือดลดลงหากไม่รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • ทารกในครรภ์อยู่ในภาวะคับขัน (fetal distress) หมายถึง ทารกในครรภ์ที่อยู่ในภาวะอันตรายซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ทันเวลาอาจมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้สาเหตุทารกในครรภ์อยู่ในภาวะอันตราย
  • ภาวะตกเลือดหลังคลอด หมายถึง การเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตร ภายหลังการคลอด ทารกทางช่องคลอด หรือการเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 1,000 มิลลิลิตร ภายหลังการคลอดทารกโดยการ ผ่าตัด หรือการสูญเสียเลือด ร้อยละ 1 ของน้ําหนักตัวมารดา หรือความเข้มข้นของเลือด (Hct) ลดลงร้อยละ 10
  • IUGR (Intrauterine Growth Retardation) หรือ ภาวะทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า เป็นภาวะที่ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น โดยทารกจะมีขนาดตัวที่เล็ก และมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 10 เมื่อเปรียบเทียบกับทารกที่อยู่ในช่วงอายุครรภ์เดียวกัน
  • Abruptio Placentae หรือภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อรกบางส่วนหรือทั้งหมดลอกตัวออกจากมดลูกของสตรีมีครรภ์ก่อนทารกคลอด ทำให้ผู้ป่วยมีเลือดออกจากช่องคลอดและมีอาการเจ็บครรภ์ ส่วนทารกในครรภ์ก็อาจขาดออกซิเจนและสารอาหารได้ โดยภาวะนี้มีโอกาสเกิดขึ้นเพียงประมาณ 1 ใน 150 คน ซึ่งพบได้ในอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ขึ้นไป มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และอาจเป็นอันตรายต่อทั้งมารดาและทารกในครรภ์หากไม่ได้รับการรักษาทันที
  • HF < GA คือ ระดับของยอดมดลูกน้อยกว่าอายุครรภ์ ซึ่งบ่งบอกว่าทารกอาจมีภาวะ IUGR ส่งผลให้ระดับของยอดมดลูกกับอายุครรภ์ไม่สัมพันธ์กัน

แนวทาการดูแลที่เหมาะสม
Chronic Hypertension with Superimposed preeclampsia และ Preeclampsia

กรณีไม่มี severe features

  1. หากอายุครรภ์≥ 37 สัปดาห์พิจารณาให้คลอด
  2. หากอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์สามารถพิจารณา 'Expectant management ได้ โดยปฏิบัติดังนี้
  • หากอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์แนะนำให้ Corticosteroid for fetal lung maturity
  • ไม่จําเป็นต้องให้ยาลดความดันโลหิตยกเว้นในรายที่เป็น Chronic HT ที่ต้องใช้ยาในการควบคุมความดันโลหิตอยู่เดิม


  • วัดความดันโลหิต 2 ครั้งต่อสัปดาห์หาก≥ 140/90 mmHg ให้รีบมาตรวจก่อนนัด

  • กรณี Gestational HT แนะนำให้มาตรวจหาภาวะ Proteinuria สัปดาห์ละครั้ง
  • ตรวจ CBC c platelet และ Liver Function Test (LT) สัปดาห์ละครั้ง

ข้อมูลที่เพิ่มเติมสิ่งที่ต้องติดตาม

-Urine output : ควรใส่ Foley catheter, keep urine output > 0.5 ml/kg/hour

-Deep tendon reflex : monitor hyporeflexia/areflexia ที่ Patellar reflex เท่านั้น

-Respiration : keep RR > 14 /min

-Serum Mg : ควรติดตามในรายที่มี renal failure, monitor ทุก 4 hour

กรณีมี severe features

  1. เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยใน (Admit)
  2. ให้ยาลดความดันโลหิต (Short-acting anti-hypertensive drugs) ในรายที่ความดันยังคงสูงกว่า 160/110 mmHg เช่น Hydralazine เริ่มที่ 5 mg ทางหลอดเลือดดำ (IV) จากนั้นวัดความดันโลหิตใน 20 นาทีหรือ Nifedipine: ให้ในรูปแบบรับประทานเริ่มที่ 10 mg oral จากนั้นวัดความดันโลหิตใน 20 นาทีหากไม่ได้ผลแพทย์อาจพิจารณาให้ Nicardipine: ผสมให้ได้ 0.1 mg / ml IV drip rate 25-50 mVhr (2.5-5 mg / hr) titrate
    ทีละ 2.5 mg / hr ทุก 15 นาทีขนาดสูงสุดไม่เกิน 15 mg / hr
  3. ป้องกันชัก (Stabilization) ด้วย MgSo4 iv load 4 gm จากนั้นให้ทาง iv drip 1-2 gm / hr และควรตรวจระดับยา MgSO4 หลังให้ยา 1-2 ชั่วโมงปกติควรอยู่ในช่วง 4.8-8.4 EL ให้เนื่องจนหลังคลอด 24 ชั่วโมงและเฝ้าระวังภาวะยาเกินขนาดโดยติดตามอาการหายใจช้าน้อยกว่า 14 ครั้งต่อ / นาที) Absent DTRs และ Urine out put น้อยกว่า 100 ซีซีใน 4 ชั่วโมงหากพบอาการดังกล่าวให้หยุดยาก่อนและเจาะระดับยา MgSO4 และแพทย์จะพิจารณาให้ยา calcium gluconate เพื่อต้านฤทธิ์
  4. การพิจารณาให้คลอดจำแนกตามอายุครรภ์ ดังนี้
  • หากอายุครรภ์≥ 34 สัปดาห์ให้คลอดหลังจาก Stabilize มารดาแล้ว
  • หากอายุครรภ์ <24 สัปดาห์ (Previable stage) ให้คลอดหลังจาก Stabilize มารดาแล้วเช่นกัน
  • หากอายุครรภ์ 24-34 สัปดาห์: ให้ Corticosteroid for fetal lung maturity จากนั้นหากไม่มีข้อห้ามในการ Expectant management ให้พิจารณา Expectant management จนถึง 34 สัปดาห์
  • หากภาวะของมารดาหรือทารกในครรภ์ไม่ stable ควรให้คลอดทันทีโดยไม่คำนึงถึง

