การให้บริการเทคโนโลยีคุมกำเนิดการวางแผนครอบครัว
ข้อมูลหญิงตั้งครรภ์
หญิงไทย อายุ 22 ปี มาตรวจสุขภาพหลังคลอด ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการคุมกำเนิด อาชีพ : แม้บ้าน สัญชาติ : ไทย ศาสนา : พุทธ
การปะเมินสภาพทั่วไป
น้ำหนัก 53 กก. ส่วนสูง 160 ซม.BMI 20.70 V/S : T = 36.8 C, P = 92/min, RR = 20/min, BP = 116/72 mmHg
หญิงหลังคลอด NL วันที่ 3 พ.ย. 64 บุตรเพศหญิง น้ำหนัก 2,390 กรัม หลังคลอดแผลฝีเย็บติดดี ไม่มีอาการอักเสบบวมแดง ไม่มีน้ำคาวปลา ทารกรับน้ำนมจากมารดา ตรวจเต้านมทั้ง 2 ข้างไม่พบก้อน หัวนมปกติ น้ำนมไหลดี ไม่มีอาการคัดตึงเต้านม ลูกสามารถเข้าต้าได้ดี น้ำนมมีลักษณะสีขาวใส คลำไม่พบ HF และ LMP หลังคลอดประจำเดือนยังไม่มา
ประวัติการตั้งครรภ์
para 1-2-0-4 Last 2 wks LMP มารดาหลังคลอดยังไม่มา No U/D ปฏิเสธการเจ็บป่วยในอดีตและการเจ็บป่วยร้ายแรงใดๆ ในครอบครัว ประเมิน 2Q ได้ 0 คะแนน ภายใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีประวัติเดินทางหรือสัมผัสกับบุคคลที่มาจากพื้นที่เสี่ยง
สาเหตุที่มารดาหลังคลอดตัดสินใจคุมกำเนิดแบบฝังยาคุมกำเนิด
เนื่องจากต้องการคุมกำเนิดเป็นระยะเวลาที่นานและมีบุตรที่เพียงพอแล้วแต่ไม่พร้อมที่จะทำหมัน
การให้คำแนะนำการคุมกำเนิดแบบฝังยาคุม
ยาฝังคุมกำนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร
ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) ของยาฝังคุมกำเนิดมีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ ทำให้มูกปากมดลูกเหนียวข้น ส่งผลให้เชื้ออสุจิเคลื่อนผ่านเข้าโพรงมดลูกได้ยากขึ้น นอกจากนี้ฮอร์โมนยังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางไม่เหมาะสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน
ยาฝังคุมกำเนิดจะเริ่มออกฤทธิ์เมื่อใด
ยาฝังคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในทันที หากฝังเอาไว้ในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน แต่หากฝังยาเอาไว้ในวันถัดไปหรือวันอื่น ๆ ของรอบประจำเดือน จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลังฝังยาคุมกำเนิด 7 วันขึ้นไป ซึ่งในระหว่างนี้ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ เช่น ใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น
สามารถใช้ยาฝังคุมกำเนิดหลังจากที่คลอดบุตรได้หรือไม่
ผู้ที่คลอดบุตร โดยส่วนใหญ่แนะนำให้ใช้ยาฝังคุมกำเนิดหลังคลอด 3 สัปดาห์ และหากฝังยาคุมกำเนิดก่อนหรือวันที่ 21 หลังจากคลอด จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ในทันที แต่หากฝังยาคุมกำเนิดหลังจากวันที่ 21 หลังจากที่คลอดบุตร อาจจำเป็นต้องใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมเป็นเวลา 7 วัน เช่น ใช้ถุงยางอนามัย หรือฉีดยาคุมกำเนิด เป็นต้น
วิธีฝังยาคุมกำเนิด
ขั้นแรกแพทย์จะทำความสะอาดผิวหนังด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อแล้วฉีดยาชาเฉพาะที่ไปที่บริเวณใต้ท้องแขนที่จะฝังยาเข้าไป
จากนั้นจะใช้เข็มเปิดแผลและสอดใส่แท่งที่มีหลอดยาบรรจุอยู่เข้าไปในเข็ม เมื่อหลอดยาเข้าไปใต้ผิวหนังเรียบร้อยแล้วก็จะนำเข็มและแท่งนำหลอดยาออกมา แล้วทำการปิดแผลด้วยพลาสเตอร์เล็ก ๆ ตามด้วยผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นแพทย์จะให้ยาแก้ปวดกลับไปรับประทานหากมีอาการปวดแผล
เมื่อผ่านไป 24 ชั่วโมง ผู้เข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดสามารถนำผ้าพันแผลออกได้ แต่ยังคงเหลือพลาสเตอร์ปิดแผลเอาไว้และควรดูแลพลาสเตอร์ให้สะอาด เป็นเวลา 3-5 วัน แล้วจึงนำออกได้
ข้อปฏิบัติหลังฝังยาคุม
ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฝังคุมกำเนิด
- ผู้ที่ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อย ๆ หรือเป็นคนขี้ลืม
- ต้องการวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุมกำเนิดได้ในระยะยาว (ต้องการคุมกำเนิดในระยะเวลา 3-5 ปีขึ้นไป)
