Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กลุ่มที่ 1 พื้นฐานนาฏศิลป์ไทย, กำเนิดมาจาก :<3:, นายนฤพน ด้วงวิเศษ…
กลุ่มที่ 1
พื้นฐานนาฏศิลป์ไทย
ความหมาย :pencil2:
ศิลปะการแสดงประกอบดนตรี หรือความรู้แบบแผนของการฟ้อนรำ ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ความเชื่อ หรือเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ให้ความบันเทิง อันโน้มน้าวอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมให้คล้อยตาม
นาฏศิลป์ มาจากคำว่า “นาฏ” กับคำว่า “ศิลปะ”
ศิลปะ คือ การแสดงออกมาให้ปรากฏขึ้นอย่างงดงาม น่าพึงชมก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ
นาฏ คือ การร่ายรำและการเคลื่อนไหวไปมา
📍แหล่งอ้างอิงที่มา📍
ประดิษฐ์ อินทนิล.(2536).ความหมายนาฏศิลป์
ที่มา: เเหล่งที่มา:
http://www.banramthai.com
[สืบค้นเมื่อ 27/11/64]
ศิลปะประเภทนี้ต้องอาศัยการบรรเลงดนตรี และการขับร้องเข้าร่วมด้วย หรือเรียกว่า ศิลปะของการร้องรำทำเพลง
การร่ายรำนี้ต้องอาศัยเครื่องดนตรีและการขับร้อง นาฏศิลป์ถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง และเป็นสาขาหนึ่งของศิลปะสาขาวิจิตรศิลป์นาฏศิลป์ถือเป็นแหล่งรวมศิลปะและการแสดงไว้ด้วยกัน
รูปแบบ :!?:
การแสดงนาฏศิลป์ เป็นศิลปะการแสดงท่าทางการร่ายรำต่าง ๆโดยใช้ดนตรีและการขับร้องประกอบการร่ายรำได้แก่ ระบำ รำ ฟ้อน ละคร โขน เป็นต้น
๑. ระบำ หมายถึง การแสดงท่าร่ายรำที่พร้อมกันเป็นหมู่เป็นชุด เช่น ระบำดาวดึงส์ ระบำกฤดาภินิหาร เป็นต้น
๓. รำ หมายถึง ศิลปะการร่ายรำด้วยผู้แสดงคนเดียว หรือหลายคน เช่น รำแม่บท รำสีนวล รำฉุยฉาย รำโคมรำอาวุธ เป็นต้น
๒. ฟ้อน หมายถึง ศิลปะการร่ายรำแบบพื้นเมืองของภาคเหนือ ลีลาการร่ายรำค่อนข้างช้า เช่นฟ้อนเล็บ ฟ้อนเงี้ยว เป็นต้น
๕. ละคร หมายถึง ศิลปะการแสดงที่ผูกเป็นเรื่องราวมีเหตุการณ์เกี่ยวโยงเป็นตอน ๆ ลักษณะการแสดงประกอบด้วยบทร้อง ท่าทาง การร่ายรำ บทเจรจาและนาฏศิลป์ด้านอื่น ๆ มีการจัดฉากให้สอดคล้องกับบทละคร ละครมีหลายชนิด เช่นละครนอก ละครใน ละครดึกดำบรรพ์ ละครพันทาง ละครร้อง ละครพูด เป็นต้น
๔. โขน เป็นศิลปะการแสดงนาฏศิลป์ของไทยแบบหนึ่ง มีทั้งการรำและการเต้นที่ออกท่าทางเข้าดนตรี ผู้แสดงถูกสมมติให้เป็นยักษ์ ตัวลิง มนุษย์ (ตัวพระ – ตัวนาง) และเทวดาโดยกรสวมหน้าซึ่งเรียกว่า หัวโขน (ปัจจุบันผู้แสดงเป็นมนุษย์และเทวดา บางพวกไม่สวมหน้า) ผู้แสดงไม่ต้องร้องหรือเจรจาเองผู้แสดงทำท่าทางตามบทพากย์และคำร้องซึ่งเรียกว่า ตีบท โขนมีหลายประเภท เช่น โขนกลางแปลง โขนโรงนอก หรือโขนนั่งราว โขนโรงใน โขนหน้าจอ โขนฉาก เป็นต้น
📍แหล่งที่มา 📍
ครูมัลลิกา สุทธิสถิตย์ (2549) รูปแบบของการแสดงนาฏศิลป์
ที่มา:
http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/chanthaburi/
[สืบค้น เมื่อ 27/11/64]
บุคคลสำคัญ :silhouette:
ท่านผู้หญิงแผ้ว สนิทวงศ์เสนี
มีนามเดิมว่า แผ้ว สุทธิบูรณ์ เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๔๔๖ เมื่ออายุ ๘ ขวบ ได้ถวายตัวในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา และได้รับการฝึกหัดนาฏศิลป์ กับครูอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิในราชสำนัก
ผลงานเกี่ยวกับการแสดงศิลปะนาฏกรรม