Magnesium toxicity

  • กรณีไม่มีอาการ : หาก Serum Mg > 8 mEq/L หยุดการให้ MgSO4 เจาะ Serum Mg ทุก 2 hour จนกว่าSerum Mgจะ < 7mEq/Lจึงพิจารณาเริ่มให้MgSO4ใหม่ในอัตราที่ลดลง
  • กรณีมีอาการ
    หยุดการให้ MgSO4 เจาะ Serum Mg ทุก 2 hour
    ข้อพึงระวัง
  • ถ้าพบว่า ไม่มี reflex หรือ ปัสสาวะออกน้อยกว่า 100 ml ใน 4 ชั่วโมง หรือ 25 ml/ชั่วโมง หรือ หายใจน้อยกว่า 14 ครั้ง/นาที ให้ลดขนาดยาลง และตรวจระดับ Mgในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • กรณีที่ค่า creatinine ≥ 1.3mg/dLให้อัตรา 1 g/hrและตรวจติดตามระดับ Mg
  • กรณีที่ชักซ้ำขณะที่ให้ MgSO4 อยู่แล้วให้ bolus MgSO4 2 g IV ช้าๆ และเพิ่ม rate ของ infusion เป็ น 1.5 g/hr แล้ว ตรวจติดตามอาการต่อ
  • ถ้ายังคงชักหลังให้ bolus แล้ว 2 ครั้ง ควรให้ยากันชักชนิดอื่นที่เป็น conventional anticonvulsant เช่น phenytoin 125 mg IV (เพิ่มได้ถึง 250 mg ฉีดนาน 3-5 นาที) หรือ diazepam 5 mg IV เจาะเลือดตรวจระดับ Mg และหาสาเหตุอื่นของการชักและพิจารณาทำ cranial imaging scan เมื่อ stabilize ผู้ป่วยแล้ว
  • ห้ามให้metherginในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง
  1. ในบทบาทพยาบาลจะให้การพยาบาลประเด็นใด ตรวจร่างกาย หรือตรวจพิเศษในระบบใด
    เพิ่มเติมหรือไม่ อย่างไร
  2. ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลและกิจกรรมการพยาบาล

มารดา

ทารก

ข้อวินิจฉัยที่ 1 เสี่ยงต่อภาวะชัก เนื่องจากความดันโลหิตสูง


ข้อมูลสนับสนุน
S : มารดาให้ประวัติว่า “มีอาการปวดหัว จุกแน่นลิ้นปี่”
O : อายุ 35 ปี, ความดันโลหิตสูง = 150/90 mmHg, petting edema +3, Urine albumin/sugar = 1+/negative


เป้าหมายการพยาบาล
มารดาไม่มีภาวะชัก


เกณฑ์การประเมินผล

  • ไม่มีอาการและอาการแสดงนำก่อนชัก เช่น ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เป็นต้น
  • ความดันโลหิตไม่สูงเกิน 160/ 110 mmHg
  • ทารกในครรภ์มีการเต้นของหัวใจอยู่ระหว่าง 120 - 160 ครั้ง/นาที

กิจกรรมการพยาบาล

  1. ประเมินอาการและอาการแสดง ที่ชักนำก่อนการเกิดการชัก ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ตาพร่ำมัว เจ็บใต้ลิ้นปี หรือบริเวณชายโครงขวา เพื่อจะได้เตรียมการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
  2. ประเมินสัญญาณชีพทุกๆ 15 นาที เพื่อประเมินอาการและอาการแสดงเป็นระยะ ๆ จนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ
  3. ดูแลการให้ยาป้องกันชักตามแผนการรักษา คือ 10% MgSO4 4 gm iv push และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา MgSO4 โดยการตรวจพบว่า อัตราการหายใจมากกว่า 16 ครั้ง/นาที ปัสสาวะออกมา มากกว่า 25 ซีซี / ชั่วโมง และเนื่องจากการให้ MgSO4 สามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ จึงจำเป็นต้องเตรียมยา 10% Calcium gluconate ซึ่งเป็นยากระต้นฤทธิ์ของ MgS04 ไวเสมอ
  4. จัดสิ่งแวดล้อมที่เงียบสงบ ลดการกระตุ้นจทกแสง เสียงหรือสิ่งใดๆ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์ ได้พักผ่อนมากที่สุด
  5. จัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อมใช้ เช่น ออกซิเจน รถ Emergency พร้อมทั้งยาที่ ต้องใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อจะได้ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว

ข้อวินิจฉัยที่ 2 มีภาวะตกเลือดหลังคลอดเนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี


ข้อมูลสนับสนุน
O : ระยะคลอด จากการตรวจรกพบลักษณะรกลอกตัวก่อน กำหนด เสียเลือดรวม 1,200 ml มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
ระยะหลังคลอด หลังผ่าคลอด 4 ชั่วโมง ย้ายมาแผนกหลังคลอด พบมดลูกหดรัดตัวไม่ดีมีเลือดออก ชุ่มผ้าอนามัย 1 ผืน


เป้าหมายการพยาบาล
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการตกเลือด


เกณฑ์การประเมินผล

  • ผู้คลอดเสียเลือดไม่เกิน 200 ml / 2 hr
  • สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิร่างกาย 37-37.4 องศาเซลเซียส ชีพจรไม่เกิน 120 ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ 20-24 ครั้ง/นาที ความดันโลหิต 100/70-140/90 มิลลิเมตรปรอท
  • ไม่มีอาการแสดงของการตกเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำลง ชีพจรเบาเร็ว กระสับกระส่าย เหงื่อออกตัวเย็น เป็นต้น

กิจกรรมการพยาบาล

  1. ดูแลให้ได้รับ Cytotec 1⁄4 tab เหน็บทางช่องคลอด ตามแผนการรักษา
  2. ดูแลให้ได้รับเลือดตามแผนการรักษา คือ PRC 2 unit
  3. ดูแลให้ได้รับ 5%D/N/2 1000 ml + syntocinon 10 unit iv drip 100 ml/hr 2 ขวด ตามแผนการรักษา
  4. ตรวจสอบความสูงของยอดมดลูกและการหดรัดตัวของมดลูกทุก 30 นาที เพื่อประเมินตำแหน่งและการหดรัดตัวของมดลูกกรณีที่มดลูกนุ่มคลึงมดลูกให้หดรัดตัวดีและกดไล่ก้อนเลือดเพื่อช่วยให้มดลูกหดรัดตัวดี ลดภาวะตกเลือดหลังคลอด
  5. ตรวจสอบลักษณะแผลฝีเย็บและจำนวนน้ำคาวปลาทุก 30 นาที เพื่อประเมินการสูญเสียเลือด
  6. ดูแลกระเพราะปัสสาวะให้ว่าง ถ้าหากมารดาไม่สามารถปัสสาวะได้เอง ควรสวนปัสสาวะให้เพื่อไม่ให้กระเพาะปัสสาวะกดเบียดมดลูก ทำให้มดลูกหดรัดตัวได้ดียิ่งขึ้น
  7. ประเมินสัญญาณชีพตามแนวทางการดูแล ทุก 15 นาที ใน 1 ชั่วโมง และทุก 30 นาทีใน 1 ชั่วโมงที่ 2 หลังจากนั้นประเมินทุก 1 ชั่วโมง จนอาการคงที่
  8. ประเมินอาการแสดงของการตกเลือด ได้แก่ ความดันโลหิตต่ำลง ชีพจรเบาเร็ว กระสับกระส่าย เหงื่อออกตัวเย็น เป็นต้น

ข้อวินิจฉัยที่ 3 มีภาวะซีดเนื่องจากตกเลือดหลังคลอด


ข้อมูลสนับสนุน
O : ระยะคลอด จากการตรวจรกพบลักษณะรกลอกตัวก่อน กำหนด เสียเลือดรวม 1,200 ml มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
ระยะหลังคลอด หลังผ่าคลอด 4 ชั่วโมง ย้ายมาแผนกหลังคลอด พบมดลูกหดรัดตัวไม่ดีมีเลือดออก ชุ่มผ้าอนามัย 1 ผืน
O : HCT 24%


เป้าหมายการพยาบาล
ไม่มีภาวะซีดหรือมีภาวะซีดลดลง


เกณฑ์การประเมินผล

  • ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะซีด ได้แก่ รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
  • ค่าของ Hct 37-47%
  • ค่าของ Hb 12-16 g/dl

กิจกรรมการพยาบาล

  1. ดูแลให้ได้รับเลือดตามแผนการรักษา คือ PRC 2 unit
  2. เฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุที่อาจทำให้เลือดออก จะส่งผลทำให้มีภาวะซีดมากขึ้น
  3. ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะซีด ได้แก่ รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เป็นต้น
  4. ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อน ลดกิจกรรม เนื่องจากอาจมีอาการอ่อนเพลียจากภาวะซีด
  5. ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Hct , Hb เพื่อติดตามการรักษา

ข้อวินิจฉัยที่ 4 เสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Hypermagnesemia และอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับยา MgSO4


ข้อมูลสนับสนุน
O : มารดาความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภฺ์ ได้รับยา MgSO4 เพื่อป้องกันการชักในระยะรอคลอด


เป้าหมายทางการพยาบาล
เพื่อให้ผู้คลอดปลอดภัย ไม่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการได้รับยา MgSO4


เกณฑ์การประเมิน

  • อัตราการหายใจไม่น้อยกว่า 14 ครั้ง/นาที
  • ปัสสาวะออกไม่น้อยกว่า 25 มิลลิเมตร/ชั่วโมง
  • deep tendon reflex absent

กิจกรรมการพยาบาล

  1. อธิบายให้ผู้คลอดและญาติเข้าใจถึงเหตุผลและขั้นตอนการให้ยา รวมทั้งผลข้างเคียงที่อาจเกิด ได้จากยา เช่น อาการร้อนบริเวณที่ฉีด ร้อนวูบวาบทั่วตัว รวมทั้งอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนขณะได้รับยา
  2. ควบคุมให้ได้รับปริมาณยา 10% MgSO4 4 กรัม ฉีดเข้าหลอดเลือดช้า ๆ ภายใน 15 นาที หลังจากนั้นให้ 50% MgSO4 20 กรัม ผสมใน 5%D/W 500 ml iv rate 25 ml/hr ให้หยดเข้าหลอดเลือดดำ ควบคุมการหยดโดยใช้ Infusion pump ในอัตรา 100 มิลลิลิตร / ชั่วโมง เพื่อให้ได้ปริมาณยาตาม แผนการรักษาและเนื่องจากเป็นยาในกลุ่ม High Alert Drug
  3. ปฏิบัติตามแนวทางเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์จากยา (MgSO4 toxicity) ดังนี้
  • ประเมินอัตราการหายใจ ทุก 1 ชั่วโมง ถ้าอัตราการหายใจน้อยกว่า 14 ครั้ง/นาที
    ต้องหยุดให้ยา และรายงานแพทย์
  • ใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ ตวงและบันทึกปริมาณปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง ถ้าปัสสาวะออกน้อยกว่า 30 มิลลิลิตร หรือภายใน 4 ชั่วโมงออกน้อยกว่า 100 มิลลิลิตร รายงานแพทย์
  • ประเมินปฏิกิริยาตอบสนองเฉียบพลันของเอ็นลึก DTR ทุก 1 ชั่วโมง ถ้าน้อยกว่า 2+ ต้องรายงานแพทย์ทันที หรือเท่ากับ 0 ต้องหยุดยาทันที เนื่องจากยาจะออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง และกดกลามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งอาจกดศูนย์การหายใจและเนื่องจาก MgSO4 เกือบทั้งหมดขับออกทางไต ถ้าปัสสาวะออกน้อยลง ระดับยาจะยังคงสูงอยู่ในเลือดโอกาสเกิด MgSO4 toxicity จะเพิ่มมากขึ้น
  1. สังเกตอาการของการได้รับยา มากเกินไป หรือติดตามระดับแมกนีเซียมในเลือด ได้แก่อาการ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออก ความดันโลหิตลดลง การหายใจช้าลง ซึม ไม่มีแรง อ่อนปวกเปียก DTR ลดลง ต้องรีบรายงานแพทย์ และเตรียมยาแก้ไข ได้แก่ 10 % Calcium Gluconate 10 มิลลิลิตร ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำช้า ๆ ประมาณ 3-5 นาที
  2. เตรียมอุปกรณ์ช่วยฟื้นคืนชีพให้พร้อม

ข้อวินิจฉัยที่ 5 มารดามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงและขาดความรู้เกี่ยวกับโรค


ข้อมูลสนับสนุน
S: มารดาถามว่าเมื่อความดันสูงจะต้องทําอย่างไรเป็นอันตรายไหมลูกจะเป็นไรไหม
O: มารดาวัยรุ่นอายุ 35 ปีขาดความรู้เรื่องการดูแลแลตนเองสีหน้าไม่สดชื่นมีความวิตกกังวล


เป้าหมายทางการพยาบาล
มารดาไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรค


เกณฑ์การประเมินผล

  • บอกว่าความวิตกกังวลและความกลัวลดลง
  • สีหน้าสดชื่นขึ้น

กิจกรรมการพยาบาล

  1. แสดงความเป็นมิตรปลอบโยนให้รู้สึกอบอุ่นเพื่อคลายความวิตกกังวลและความกลัวมั่นใจว่ามีคนคอยดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ
  2. ถามและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้เล่าถึงสาเหตุของความวิตกกังวลและความกลัวเพื่อให้ได้ระบายความรู้สึกร่วมแก้ไขสาเหตุที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลและความกลัว
  3. อธิบายถึงสาเหตุลักษณะอาการภาวะแทรกซ้อนของภาวะความดันโลหิตสูงแนวทางการรักษาพยาบาลประเมินความสนใจและการยอมรับผู้ป่วยพื่อให้ได้ทราบข้อมูลช่วยลดความวิตกกังวลในสิ่งที่ไทราบและเข้าใจเหตุผลของการรักษาพยาบาลที่ได้รับเพื่อให้เกิดความร่วมมือด้วยความเต็มใจ
  4. ให้กําลังใจเพื่อลดความวิตกกังวล

ข้อวินิจฉัยที่ 1 ทารกมีภาวะ birth asphyxia เนื่องจากมารดามีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ชนิดรุนเเรง และได้รับยา MgSO4


ข้อมูลสนับสนุน
O : ขณะรอผ่าตัดคลอดพบน้ำคร่ำมีขี้เทาปน มีลักษณะเหนียว
O : มีภาวะ severe preeclampsia ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงรกน้อยลง
O : ผู้คลอดได้รับยา MgSO4 ก่อนคลอด
O : ผู้คลอดมีภาวะซีดก่อนผ่าตัดระดับความเข้มข้นของเลือด Hct เท่ากับ 32%
O : หลังผ่าตัดคลอด ได้ทารกเพศชาย น้ำหนัก 1,700 กรัม
O : APGAR score นาทีที่ 1 และ 5 เท่ากับ 5 และ 7 คะแนน ตามลำดับ


เป้าหมายการพยาบาล
เพื่อให้ทารกมีสุขภาพแข็งแรงเมื่อแรกคลอด


เกณฑ์การประเมินผล

  • ผลการประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ด้วยเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจและการหดรัดตัวของมดลูก (Electronic Fetal Monitoring: EFM) ปกติ
  • ทารกแรกเกิดมีคะแนน APGAR Score ที่ 1 นาทีมากกว่า 7 คะแนน

กิจกรรมทางการพยาบาล:

  1. ให้ผู้คลอดนอนตะแคงซ้ายเพื่อลดการกดทับที่บริเวณเส้นเลือดอินฟีเรียเวนาคาวา (inferior venacava) ทำให้เลือดสามารถไหลเวียนเพิ่มขึ้นที่มดลูกและรก
  2. ให้ออกซิเจนทางหน้ากากอัตรา 10 ลิตร / นาทีเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนแก่ทารกในครรภ์
  3. Monitoring FHS อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินสภาพทารกในครรภ์
  4. เตรียมอุปกรณ์ในการช่วยฟื้นคืนชีพทารกแรกเกิดให้พร้อมใช้หากทารกแรกเกิดมีภาวะขาดออกซิเจนหรือต้องมีการช่วยฟื้นคืนชีพ และส่งต่อ NICU
  5. อธิบายอาการและสภาพทารกแรกเกิดให้ผู้คลอดทราบเพื่อลดความวิตกกังวล

งานวิจัย

ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชนลาว

บทบาทของพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง

ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ระยะฝากครรภ์จนถึงระยะหลังคลอด
ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ในโรงพยาบาลจอมทอง

Management of Chronic and Gestational Hypertension of Pregnancy: A Guide for Primary Care Nurse Practitioners

ประกอบด้วยตัวแปรต้นที่เป็นปัจจัยเสี่ยง 3 ด้าน ได้แก่
1) ด้านปัจจัยส่วนบุคคลทประกอบด้วย อายุ ดัชนีมวลกายก่อนการตั้งครรภ์ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ ประวัติความดันโลหิตสูงก่อนการตั้งครรภ์ ประวัติเบาหวานก่อนการตั้งครรภ์ และประวัติครรภ์เป็นพิษในครรภ์มาก่อน
2) ด้านประวัติครอบครัว ได้แก่ ประวัติรอบครัวเป็นความดันโลหิตสูงและประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน
3) ด้านปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ ได้แก่ ลำดับที่ของการตั้งครรภ์ลำดับการคลอดและการตั้งครรภ์แฝด


ตัวแปรตามคือภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

ภาวะความดันโลหิตสูงในหญิงตั้งครรภ์เป็นภาวะที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่สามารถควบคุมความรุนแรงของโรคไม่ให้อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายได้ ดังนี้

บทบาทพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงระยะตั้งครรภ์

  1. การประเมินสภาพสตรีตั้งครรภ์ในแผนกฝากครรภ์โดยการคัดกรองความเสี่ยง และอาการแสดงของโรคเป็นการค้นหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรกหรือเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของอาการ ความดันโลหิตสูง และเพื่อเฝ้าระวังความรุนแรงของโรค ดังนี้
    1.1 การซักประวัติเพื่อค้นหาภาวะเสี่ยง สตรีตั้งครรภ์ที่มารับการฝากครรภ์ทุกราย พยาบาลต้องมีการประเมินปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะสตรีที่มีปัจจัยเสี่ยง (Risk factors) ได้แก่ ครรภ์แรก และอายุน้อยกว่า 20 ปี, อายุมากกว่า 35 ปี, ประวัติคนในครอบครัวเคยมีภาวะความดันโลหิตสูง, มีภาวะอ้วน, มีโรคทางอายุรกรรม เช่น ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคไต หรือโรคหลอดเลือดอื่นๆ เป็นต้น
    1.2 การตรวจร่างกาย (Physical examination) พยาบาลควรมีการเฝ้าระวังสัญญาณอันตรายของภาวะ Eclampsia หรือ Preeclampsia เพิ่มเติม ดังนี้
  • การวัดความดันโลหิต
  • การประเมินอาการบวม
  • ประเมินน้ำหนักตัว
  • ตรวจ deep tendon reflex
  • ประเมินภาวะ Hypermagnesemia ในสตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับยา Magnesium sulfate
    1.3 การติดตามผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อใช้ในการวางแผนการพยาบาล
  1. หญิงตั้งครรภ์ได้รับการตรวจวินิจฉัยและการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
  1. มีการส่งเสริมให้ความรู้ตั้งแต่ระยะแรกของโรคอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ
  1. บทบาทของพยาบาลโดยการเฝ้าระวังความเสี่ยง ได้แก่ การประเมินประวัติสูติกรรมในอดีต ประวัติการตั้งครรภ์ปัจจุบัน ประวัติการเจ็บป่วย ระดับดัชนีมวลกายก่อนการตั้งครรภ์ การเพิ่มของน้ําหนักระหว่างตั้งครรภ์ และค่าความดันโลหิต ให้ความรู้คําแนะนําหญิงตั้งครรภ์ในการปฏิบัติตนเพื่อ ป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ได้แก่ การพักผ่อน อย่างเพียงพอ และการรับประทานอาหารท่ีมีเส้นใย และมีปริมาณแคลเซียมสูง ให้ความรู้คําแนะนําในการปฏิบัติตนเพื่อลดความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ โดยการสังเกตอาการผิดปกติ ได้แก่ อาการปวดศีรษะ จุกแน่นลิ้นปี่ การนับการดิ้นของทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ และการฝากครรภ์ตามนัด เป็นต้น

การให้ความรู้ด้วยวิธี M-E-T-H-O-D ประกอบไปด้วย
M หมายถึง Medication
E หมายถึง Environment
T หมายถึง Treatment
H หมายถึง Health
O หมายถึง Outpatient referral
D หมายถึง Diet

ผลการวิจัย : พบว่าสตรีตั้งครรภ์กลุ่มอายุที่น้อยกว่า 19 ปีมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น 3.52 เท่าเมื่อเทียบกับสตรีตั้งครรภ์กลุ่มอายุ 20-35 ปี พบว่าสตรีตั้งครรภ์อายุน้อยมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงถึง 1.73 เท่า การตั้งครรภ์ที่อายุน้อยเชื่อว่าเกิดจากการที่ trophoblastic เข้าสู่เยื่อบุโพรงมดลูกและการเกิดปฏิกิริยาของมารดาต่อ trophoblastic ความล้มเหลวของการบุกรุกปกติของ cell trophoblastic นำไปสู่การปรับตัวผิดปกติของหลอดเลือด ซึ่งสัมพันธ์กับสาเหตุการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ สำหรับอายุที่มากกว่า 35 ปีขึ้นไปเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้น 4.88 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุ 20-35 ปี พบว่าสตรีตั้งครรภ์ที่อายุมากมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหติสูง 1.84 เท่า ทั้งนี้ เนื่องจากว่าสตรีตั้งครรภ์ที่อายุมากขึ้นจะมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติรวมถึงการเสื่อมของหลอดเลือด

กลุ่มควบคุม ได้รับกิจกรรมโรงเรียนพ่อ แม่ในการฝากครรภ์คร้ังแรก อายุครรภ์ท่ีสัปดาห์ 28 และหลังหญิงตั้งครรภ์คลอดบุตร และกลุ่มทดลอง ได้รับกิจกรรมโรงเรียนพ่อแม่ร่วมกับวิธี M-E-T-H-O-D ในการฝากครรภ์ครั้งแรก อายุครรภ์ที่สัปดาห์ 28 และหลังหญิงตั้งครรภ์คลอดบุตร

บทบาทพยาบาลในระยะคลอด
พิจารณาให้คลอดจะพิจารณาเมื่ออายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ขึ้นไป มีเป้าหมายหลักในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Preeclampsia 2 ประการคือ

  1. ป้องกันภาวะชักและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น HELLP syndrome, ไตวาย, หลอดเลือดแตก ในสมอง หรือ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
  2. ควบคุมและลดความดันโลหิต

บทบาทในการดูแลมารดาระยะหลังคลอด
นัดตรวจติดตาม 6 สัปดาห์ในมารดาระยะหลังคลอด ติดตามประเมินระดับความดันโลหิตและการตรวจหาระดับโปรตีนในปัสสาวะ พยาบาลควรให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การควบคุมน้ำหนัก การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายที่เหมาะสม

หญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มทดลองได้รับข้อมูลข่าวสารที่มีความเฉพาะเจาะจงและไม่ใช่ความรู้แบบทั่วๆ ไป ทําให้หญิงตั้งครรภ์ในกลุ่มทดลองมีความรู้ และเข้าใจที่ตรงจุด ได้รับความรู้เพิ่มเติม และได้รับการทบทวนความรู้ตามวิธีของ M-E-T-H-O-D ท่ี ประกอบไปด้วย สาเหตุ อาการและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาวะโรคความดันโลหิตสูงใน หญิงตั้งครรภ์ ความรุนแรงของภาวะโรคความดัน โลหิตสูง การรับรู้โอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน การรับรู้ประโยชน์ของการรักษาภาวะโรคความดันโลหิตสูง และการรับรู้อุปสรรคในการรักษาภาวะ โรคความดันโลหิตสูง การแนะนําการใช้ยา ข้อควรระวังในการใช้ยา ตลอดจนวิธีการสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายเพื่อป้องกันการเกิดภาวะ แทรกซ้อนต่างๆ การให้ความสําคัญของการมาตรวจตามนัด และการเลือกรับประทานอาหารเหมาะสมกับโรค เพื่อหลีกเลี่ยงหรืองดอาหารท่ีเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

การนําวิธี M-E-T-H-O-D มา ประยุกต์ใช้ในการพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะโลหิตสูง สามารถทําให้ หญิงตั้งครรภ์มีความรู้ในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น มีระดับความดันโลหิต systolic และ diastolic และความรุนแรงของภาวะความดันโลหิตสูงลดลง

การจัดการทางเภสัชวิทยา

การจัดการทางเภสัชวิทยาเป็นหลักสำคัญของการรักษาภาวะความดันโลหิตสูง โดย American Heart Association (2011) แนะนำให้ใช้ยา Aspirin ขนาดน้อยกว่า 81 mg ก่อนตั้งครรภ์ 20 สัปดาห์ เพื่อป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษซึ่งเป็นผลที่ตามมาของความดันโลหิตสูง

แนวทางการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะ Preeclampsia

  1. ประเมินความรู้และให้ความรู้แก่สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเกี่ยวกับภาวะความดันโลหิตสูง
    2.ให้สตรีตั้งครรภ์พักผ่อนอย่างเต็มที่ควรจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมแก่การพัก แนะนำให้พักในท่า นอนตะแคงซ้าย เพื่อช่วยให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกและทารกดีขึ้น
  2. แนะนำการรับประทานอาหารจำกัดเกลือ เพิ่มอาหารกากใย
  3. แนะนำการบันทึกและประเมินภาวะสุขภาพเบื้องตนของตนเองและทารกในครรภ์
  4. แนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการนับการดิ้นของทารก พร้อมกับการจดบันทึก
    6.แนะนำอาการผิดปกติที่ต้องรีบมาโรงพยาบาล
  5. แนะนำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจตามนัด
  6. สตรีตั้งครรภ์มีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ และมี Preterm labor แพทย์อาจพิจารณา ให้ได้รับยากลุ่ม Glucocorticoid เพื่อช่วยเรื่อง Lung maturity ลดการเกิดภาวะ Respiratory distress syndrome

นอกจากนี้สมาคมสูตินรีแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือ The American College of Obstetricians and Gynecologists (ACOG) ยังแนะนำการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดในสตรีที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะ preeclampsia แม้ว่าจะมีผลข้างเคียงจากการใช้ยาก็ตาม แต่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ preeclampsia ดังนั้นจึงแนะนำให้ป้องกันเบื้องต้นด้วยยา Aspirin

งานวิจัย


ดวงตา นวลศิริ. (2563). ผลการพัฒนารูปแบบการดูแลหญิงตั้งครรภ์ตั้งแต่ระยะฝากครรภ์จนถึงระยะหลังคลอดที่มีภาวะความดันโลหิตสูงในโรงพยาบาลจอมทอง. วารสารการส่งเสริมสุขภาพและอยามัยสิ่งแวดล้อมล้านนา, 9(1), 1-15.


นาถสุดา โชติวัฒนากุลชัย, ภารดี ชาวนรินทร์ และ สมฤดี กีรตวนิชเสถียร. (2562). บทบาทของพยาบาลในการดูแลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง. วารสารมหาวิทยาลัยคริสเตียน, 25(4), 112-125.


นิลุบล รุจิรประเสริฐ และ สมพาน ศรีสวัสดิ์. (2563). ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว. วารสารพยาบาลศาสตร์และสุขภาพ, 43(2), 46-54.