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจากการคุมกำเนิดรูปแบบอื่น เช่น สตรีที่อยู่ในช่วงกำลังให้นมบุตร (สามารถใช้ได้ถ้าทารกอายุมากกว่า 6 สัปดาห์)
ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำเนิด
- สงสัยว่าตั้งครรภ์หรือยังไม่แน่ใจว่าตั้งครรภ์หรือไม่
- ไม่ชอบการฉีดยาหรือไม่ต้องการให้สิ่งใดมาฝังอยู่ใต้ผิวหนัง หรือกังวลเรื่องการมีประจำเดือนผิดปกติ
- มีปฏิกิริยาไวต่อส่วนประกอบของแท่งบรรจุฮอร์โมน
- ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือตามอวัยวะเพศต่าง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจกระตุ้นให้เลือดออกได้มากขึ้น
- มีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจไปรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือดที่มีหน้าที่ช่วยทำให้เลือดแข็งตัวในภาวะเลือดออกได้
- ผู้ที่สงสัยหรือเป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งเต้านม หรือมีประวัติเคยเป็นมะเร็งเต้านม เนื่องจากยาฝังคุมกำเนิดอาจไปกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งลุกลามแพร่กระจายได้
- ผู้ที่เป็นโรคตับ เนื่องจากผลข้างเคียงของยาฝังอาจส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเพิ่มขึ้นได้
- มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน หรือมีเนื้องอกที่สัมพันธ์กับการใช้โปรเจสโตเจน
เวลาที่เหมาะสมในการฝังยาคุมกำเนิด
ควรรับการฝังยาคุมกำเนิดภายใน 5 วันแรกหลังมีประจำเดือน หรือภายหลังการแท้งบุตรไม่เกิน 1 สัปดาห์ หรือหลังการคลอดบุตรไม่เกิน 4-6 สัปดาห์
หลังฝังยาคุมกำเนิด ควรปิดแผลไว้ประมาณ 3-5 วัน โดยไม่ให้แผลถูกน้ำ และควรมาตรวจหลังจากการฝังยา 7 วัน เพื่อดูความผิดปกติ ในระหว่างนี้ควรหลีกเลี่ยงการถูกกระทบกระแทกบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิด และต้องมาเปลี่ยนยาฝังคุมกำเนิดตามที่แพทย์นัด (ห้ามลืม) ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น มีอาการของการตั้งครรภ์ แผลมีเลือด มีน้ำเหลือง มีหนอง บวมแดง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
เมื่อใดที่ควรนำยาฝังคุมกำเนิดออก
ยาฝังคุมกำเนิดจะมีอายุการใช้งาน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิด ซึ่งเมื่อครบกำหนดก็ควรนำออกแล้วทำการฝังเข้าไปใหม่เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ หรือสำหรับผู้ที่ฝังยาแล้วหากมีอาการปวดไมเกรน อาการของโรคหัวใจหรือโรคหลอดเลือดในสมอง ความดันโลหิตสูง ดีซ่าน หรือเกิดภาวะซึมเศร้า แพทย์อาจแนะนำให้นำยาฝังคุมกำเนิดออก
ขั้นตอนการนำออกใช้เวลาไม่นานเช่นกัน โดยแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณที่ฝังยา จากนั้นจะกรีดแผลขนาดเล็กแล้วดันหลอดยาหรือใช้อุปกรณ์ช่วยคีบหลอดยาออกมาจากรอยแผลที่กรีดเอาไว้ เมื่อนำออกมาได้เรียบร้อยแล้วแพทย์ก็จะทำแผล เป็นอันเสร็จขั้นตอน
ข้อดีและข้อเสียของยาฝังคุมกำเนิด
ข้อดี
- เมื่อฝังยาคุมกำเนิดไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นในการป้องกันการตั้งครรภ์ ตลอดระยะเวลา 3 หรือ 5 ปี (ขึ้นอยู่กับชนิดของยา)
- ไม่ต้องกังวลเรื่องการตั้งครรภ์ หรือปัญหาการลืมรับประทานยาคุมกำเนิด
- หลังจากที่แท้งบุตร ทำแท้ง คลอดบุตร หรือระหว่างที่ให้นมบุตร สามารถฝังยาคุมกำเนิดได้ทันทีและไม่เป็นอันตราย
- ยาฝังคุมกำเนิดไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือการมีเพศสัมพันธ์
- หากต้องการมีบุตรหรือต้องการหยุดใช้ ก็สามารถนำออกได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นยังสามารถมีบุตรได้เร็วกว่าการฉีดยาคุม เนื่องจากฮอร์โมนกระจายออกในปริมาณน้อยและไม่มีการสะสมในร่างกาย
- ไม่ต้องรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ดทุกวัน ซึ่งช่วยลดโอกาสในการลืมรับประทานยาได้
- ในช่วงปีแรกที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิด มีส่วนช่วยลดอาการปวดประจำเดือนและช่วยให้ผู้ที่ประจำเดือนมามากมีประจำเดือนลดลง
