Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus : GDM) - Coggle Diagram
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus : GDM)
ผลกระทบด้านมารดา
เจ็บคลอดก่อนกำหนด
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
น้ำคร่ำมากกว่าปกติ
ติดเชื้อได้ง่าย
Hypoglycemia
มีโอกาสเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ซ้ำ
แท้ง
Diabetic ketoacidosis
คลอดยาก
มีโอกาสผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องเพิ่มขึ้น
ผลกระทบด้านทารก
ทารกโตช้าในครรภ์
บาดเจ็บจากการคลอดทางช่องคลอด
เพิ่มอัตราการคลอดติดไหล่
อัตราการเกิด RDS สูงขึ้น 5-6 เท่า
ทารกตัวโต
Neonatal hypoglycemia
ทารกเสียชีวิตในครรภ์
Polycythemia
พิการแต่กำเนิด
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์
มีประวัติคลอด: birth defect,DFIU
มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
มีประวัติคลอดบุตร น้ำหนัก > 4000 g
Polyhydramnios
มีประวัติญาติสายตรงเป็นเบาหวาน
มีประวัติเด็กตายไม่ทราบสาเหตุ
BMI > 27-30
เคยมีประวัติได้รับการ Dx: GDM ในครรภ์ก่อน
อายุมากกว่า 30 ปี
การตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด
50 g GCT
ขั้นตอน
เจาะเลือดหลังรับประทานน้ำตาลกลูโคส 50 กรัมที่ 1 ชั่วโมง โดยไม่ต้องงดน้ำและอาหารก่อนการตรวจ
การแปลค่า
Plasma glucose เท่ากับ 140 มก. / ดล. หรือมากกว่าถือว่าผิดปกติ
ถ้าผิดปกติให้ตรวจวินิจฉัยต่อด้วย 100 กรัม OGTT
100 g OGTT
ขั้นตอน
โดยแนะนำให้ผู้ป่วยงดน้ำและอาหารมา ก่อนอย่างน้อย 8-14 ชั่วโมง แล้วเจาะเลือด Fasting blood sugar (FBS) แล้วจึงให้รับประทานาตาลกลูโคส 100 กรัม แล้วจึงเจาะเลือดซ้ำ ที่ 1, 2 และ 3 ชั่วโมงหลังรับประทานน้ำตาล
การแปลค่า
ผิดปกติตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป
ผิดปกติตั้งแต่ 1 ค่าควรนัดมาตรวจตอน 32 สัปดาห์
การควบคุมระดับน้ำตาล
การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
BMI 20-25 kg / m² ควรได้รับพลังงาน 30 กิโลแคลอรี / กก / วัน
BMI 25-34 kg / m² ควรได้รับพลังงาน 25 กิโลแคลอรี / กก / วัน
BMI> 34 kg / m²ควรได้รับพลังงาน 20 กิโลแคลอรี / กก / วัน
การรักษาด้วยอินซูลิน
การให้ Insulin จะผสม intermediate และ short-acting ขนาดโดยทั่วไป 20-30 ยูนิตต่อวัน แต่ปรับเปลี่ยนไปได้ตามความเหมาะสม
Intermediate acting Insulin ที่นิยมใช้คือ NPH โดยใช้ส่วนผสมของ intermediate acting insulin (NPH) และ short acting insulin (RI) ในอัตราส่วน 2:1 แบ่งฉีดวันละ 2 ครั้ง ขนาดของการใช้ในช่วงเริ่มต้นนั้นแตกต่างกันในแต่ละไตรมาส
ไตรมาสแรกใช้ประมาณวันละ 0.7-0.8 ยูนิต / กก. / วัน
ไตรมาสที่สองใช้ประมาณวันละ 0.8-1.0 ยูนิต / กก. / วัน
ไตรมาสที่สามใช้ประมาณวันละ 0.9-1.2 ยูนิต / กก. /วัน
การดูแลรักษา
การให้คำปรึกษาก่อนการตั้งครรภ์
แนะนำให้ควบคุมระดับ HbA1C ให้น้อยกว่าร้อยละ 6
2.ได้รับการให้คำปรึกษาที่เหมาะสมเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและวางแผนการตั้งครรภ์
ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมก่อนตั้งครรภ์คือให้ระดับน้ำตาลก่อนมื้ออาหารอยู่ระห่าง 70-100 มก. / ดล. หลังอาหารน้อยกว่า 140 มก. / ดล. และ 120 มค. / ดล. ที่ 1 ชั่วโมงและ 2 ชั่วโมงตามลำดับ
