Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคเบาหวาน Diabetes mellitus (DM) - Coggle Diagram
โรคเบาหวาน Diabetes mellitus (DM)
ลักษณะอาการ
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ป่วยเบาหวานเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมน “อินซูลิน” หรือประสิทธิภาพการทำงานของ “อินซูลิน” ลดลง ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดไปใช้ได้ตามปกติ
โรคเบาหวานสามารถแบ่งออกเป็นชนิดใหญ่ ๆ ได้สองชนิด
โรคเบาหวานชนิดที่ 1 เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย หรือผลิตได้น้อยมาก และมักตรวจพบตั้งแต่วัยเด็ก หรือเริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มักต้องรับการรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน
1.ถ้าผลิตไมjได้เพราะเซลล์เบต้าที่ผลิตถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันของตัวเอง องค์การอนามัยโลก(WHO classification) ให้เป็น เบาหวานชนิดที่ 1 เขียนสนั้ ๆ ว่าDM1
2.ถ้าผลิตไม่ได้เพราะเซลล์เบต้าถุก ทำลายด้วยสาเหตุอื่นเช่น มะเร็ง เหล้า เบียร์ แอลกอฮอลล์แร่เหลก็หรืออะไรอย่างอื่นไปตกตะกอนในตับอ่อนหรือตับอ่อนถกูตัด เช่น เกิดอบุติเหตุWHOให้เป็นเบาหวานอื่นๆ (otherDM)
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานชนิดที่พบมากในผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ในประเทศไทย (ประมาณร้อยละ 95) และผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ทั่วโลก
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้น ตับอ่อนยังคงผลิตอินซูลินได้ แต่อาจผลิตในปริมาณที่ไม่เพียงพอ เพราะอินซูลินที่ผลิตออกมาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
ตับออ่นสามารถผลติอินสุลินได้ดีหรืออาจจะผลิตได้มากกว่าปกติด้วยซ้าแต่อินสุลินไม่สามารถนาน้ำตาลเข้าเซลล์ได้อย่างนี้ พดูได้ว่ามีแต่ก่็ใช้ไม่ได้เสมือนหนึ่งว่าขาดกลไกแบบนี้ WHO จัด ให้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 (type II diabetes mellitus)
แล้วทำไมร่างกายจึงใชน้ำตาลไม่ได้
เราใช้น้ำตาลที่กินจากอาหารเพื่อทาให้เกิดพลังงานน้ำตาลที่กลา่วถึงนี้คือกูลโคสไม่ว่าเราจะ อะไรเป็นอาหาร กินแป้ง กินเนื้อสัตว์ กินไขมันผลไม้ หรือผักในที่สุดมัน จะต้องถูกย่อยให้เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดคือน้ำตาลกูลโคสก่อนเสมอ
แล้วกูลโคสตัวนี้จึงเข้าสู่ขั้นตอนแรกของขบวนการที่ทาให้เกิดการเผาผลาญที่เรียกว่าglucolysisมีทั้งหมด10 ขั้นตอนย่อยขบวนนี้ต้องเกิดขึ้นภายในเซลล์การนำกูลโคสเข้าเซลล์และขั้นตอนที่glucolysisขั้นที่ fructose6phosphate เปลี่ยนเป็นfrucse ขั้นตอนนั้นต้องใช้อินสุลิน
นอกจากนี้ขบวนการต่อไปคือสารpyruvateเข้าสู่krebcycleเพื่อให้ได้พลังงานATPยังมีอีกเอ็นไซม์สาคัญpyruvatedehydroginase kinase ที่ต้องใช้อินสุลินกระตุ้นอีกด้วย
เมื่อกลูโคสในเลือดเข้าเซลล์ไม่ได้
เมื่อกลูโคสในเลือดเข้าเซลล์ก็ไม่ได้ถ้าเข้าไปก็ไม่สามารถผ่านเข้า สู่ขบวนการglucolysisกลายเป็นpyruvateไม่ได้
ถ้าแม้บางส่วนจะสามารถผ่านเข้าไปเป็นpyruvateได้ใน กรณีเบาหวานชนิดที่2อินสุลินมีอยู่แต่ออกฤทธ์ิได้ไม่ด่ีเอนไซม์ที่ต้องใช้เปล่ียน pyruvate เป็น acetyl CoA ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพราะต้องใช้อินสุลินในขั้นตอนนี้อีกเช่นกัน
อาการที่สำคัญ
ปัสสาวะบ่อยและมาก ปัสสาวะกลางคืน
คอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำมาก
หิวบ่อย รับประทานจุแต่น้ำหนักลดลง และมีอาการอ่อนเพลีย
ถ้าเป็นแผลจะหายยาก มีการติดเชื้อตามผิวหนังบ่อย
ติดเชื้อรา โดยเฉพาะบริเวณช่องคลอด
ตาพร่ามัว
ชาปลายมือ ปลายเท้า
การตรวจ
การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาช่วงอดอาหาร
การเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมา (Fasting plasma glucose test: FPG) เป็นการตรวจอันดับแรกๆ สำหรับการตรวจเบาหวาน
ค่าระดับน้ำตาลที่ปกติจะอยู่ระหว่าง 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร (mg/dL)
ค่าระดับน้ำตาลที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานจะอยู่ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ค่าระดับน้ำตาลที่อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเบาหวานคือ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป
บางกรณีที่ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงถึง 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่มีปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน แพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจเบาหวานรายการอื่นๆ เพิ่มเติม
การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาช่วงเวลาปกติ
การตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมาช่วงเวลาปกติ (Casual plasma glucose) เป็นการตรวจเบาหวานโดยวัดระดับน้ำตาลในเลือดตอนไหนก็ได้โดยไม่ต้องอดอาหาร หรือรอเวลาหลังจากอาหารมื้อสุดท้าย 8 ชั่วโมงเหมือนการตรวจแบบแรกระดับน้ำตาลกลูโคสในการตรวจประเภทนี้ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากมากกว่านี้คุณอาจมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน
การตรวจน้ำตาลสะสมในเลือดฮีโมโกลบิน
การตรวจฮีโมโกลบิน (Hemoglobin A1c: HbA1c) เป็นหนึ่งในการตรวจเลือดที่สำคัญสำหรับติดตามและวินิจัยโรคเบาหวานการตรวจเบาหวานแบบนี้เป็นการวัดค่าเฉลี่ยของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในช่วง 6-12 สัปดาห์ที่ผ่านมา ว่ายา อาหาร และพฤติกรรมของคุณสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้หรือไม่ เนื่องจากอายุขัยเฉลี่ยของเซลล์เม็ดเลือดจะอยู่ที่ประมาณ 3 เดือนหากระดับน้ำตาลยังไม่ลดลงหรือคุมไม่อยู่ แพทย์อาจทำการปรับยาให้ การตรวจนี้ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร ผลลัพธ์ของการตรวจฮีโมโกลบินจะถูกตีค่าออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนี้
ผลออกมาน้อยกว่า 5.7% ถือว่าปกติ
ผลออกมาอยู่ระหว่าง 5.7-6.4% ถือว่าเสี่ยงเป็นเบาหวาน
ผลออกมามากกว่าหรือเท่ากับ 6.5% อาจถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
แต่การทดสอบนี้อาจให้ผลคลาดเคลื่อนได้ในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ จึงอาจต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันผล
การทดสอบความทนต่อกลูโคส
การทดสอบความทนต่อกลูโคส (The oral glucose tolerance test: OGTT) เป็นวิธีตรวจที่มักใช้กับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ในการวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์นอกจากนี้อาจใช้เพื่อตรวจยืนยันผลสำหรับผู้ที่ตรวจด้วยวิธีข้างต้นแล้วระดับน้ำตาลปกติ แต่แพทย์ยังลงความเห็นว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 อยู่ วิธีนี้จะแตกต่างจากวิธีข้างต้นเล็กน้อย โดยแพทย์จะตรวจระดับน้ำตาลในเลือดก่อน จากนั้นจะให้คุณดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลประมาณ 100 กรัม เมื่อผ่านไป 2 ชั่วโมงจะทำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอีกครั้งเพื่อดูว่าน้ำตาลในเลือดสูงมากแค่ไหน เกณฑ์การวัดผลอาจมีดังนี้ ผลออกมาน้อยกว่า 140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือว่าปกติ
ผลออกมาอยู่ระหว่าง 140-199 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ถือว่าเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ผลออกมามากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน
ตรวจปัสสาวะ