จัดต้อนรับเป็นเกียรติแก่แขกผู้มาเยือนประเทศไทย เป็นผู้คัดเลือกตัวละครให้เหมาะสมตามบทบาทในการแสดงต่างๆ เป็นผู้คัดเลือกการแสดงวางตัวศิลปินผู้แสดงต่างประเทศเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี
ครูลมุล ยมะคุปต์
นางลมุล ยมะคุปต์ หรืออีกชื่อหนึ่งที่บรรดาศิษย์ทั้งหลายจะขนานนามให้ท่านด้วยความเคารพรักอย่างยิ่งว่า “คุณแม่ลมุล”เกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2448 ณ จังหวัดน่าน
ผลงานด้านการแสดง
บทบาทที่ท่าน เคยแสดง เช่น พระสังข์ เขยเล็ก เจ้าเงาะ ฮเนา ซมพลา พระวิษณุกรรม พระอภัยมณี
ผลงานด้านการประดิษฐ์ท่ารำ
ที่ประดิษฐ์ให้กรมศิลปากรในฐานะผู้เชี่ยวชาญ เช่น รำแม่บทใหญ่ รำซัดชาตรี รำวงมาตรฐาน รำเถิดเทิง รำกิ่งไม้เงินทอง ระบำกลอง ระบำฉิ่ง
📍แหล่งอ้างอิงที่มา📍
สิทธิภานารีรัตน์.๒๕๖๔(ออนไลน์). บุคคลสำคัญในวงการนาฏศิลป์ของไทยที่มา:
https://sites.google.com/site/sittipanareerat422
[สืบค้นเมื่อ 27/11/64]
ครูเฉลย ศุขะวณิช
คุณครูเฉลย ศุขะวณิช เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๔๗ เป็นผู้เชี่ยวชาญการสอนและออกแบบนาฏศิลป์ไทย แห่งวิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร
ผลงานด้านการประดิษฐ์ท่ารำและระบำ
ระบำกินนร ระบำโบราณคดี ๔ ชุด คือ ระบำทวารวดี ระบำศรีวิชัย ระบำลพบุรี และเชียงแสน ฟ้อนแคน เป็นต้น
กำเนิดมาจาก :<3:
นาฏศิลป์ไทย เกิดมาจากกิริยาท่าทางซึ่งแสดงออกในทางอารมณ์ของมนุษย์ปุถุชน อากัปกิริยาต่าง ๆ เหล่านี้เป็นมูลเหตุให้ปรมาจารย์ทางศิลปะนำมาปรับปรุงบัญญัติสัดส่วนและกำหนดวิธีการขึ้น จนกลายเป็นท่าฟ้อนรำ โดยวางแบบแผนลีลาท่ารำของมือ เท้า ให้งดงาม รู้จักวิธีเยื้อง ยัก และกล่อมตัว ให้สอดคล้องสัมพันธ์กันจนเกิดเป็นท่ารำขึ้น และมีวิวัฒนาการปรับปรุงมาตามลำดับ จนดูประณีตงดงาม อ่อนช้อยวิจิตรพิสดาร จนถึงขั้นเป็นศิลปะได้
นอกจากนี้ นาฏศิลป์ไทย ยังได้รับอิทธิพลแบบแผนตามแนวคิดจากต่างชาติเข้ามาผสมผสานด้วย เช่น วัฒนธรรมอินเดียเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่เป็นเรื่องของเทพเจ้า และตำนานการฟ้อนรำ โดยผ่านเข้าสู่ประเทศไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม คือ ผ่านชนชาติชวาและเขมร ก่อนที่จะนำมาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบตามเอกลักษณ์ของไทย เช่น ตัวอย่างของเทวรูปศิวะปางนาฏราช ที่สร้างเป็นท่าการร่ายรำของ พระอิศวร ซึ่งมีทั้งหมด 108 ท่า หรือ 108 กรณะ โดยทรงฟ้อนรำครั้งแรกในโลก ณ ตำบลจิทรัมพรัม เมืองมัทราส อินเดียใต้
นาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และยังเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อชีวิตประจำวันและวิถีชีวิตของชาวไทย ไม่ใช่เป็นความบันเทิงเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับศาสนาและกลุ่มสังคมหลายกลุ่ม โดยแท้จริงแล้วนาฏศิลป์ไทยนั้นสามารถที่จะบรรยายลักษณะเฉพาะตัวและยังสามารถที่จะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะของสังคมไทยที่แตกต่างจากที่อื่น ๆ
📍แหล่งอ้างอิงที่มา📍
เรียนนาฏศิลป์กับครูสุนันทา
ที่มา:
https://papookky02.wordpress.com
[สืบค้นเมื่อ 27/11/64]
นายนฤพน ด้วงวิเศษ เลขที่12,นายศิวกร ช่วงวงศ์ไพศาล เลขที่19 สืบค้นหัวข้อ บุคคลสำคัญ
นางสาวอัจฉริยา เอียดเอก เลขที่44 สืบค้นหัวข้อกำเนิดนาฏศิลป์
นางสาวณัฐธิดา มะเส็ง
เลขที่ 38
สืบค้นหัวข้อรูปแบบ
นางสาวศิรดาวดี นำเเก้ว เลขที่ 43
สืบค้นหัวข้อ ความหมาย