- ใช้ได้กับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาคุมกำเนิดแบบเม็ดซึ่งมีเอสโทรเจน (Oestrogen) เป็นส่วนประกอบ
- มีส่วนช่วยยับยั้งการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เพราะยาฝังคุมกำเนิดทำให้เมือกที่คอมดลูก (Cervix) ข้นขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเข้าไปสู่มดลูกได้
ข้อเสีย
- ในขั้นตอนฝังยาหรือนำยาออกจะต้องฉีดยาชาเฉพาะที่
- เมื่อฝังยาฝังคุมกำเนิดอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งเป็นอาการปกติของปีแรกที่ฝังยา
- บางคนอาจมีประจำเดือนที่มากขึ้นหรือมาถี่ขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปีแรกที่เริ่มฝังยา
- บางคนอาจมีประจำเดือนมาไม่ตรงเวลาหรือมาน้อย ซึ่งพบว่า 1 ใน 5 ของผู้ที่ฝังยาคุมกำเนิดจะไม่มีเลือดออกมาเมื่อมีประจำเดือน
- ยาฝังคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually Transmitted Infection: STI) ได้ ดังนั้น เมื่อเพศสัมพันธ์ยังคงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อดังกล่าวอยู่ จึงควรต้องมีการป้องกัน เช่น ใส่ถุงยางอนามัย เป็นต้น
- สำหรับผู้ที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิด หากพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดที่ผิดปกติหรือมีเลือดออกหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ ควรไปพบแพทย์ เพราะบางครั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อซึ่งต้องได้รับการรักษา
ยาชนิดใดที่มีผลกระทบหรือรบกวนการใช้ยาฝังคุมกำเนิด
ยาบางชนิดสามารถทำให้ยาฝังคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพลดลง
- ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาไรฟาบิวติน (Rifabutin) หรือยาไรแฟมพิซิน (Rifampicin)
- ยารักษาโรคเอดส์หรือเอชไอวี (HIV)
- ยารักษาโรคลมชัก (Epilepsy)
หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้ช่วงระยะสั้น ควรใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นเพิ่มเติมนอกเหนือจากยาฝังคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัยหรือฉีดยาคุมกำเนิดในระหว่างหรือหลังจาก 28 วันที่ใช้ยาข้างต้น แต่หากต้องใช้ยาเหล่านี้ในระยะยาว อาจต้องพิจารณาใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากยาเหล่านี้
ก่อนใช้ยาข้างต้นหรือต้องเข้ารับการรักษาใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเสมอว่ากำลังใช้ยาฝังคุมกำเนิด และควรหมั่นสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับแพทย์เพื่อความปลอดภัยในการใช้
ผลข้างเคียงของยาฝังคุมกำเนิด
ผลข้างเคียงที่พบบ่อย
ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะมีเลือดออกทางช่องคลอดเมื่อใด
ผลข้างเคียงอื่น ๆ
- อารมณ์แปรปรวน
- มีภาวะซึมเศร้า
- ปวดศีรษะ
- ปวดท้อง
- คลื่นไส้
- สิวขึ้น
- มีอาการกดเจ็บที่เต้านม
- บวมน้ำ
- บางคนจะพบว่ามีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเพราะยาฝังคุมกำเนิดหรือไม่
- ยาฝังคุมกำเนิดอาจมีปฏิกิริยาต่อยาชนิดอื่น ๆ
ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหยุดไปเองหลังผ่านช่วงเดือนแรกๆ ที่ฝังยาไปแต่หากพบว่ามีอาการต่อไปหรือมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงรวมไปถึงหากพบว่ามีผลข้างเคียงอื่นๆ เกิดขึ้นควรไปพบแพทย์
ยาฝังคุมกำเนิดมีความเสี่ยงอะไรหรือไม่
การฝังยาคุมกำเนิดจะมีความเสี่ยงในขั้นตอนการฝังยาหรือการนำยาออก ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก เพียง 2% ของผู้ที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดเท่านั้น ทั้งยังสามารถรักษาได้ด้วยการทำความสะอาดบริเวณที่ฝังยาคุมกำเนิดและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
มีอีกกรณีที่พบได้ยาก คือ ผู้ที่ตั้งครรภ์ขณะที่ใช้ยาฝังคุมกำเนิดอยู่ โดยจะเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อยให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก
นางสาวพิมพ์ลภัส ภูมิดอนเนาว์ รหัส 62113301055 ชั้นปีที่ 3 รุ่นที่ 37