การตรวจปัสสาวะ มักไม่ใช่วิธีการหลักในการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคเบาหวาน แต่แพทย์อาจขอให้ตรวจได้หากสงสัยว่าคุณอาจเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 โดยปกติร่างกายจะใช้กลูโคสเป็นพลังงานให้กับกล้ามเนื้อ แต่ในผู้ที่เป็นเบาหวานจะขาดอินซูลินในการดึงเอากลูโคสในเลือดเข้าสู่กล้ามเนื้อเพื่อเป็นพลังงาน เมื่อกล้ามเนื้อไม่มีพลังงานจากกลูโคสก็จะเริ่มสลายไขมันสะสมเพื่อใช้เป็นพลังงานแทนกระบวนการสลายไขมันนี้ทำให้เกิด คีโตน (Ketones) ขึ้น และสามารถตรวจพบได้ในปัสสาวะ แม้คีโตนจะสามารถพบได้บ้างในภาวะปกติ แต่ส่วนมากจะพบได้น้อยหรืออาจไม่พบเลย
เบาหวานมี 4 ชนิด
เบาหวานชนิดที่ 1 (type I diabetes mellitus)
เป็นชนิดที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงและอันตรายสูงมักพบใน เด็กและคนอายต่ำากว่ า25ปีแต่ก็อาจพบในคนสูงอายุได้บ้างตับอ่อนของผู้ป่วยโดยเกิดจากภมูิต้านทานของร่างกายทำลายเซลล์ซึ่งสร้างอินซูลิน ในส่วนของตับอ่อนทำให้ร่างกายหยุดสร้างอินซูลิน หรือสร้างได้ น้อยมาก ดังที่เรียกว่าโรคภูมิต้านทานตัวเอง หรือ ออโตอิมมูน (autoimmune)ชนิดนี้จะ ดงนั้นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1จึงจำเป็นต้องฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมน้ำตาลในเลือดระยะยาวและถ้าเป็นรุนแรงจะมีการคั่ง
ของสารคีโตน(ketones)สารนี้จะเป็นพิษต่อระบบประสาททำให้หมดสติถงึตายได้สร้างอินซูลินไม่ได้เลยหรือได้น้อยมาก
เบาหวานชนิดที่ 2 (type II diabetes mellitus)
เป็นเบาหวานชนิดที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่มีความรุนแรงน้อยกว่าประเภทแรก มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปแต่ก็อาจพบในเด็กหรือวัยหนุ่ม สาวได้บ้าง สาเหตุที่แท้จริงนั้นยังไม่ทราบชัดเจนแต่มีส่วนเกี่ยวกับพันธุกรรม นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับภาวะน้ำหนักตัวมากและขาดการออกาลังกายมีลูกดกอีกทั้งวัยที่เพิ่มขึ้นหรือเซลล์ตับอ่อนของผู้ป่วยยังคงมีการสร้างอินซูลินแต่ทำงานไม่เป็นปกติเนื่องจากมีภาวะดื้ออินซูลินทำให้เซลล์ที่สร้างอินซูลินค่อยค่อยถูกทำลายไป
ภาวะด้ืออินซูลิน
เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจากภาวะดอื้อินซูลิน
อาการที่บ่งบอกถึงภาวะดื้ออินซูลิน ได้แก่ น้ำหนักเกินมีถุงน้ำรังไข่หรือรอยปื้นดำที่ผิวหนงัที่เรียกว่า acanthosis Nigerians
อะแคนโทสสินิกิรแคนเป็นปื้นน้ำตาลอ่อนจนถึงดำที่บริเวณคอ ข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ มัก พบในคน อ้วน รับประทานอาหารหวานหรือจาพวกแป้ง ปริมาณมากซึ่งบ่งบอกว่าอาจมีความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานในอนาคต
เบาหวานที่เกิดขึ้นขณะตั้งตรรภ์
เบาหวานพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2ใน5 ของหญิงที่เป็นเบาหวานอยู่ในวัยเจริญพันธ์ุ(ประมาณ60ล้านคนทั่วโลก) IDFสมาพันธ์เบาหวานนานาชาติประมาณว่ามีจำนวนถึง 20.9 ล้านคน หรือ16.2%ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะน้ำตาลสูงในเลือด (ค.ศ.2015)
โดย 85.1%วินิจฉยัเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ (gestational diabetes) , 7.4% เป็นเบาหวานชนิดอื่นที่ตรวจพบตอนตั้งครรภ์ 1 ใน 7 ทารกคลอดจากแม่ที่เบาหวานระหว่างตงั้ครรภ์
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดเบาหวานในอนาคตของหญิงที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ้
หญิงที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานในอนาคต 8.4% (ใน8ปี) เมื่อ เทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่เป็นเบาหวาน 3.3%
จากการศึกษา retrospective, observational, cohort study รวบรวมหญิงตั้งครรภ์ทั้งสิ้น 53,109 ราย จาก National Health Screening Examination through the National Health Insurance Corporation ระหว่างปี 2002 ถึง 2003 และคลอดบุตรคนแรกในปี 2004 การศึกษาติดตามนานถึง ปี 2012.
พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดเบาหวานในอนาคต ของหญิงที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่ มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน อ้วนตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ น้้าตาลก่อนอาหารเช้าสูง คลอเลสเตอรอลใน เลือดสูง และประวัติเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์มาก่อน
ดังนั้น หากเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ควรลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานในอนาคต โดยการลด ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ข้างต้น เช่น ลดน้้าหนัก ควบคุมอาหาร ลดน้้าตาลและไขมันในเลือด
เบาหวานตั้งครรภได้ไหม
1.ควรคมุนา้ตาลให้ปกติโดยรักษาระดับให้น้ำตาลสะสม(HbA1c)น้อยกว่า หรือเท่ากับ 6.5 เพื่อลดโอกาสการเกิดเด็กพิการในครรภ์ เช่น หัวเล็ก หัวใจพิการ
2.ตรวจเบาหวานขึ้นตาและรักษาให้ดีก่อน
รับประทานวิตามิน folic อย่างน้อย 400ไมโครกรัม ต่อวัน
ระวังยาที่ห้ามรับประทานตอนตั้งครรภ์ เช่น ยาลดความดันกลมุ่ ACEI, ARBและยาลดไขมันกลมุ่ statin
เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์เสี่ยงเบาหวานในอนาคต
หญิงที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์โดยส่วนใหญ่มักจะหายจากเบาหวานหลังคลอด ย่างไรก็ดี มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 50-60%ดังนั้นหลังคลอดแล้วควรออกกาลังลดน้ำหนักคุมอาหารและตรวจเช็คเป็นระยะเฝ้าระวังเบาหวานทุก 1-3 ปีจนตลอดชีวิต
เบาหวานที่มีสาเหตุเฉพาะ(Other specific types of diabetes)
โรคของตับอ่อนผ่าตัดตับอ่อนหรือตับอ่อนอักเสบ
ยีนที่ควบคุมการทำงานของตับอ่อนผิดปกติ(monogenic defect of pancreatic
beta cell) เช่น maturity-onset diabetes of the young (MODY)
ความผิดปกติของยีนที่ควบคุมการทำงานของอินซูลิน
โรคต่อมไร้ท่ออื่นๆเช่นเนื้องอกต่อมหมวกตายหรือเนื้องอกต่อมใต้สมองชนิดที่ผลิตฮอร์โมนมากผิดปกติ โรคที่มีความผิดปกติของโครโมโซมโรคที่มีความผิดปกติของอิ่มมูลยาหรือสารเคมีบางชนิดที่ทำให้การหลั่งอินซูลินจากตับอ่อน
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน
ภาวะท่ีร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจมีสาเหตุจากยาท่ีใช้รักษาเบาหวานมากเกินไป หรือ ตับไตทางานผิดปกติทาให้การกำจัดยาออกจากร่างกายลดลงรับประทานอาหารน้อยกว่าปกติ หรือรับประทานอาหารผิดเวลา(ช้ากว่าปกติ)การออกกาลังกายมากเกินไปถ้าระดับน้ำตาลต่าอาจรู้สึก หิวมือสั่น ใจสั่นเหงื่อออกมาก มึนงง หากมีอาการเหล่านี้ต้องรีบให้น้ำตาล เช่น น้ำหวาน ลูกอม หากระดับน้ำตาลต่ำมากอาจหมดสติ ชักเกร็ง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล
ภาวะที่ระดับน้ำตาลสูงมาก มักพบในผู้ป่วยที่ควบคุม น้ำตาลได้ไม่ดี ไม่กินยาตามกาหนด ผู้ป่วยอาจกระหายน้ำมากปัสสาวะมากอ่อนเพลียน้ำหนักลดบางครั้งมีอาการชักกระตุกซึมหมดสติซึ่งต้องนำส่งโรงพยาบาลเพื่อลดระดับน้ำตาลลง การติดเชื้อผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ดี มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายที่พบบ่อย ได้แก่ วัณ โรคปอด การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อรา
ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรัง
ผู้ป่วยเบาหวานมีภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังที่สาคัญและเป็นอันตราย เช่นโรคเส้นประสาท โรคไตและโรคจอตา มีความเสี่ยง มากขนึ้ต่อโรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด เช่น การเกิดโรคหัวใจหรือมีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดในสมองซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญ ของการของการเสียชีวิตในผู้ป่วยเบาหวานการมีหลอดเลือดตีบที่เท้าและทาให้เกิดเนื้อตายทำให้ต้องตัดนิ้วเท้าหรืออาจต้องตัดขาทิ้ง สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานคือ ต้องใส่ใจดูสุขภาพตนเองต้องคุมระดับ น้ำตาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมหมั่นดูแลเท้าไม่ให้เกิดแผลหากมีแผลต้องดแูลรักษาด้วยความระมัดระวังมากกว่าคนทั่วไปหากขาดการดูแลอาจทาให้ แผลลุกลามและเป็นปัญหามากขึ้นในผ้ปู่วยที่เป็นเบาหวานนานๆอาจเกิดความผิดปกติที่ตาและอาจทาให้การมองเห็น แย่ลงจนถึงขั้นตาบอดนอกจากนี้โรคเบาหวานยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติของไต ไตทางานได้น้อยลงจนอาจ เกิดเป็นไตวายและเสียชีวิตได้จะเห็นว่าผลเสียที่เกิดขนึ้จากการป่วยเบาหวานที่เรื้อรังนั้นมีจำนวนมากหากสามารถดูแล ตัวเองไม่ให้เกิดโรคเบาหวานหรือหากเป็นเบาหวานแล้วหมั่นดูแลระมัดระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆไมให้รุนแรงขึ้นก็จะเกิดผลดีต่อทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
ภาวะแทรกซ้อนทางสายตา (Diabetic retinopathy) เกิดจากการที่น้ำตาลเข้าไปใน endothelium รองหลอดเลือดเล็ก ๆ ในลูกตาทําให้หลอดเลือดเหล่านี้มีการสร้างไกลโคโปรตีนซึ่งจะถูกขนย้ายออกมาเป็น Basement membrane มากขึ้นทําให้ Basement membrane หนา แต่เปราะหลอดเลือดเหล่านี้จะฉีกขาดได้ง่ายเลือดและสารบางอย่างที่อยู่ในเลือดจะรั่วออกมาและมีส่วนทำให้ Macula บวมซึ่งจะทําให้เกิด Blurred vision (ตาพร่ามัว) หลอดเลือดที่ฉีกขาดจะสร้างแขนงของหลอดเลือดใหม่ออกมามากมายจนบดบังแสงที่มาตกกระทบยัง Retina ทําให้การมองเห็นของผู้ป่วยแย่ลงตาหรือจอตาเสื่อมหรือมองเห็นจุดดำลอยไปมาและอาจจะทําให้ตาบอดได้ในที่สุด
ภาวะแทรกซ้อนทางไต (Diabetic nephropathy) ไตมักจะเสื่อมจนเกิดภาวะไตวายพยาธิสภาพของหลอดเลือดเล็ก ๆ ที่ Glomeruli จะทําให้ Nephron ยอมให้ albumin รั่วออกไปกับ filtrate ได้ Proximal tubule จึงต้องรับภาระในการดูดกลับสารมากขึ้นซึ่งถ้าเป็นนาน ๆ ก็จะทำให้เกิด Renal failure ได้ซึ่งผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตภายใน 3 ปีนับจากแรกเริ่มมีอาการ
ภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท (Diabetic neuropathy) •เบาหวานจะทำให้หลอดเลือดเล็ก ๆ ที่มาเลี้ยงเส้นประสาทบริเวณปลายมือปลายเท้าเกิดพยาธิสภาพก็จะทําให้เส้นประสาทนั้นไม่สามารถนำความรู้สึกต่อไปได้เช่นรู้สึกชาหรือปวดแสบปวดร้อนตามปลายมือเมื่อผู้ป่วยมีแผลผู้ป่วยก็จะไม่รู้ตัวและไม่ดูแลแผลดังกล่าวประกอบกับเลือดผู้ป่วยมีน้ำตาลสูงจึงเป็นอาหารอย่างดีให้กับเหล่าเชื้อโรคและแล้วแผลก็จะเน่าและนำไปสู่ Amputation ในที่สุดในผู้ชายอาจมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (impotence)
โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary vascular dieses) เบาหวานเป็นตัวการที่จะเร่งให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดทั่วร่างกายและเมื่อหลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจเสื่อมสภาพจากเบาหวานประกอบกับการมีไขมันในเลือดสูงก็จะส่งผลให้มีการตีบของหลอดเลือดหัวใจทําให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด แต่หากหลอดเลือดเกิดอุดตันก็จะเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายในผู้ป่วยเบาหวานบางรายกล้ามเนื้อหัวใจมีการทำงานน้อยกว่าปกติคือมีการบีบตัวน้อยกว่าปกติอันเนื่องมาจากเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติจากเบาหวานซึ่งจะทำการรักษาได้ยากการรักษาที่ดีที่สุดคือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจปัญหาที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งของผู้เป็นเบาหวานคือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจจะไม่แสดงอาการผิดปกติซึ่งจะบ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจให้เห็นก่อนเช่นอาการเจ็บหน้าอกอันเป็นอาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคหัวใจทั่วไปดังนั้นผู้เป็นเบาหวานบางรายอาจจะแสดงอาการครั้งแรกด้วยอาการที่รุนแรงเช่นกล้ามเนื้อหัวใจตายหรือหัวใจล้มเหลวทำให้แพทย์วินิจฉัยโรคได้ช้ากว่าปกติซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
โรคหลอดเลือดสมอง (Cerebrovascular disease) ในผู้เป็นเบาหวานจะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดอัมพาตชนิดหลอดเลือดตีบได้สูงเพราะเบาหวานทําให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งได้ง่ายโดยจะมีหลอดเลือดแข็งทั้งร่างกายและถ้าเป็นที่หลอดเลือดของสมองก็จะเกิดอัมพาตโดยอัตราเสี่ยงของผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะมีโอกาสเป็นอัมพาตได้สูงกว่าผู้ป่วยปกติ 2-4 เท่าอาการเบื้องต้นสังเกตได้จากกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกอย่างทันทีทันใดหรือเป็นครั้งคราวใบหน้าชาครึ่งซีกใดซีกหนึ่งพูดกระตุกกระตักสับสนหรือพูดไม่ได้เป็นครั้งคราวตาพร่าหรือมืดมองไม่เห็นไปชั่วครู่เห็นแสงผิดปกติวิงเวียนเดินเซไม่สามารถทรงตัวได้กลืนอาหารแล้วสำลักบ่อยๆมีอาการปวดศรีษะอย่างรุนแรงโดยอาการปวดมักจะเกิดในขณะที่เคร่งเครียดหรือมีอารมณ์รุนแรง
การป้องกันการเป็นเบาหวาน
ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติและแก้ไขปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ อันจะก่อให้เกิดโรคเบาหวาน
ควบคุมโภชนาการให้มีความสมดุลทั้งในด้านโภชนาการการออกกาลังกายรวมไปจนถึงการใช้ยารักษาโรค
ควรตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอโดยปรึกษาแพทย์ว่าควรตรวจเช็คเมื่อใดและระยะเวลาห่างในการตรวจที่เหมาะสม
ยาบางชนิดหรือยาสมุนไพรอาจมีผลต่อการควบคุมน้ำตาลในเลือดจะต้องปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยาหรือสมุนไพรเหล่านี้