Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ประเภทของงานประพันธ์ประเภท ร้อยกรอง, รูปแบบของคำประพันธ์ไทย,…
ประเภทของงานประพันธ์ประเภท
ร้อยกรอง
:
ร่าย เป็นร้อยกรองที่บังคับคณะ สัมผัส บาง
ชนิดมีการบังคับคำเอกคำโท คณะของร่ายจะ
ไม่มีการกำหนดว่าต้องมีบทละกี่วรรค
จะแต่งยาวเท่าไรก็ได้ แต่ต้องมีสัมผัสทุกวรรค และ
จบลงตามข้อบังคับ แบ่งออกเป็นร่ายสุภาพ
ร่ายดั้น ร่ายยาว ร่ายโบราณ ร่ายคำหลวง
ลิลิต ลิลิตสุภาพ ลิลิตดั้น
กลอน เป็นร้อยกรองที่บังคับสระ สัมผัส และ
เสียงวรรณยุกต์ แต่ไม่บังคับ
เอกโท และครุ ลหุ
เนื่องจากเป็นร้อยกรองที่แต่งง่าย
จึงมีผู้นิยมแต่งมากกว่าร้อยกรอง
ประเภทอื่น ๆ แบ่งออกเป็น กลอนสุภาพ
กลอนสักวา กลอนดอกสร้อย กลอน
เสภา กลอนบทละคร กลอนเพลงยาว
ฉันท์ เป็นร้อยกรองที่มีการบังคับ คำครุ คำ
ลหุ และบังคับคณะและสัมผัสด้วยฉันท์ที่นิยม
แต่ง คือ อินทรวิเชียรฉันท์ วสันตดิลกฉันท์
มาลินีฉันท์ วิชชุมมาลาฉันท์ สัททุลวิกกีฬิต
ฉันท์ และสัทธราฉันท์
โคลง เป็นร้อยกรองที่มีวิธีเรียบเรียงเข้า
คณะโดยกำหนดคำเอก คำโทและสัมผัส โดย
แบ่งออกเป็น 3 ชนิด
โครงดั้น
โครงโบราณ
โครงสุภาพ
กาพย์ เป็นร้อยกรองที่มีระเบียบบังคับคล้ายกับ
ฉันท์ แต่ไม่มีการกำหนดครุลหุ กวีโบราณนิยม
แต่งฉันท์ปนกับกาพย์ ซึ่งเรียกว่า “คำฉันท์”
เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์ สามัคคีเภทคำฉันท์
กาพย์มีหลายชนิด เช่น กาพย์ยานี 11 กาพย์ฉบัง 16
กาพย์ห่อโคลง
ลักษณะบังคับของคำประพันธ์
คณะ / บท คือ จำนวนคำที่กำหนดไว้ในคำ
ประพันธ์แบบต่าง ๆ จะต้องประกอบด้วย พยางค์
คำ วรรค บาท และบท เช่น โคลงสี่สุภาพ กำหนดคณะไว้ว่า บทหนึ่งมีทั้งหมด 30 คำ แบ่งเป็น 4 บาท บาทหนึ่งมี 4 วรรค
2.พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมาหนึ่งครั้ง อาจจะ
มีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
สัมผัส คือ ลักษณะที่บังคับให้ใช้คำคล้องจองกัน
เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดในคำประพันธ์ของไทย คำ
ประพันธ์ทุกชนิดจำเป็นจะต้องมีสัมผัส
สัมผัสนอก คือ คำสัมผัสที่อยู่ระหว่างวรรค
เป็นสัมผัสบังคับ
สัมผัสใน คือ สัมผัสที่อยู่ในวรรคเดียวกัน จะ
มีหรือไม่มีในบทประพันธ์ก็ได้ แต่ถ้ามีจะทำให้บทประพันธ์ไพเราะยิ่งขึ้น สัมผัสในนี้มีทั้งสัมผัสสระ สัมผัสอักษร
สัมผัสสระ คือ คำที่มีรูปสระเดียวกันสัมผัสกัน
สัมผัสอักษร หรือ พยัญชนะ คือ คำที่มีตัว
อักษรตัวเดียวกันหรือออกเสียงใกล้เคียงกัน
4.คำขึ้นต้นหรือคำนำ หมายถึง คำหรือ
ข้อความที่ใช้ขึ้นต้นประเภทกลอนสักวา กลอน
เสภา กลอนบทละคร และกลอนดอกสร้อย
เพื่อต้องการเน้นหรือแยกข้อความออกจากกันเป็นส่วนๆ
คำสร้อย คือ คำที่ใช้เติมท้ายโคลงหรือ
ร่าย เพื่อให้เกิดความไพเราะและมีความหมายชัดเจนขึ้น คำสร้อยมักมีสองพยางค์ เช่น พี่เอย
ฤาพี่ แลนา แม่นา พ่อเฮย ดีฤา
คำเป็น คำตาย
คำตาย คือ คำที่ประสมด้วยสระเสียงสั้นใน
แม่ ก กา ยกเว้น อำ ไอ ใอ เอา
และคำที่สะกดด้วย
แม่กก กด กบ
คำเป็น คือ คำที่ประสมด้วยสระเสียงยาวใน
แม่ ก กา และคำที่สะกดในแม่กง กน กม เกย เกอว
รวมทั้งสระ อำ ไอ ใอ เอา
คำเอก คำโท คือคำที่มีรูปวรรณยุกต์เอกและ
โทอยู่บนคำนั้น ซึ่งถือเป็นบทบังคับในการแต่ง
โคลงทุกแบบ
คำโท คือ คำที่มีรูปวรรณยุกต์โทกำกับอยู่บนคำ
นั้น และถ้ามีการเปลี่ยนรูปวรรณยุกต์เอกกำกับอยู่ให้เป็นวรรณยุกต์โท เพื่อให้คำนั้นเป็นเสียงโท เรียกว่า โทโทษ
คำเอก คือ คำที่มีรูปวรรณยุกต์เอกกำกับอยู่
บนคำนั้น และถ้ามีการเปลี่ยนรูปวรรณยุกต์โทกำกับอยู่ให้เป็นวรรณยุกต์เอกเพื่อให้คำนั้นเป็นเสียงเอก เรียกว่า เอกโทษ
คำครุ คำลหุ คือ คำที่มีเสียงหนักเบาต่างกัน
ซึ่งจำเป็นมากในการแต่งฉันท์
ครุ คือ คำที่มีเสียงยาวหรือหนัก ประสมด้วย
เสียงสระเสียงยาวทุกคำ รวมทั้งพยางค์ที่ผสมกับสระเสียงสั้น คือ อำ ไอ ใอ เอา และตัวสะกดทุกมาตรา
ลหุ คือ พยางค์ที่มีเสียงสั้นหรือเบา ประสมด้วย
สระเสียงสั้นทุกตัวในแม่ ก กา ที่ไม่มีตัวสะกด ยกเว้น อำ ไอ ใอ เอา
รูปแบบของคำประพันธ์ไทย
ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้
เป็นระเบียบตามฉันทลักษณ์ โดยมีข้อกำหนด
บังคับเพื่อให้มีความไพเราะกว่าถ้อยคำธรรมดา
ด.ช.อติสันต์ ดีพอ ม.2/521 43