Donna Scemons and Leah Spiro. (2018). Management of Chronic and Gestational Hypertension of Pregnancy: A Guide for Primary Care Nurse Practitioners. Bentham Science Publishers

กิจกรรมการพยาบาล Eclampsia

  1. ป้องกันการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และการพลัดตกหกล้มโดยยกไม้ กั้นเตียง
  2. เตรียมยา MgSO4 ถ้าอยู่ในระหว่างการ ชัก แพทย์อาจมีคำสั่ง ให้ได้รับยา MgSO4 2 gm ทางหลอดเลือดดำพยาบาลควรประเมินและดูแลการหายใจ เนื่องจาก MgSO4 และ Valium มีฤทธิ์ในการกดการหายใจ
  3. จัดท่านอนตะแคง
  4. ให้ออกซิเจน Mask 8-12 ลิตร/นาที เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
  5. วัดสัญญาณชีพทุก 15 นาทีจนกว่าสัญญาณชีพจะปกติ
  6. ติดตามอาการปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เจ็บปวดพร่ามัว เจ็บปวดใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา ปฏิกิริยา สะท้อน (Deep tendon reflex) และการกระตุกของกล้ามเนื้อต่ออีก เพราะอาจเกิดอาการชักอีก
  7. ควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในห้องที่เงียบ ใกล้พยาบาล เพื่อลดการกระตุ้นระบบประสาท ซึ่งเสี่ยงต่อการชักซ้ำ

อ้างอิง


คณะอนุกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ. (2563). แนวทางการปฏิบัติของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การดูแลความดันโลหิตสูงในสตรีตั้งครรภ์. สืบค้นเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2564 จาก http://www.rtcog.or.th


รัตนา ด่านปรีชา. (2562). กรณีศึกษาผู้คลอดเฉพาะรายเรื่องการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์แฝดที่มีความดันโลหิตสูงขณะตั้ง ครรภ์ชนิดรุนเเรงเเละผ่าตัดคลอด. วารสารวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า จังหวัดเพชรบุรี,
ค้นเมื่อ 30 พฤศจิกายน 2564 จาก https://he01.tci-thaijo.org/index


สุดา ใจห้าว. (2564). การพยาบาลมารดาที่มีภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากการตั้งครรภ์. เอกสารประกอบการสอน NUR60-343 การผดุงครรภ์และการพยาบาลมารดาทารก2 มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ : นครศรีธรรมราช

การจัดการที่ไม่ใช่เภสัชวิทยา

การจัดการผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์สามารถทำได้อย่างปลอดภัยในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการของภาวะความดันโลหิตสูงที่รุนแรงหรือความก้าวหน้าของภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยการตรวจความดันโลหิตทุกสัปดาห์และการตรวจโปรตีนในปัสสาวะ รวมทั้งการวัดความดันโลหิตที่บ้านสัปดาห์ละสองครั้ง

การจัดการผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงเรื้อรังและขณะตั้งครรภ์จะคล้ายคลึงกันเมื่อไม่มีภาวะครรภ์เป็นพิษร่วมด้วย เช่น กิจกรรมของผู้ป่วยหรือระดับของการออกกำลังกายตามปกติ เนื่องจากการนอนบนเตียงเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากความสามารถในการแข็งตัวของเลือดสูงทางสรีรวิทยาของการตั้งครรภ์ แต่การออกกำลังแบบแอโรบิกเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะจะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนระดับรุนแรง เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง


ACOG แนะนำให้ออกกำลังกายระดับปานกลางเป็นเวลา 30 นาทีเกือบทุกวันใน 1 สัปดาห์ เพื่อ “กระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่จากรกและปรับปรุงการทำงานของเยื่อบุผนังหลอดเลือดของมารดา

ภาวะตกเลือดหลังคลอด หมายถึง การเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มิลลิลิตร ภายหลังการคลอด ทารกทางช่องคลอด หรือการเสียเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 1,000 มิลลิลิตร ภายหลังการคลอดทารกโดยการ ผ่าตัด หรือการสูญเสียเลือด ร้อยละ 1 ของน้ําหนักตัวมารดา หรือความเข้มข้นของเลือด (Hct) ลดลงร้อยละ 10

ภาวะตกเลือดหลังคลอดแบ่งตามระยะเวลาออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

  1. Early or Primary postpartum hemorrhage คือ การตกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
  2. Late or secondary postpartum hemorrhage คือ การตกเลือดหลังจาก 24 ชั่วโมง ไปจนถึง 6 สัปดาห์

กรณีศึกษาเป็นแบบ Early เนื่องจากระยะคลอด รกลอกตัวก่อนกำหนด เสียเลือดรวม 1,200 ml สาเหตุการตกเลือดเกิดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี

  1. วิเคราะห์ผล EFM เชื่อมโยงกับพยาธิสภาพของโรค

การลดลงของ FHR อย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปและกลับ คืนสู่ baseline อย่างช้า ๆ สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของมดลูก โดยจุดตั้งต้นของการลดลงของ FHR จุดต่ำสุดและการกลับคืน สู่ baseline จะเกิดช้ากว่าจุดเริ่มต้นของการหดรัดตัวของ มดลูกจุดสูงสุด และการคลายตัวของมดลูกกลับคืนสู่ baseline ตามลำดับ การลดลงของ FHR จะใช้เวลาจากจุด เริ่มต้นจนถึงจุดต่ำสุดมากกว่าหรือเท่ากับ 30 วินาที