แนะนำให้กรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวันตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ไปจนถึงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์
การดูแลระหว่างตั้งครรภ์
Class A1 ไม่จําเป็นต้องทดสอบสุขภาพในครรภ์เป็นพิเศษ แต่ควรเริ่มทดสอบเมื่อ 40 สัปดาห์
การพิจารณาให้คลอดถ้าเป็น GDMA1 ไม่จําเป็นต้องรีบให้คลอดหรือเร่งคลอด
กรณีต้องยับยั้งการเจ็บครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการให้ beta-agonist แต่อาจให้ calcium chanelblocker (nifedipine) หรือ magnesium sulfate แทน
เพื่อป้องกันการคลอดยากหรือบาดเจ็บระหว่างคลอดจากทารกตัวโตโดยทั่วไปแล้วถือว่าเมื่ออายุครรภ์ 38 สัปดาห์
ตรวจครรภ์ทุก 1-2 สัปดาห์ ติดตามระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การทดสอบความพร้อมสมบูรณ์ของปอดทารกในครรภ์โรคเบาหวาน
ตรวจติดตามการทำงานของไต การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ระดับ HbA1C
ไตรมาสที่ 3 ตรวจครรภ์ทุก 1 สัปดาห์ เฝ้าระวังภาวะความดันโลหิตสูง การทำงานของไต ตรวจอัลตราชาวด์ ติดตามอัตราการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช่วง 28-32 สัปดาห์
ตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ ด้วย การนับลูกดิ้น ตั้งแต่ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป
การดูแลระยะคลอด
โดยทั่วไปให้คลอดปกติทางช่องคลอด ยกเว้น ถ้าประเมินน้ำหนักทารกได้ตั้งแต่ 4000 กรัม ขึ้นไป สามารถพิจารณาให้ผ่าตัดคลอด
ในรายที่ได้รับอินซูลิน เมื่อเข้าสู่ระยะคลอด ให้งดน้ำและอาหาร และหยุดยาตอนเช้า
ตรวจระดับน้ำตาลก่อนให้สารน้ำ
ตรวจติดตามระดับน้ำตาลทุก 1 ชั่วโมง ให้มีค่าประมาณ 80-120 มก./ดล.
ให้ Regular (short-acting) insulin ถ้าระดับน้ำตาลมากกว่า 120 มก./ดล. โดยให้ในอัตรา 1.25 ยู นิต/ชม. ถ้ามากกว่า 140 มก./ดล. หรือน้อยกว่า 80 มก/ดล. ให้ปรับเพิ่มหรือลดครั้งละ 1 ยูนิต/ชม.
ตรวจสอบการฉีกขาดของแผลฝีเย็บอย่างละเอียด
ประเมินอาการทารกแรกเกิดอย่างใกล้ชิด เช่น การบาดเจ็บจากการคลอด การติดตามค่าระดับน้ำตาล ในเลือด การหายใจ การเกิดภาวะ Hypoglycemia (น้อยกว่า 40 mg/dl)
การดูแลระยะหลังคลอด
GDM ให้หยุดอินซูลินทันทีหลังคลอด
การให้นมบุตร ให้ได้ตามปกติ แต่ควรเพิ่มปริมาณอาหารและพลังงานต่อวันเป็น 500 กิโลแคลลอรี่/วัน
การคุมกำเนิด วิธีการคุมกำเนิด ควรหลีกเลี่ยงชนิดที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูง
ติดตามสุขภาพทารก เช่น ค่าน้ำตาล ค่า Hct ค่าบินลิรูบิน
Overt DM ถ้าเริ่มรับประทานอาหารได้ ให้เริ่มอินซูลินหลังคลอดต่อ
แนะนำให้ตรวจ 75 g OGTT เกณฑ์การวินิจฉัยเบาหวาน คือ FBS > 126 มก/ดล.
เบาหวานที่ได้รับการวินิจฉัยครั้งแรกขณะตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่จะเริ่ม วินิจฉัยได้ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 3 หรือ ช่วง 24-28 สัปดาห์ เป็นความผิดปกติของการเผาผลาญคาโบไฮเดรต ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งตรวจพบเป็นครั้งแรกในขณะตั้งครรภ์ (Cunningham, Leveno, Bloom, Hauth, Rouse & Spong, 2014)