Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

กรณีศึกษา GA 39 wk Congenital syphilis, การเตรียมผู้ป่วยก่อนวางแผนจำหน่าย…

- - - - S : -
        O : มารดาเป็นซิฟิลิส
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบ
        
        VDRL Reactive 1:4
        
        TPHA Reactive
        
        Syphilis Positive 136.6
    - - ซิฟิลิสในสตรีตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์มาก เนื่องจากเชื้อสามารถผ่านรกไปยังทารก สามารถติดต่อไปยังทารกได้ทุกระยะของการตั้งครรภ์ แต่ความรุนแรงของโรคจะขึ้นกับปริมาณเชื้อในกระแสเลือดและระยะของการตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อ ทารกที่ติดเชื้อมักแสดงอาการในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ เช่น ซีด เกร็ดเลือดต่ำ มีน้ำในช่องท้อง หรือบวมน้ำได้ ทารกที่คลอดออกมาอาจมีภาวะตัวเหลือง จุดเลือดออกตามผิวหนัง ต่อมน้ำเหลืองโต เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ ปอดอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โปรตีนรั่วทางไต หรือพบความผิดปกติที่กระดูก ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยทารกรายนี้เป็นซิฟิลิสแต่กำเนิด เนื่องจากมารดาเป็นซิฟิลิส
    - - ผู้ป่วยเด็กไม่ติดเชื้อซิฟิลิส
    - - ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อซิฟิลิส คือ ผื่นลอกที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ซีด เหลือง ตับม้ามโต
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
        
        BT = 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
        
        PR = 100-150 bpm
        
        RR = 35-55 bpm
        
        BP = 65-85/45-55 mmHg
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมีค่าปกติ คือ
        
        VDRL = Non reactive
        
        TPHA = Non reactive
        
        Syphilis = Negative
    - - ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อซิฟิลิส คือ ผื่นลอกที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ซีด เหลือง ตับม้ามโต หากพบความผิดปกติ ให้รีบรายงานแพทย์ทันที
        
        ประเมินและบันทึกสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
        
        ดูแลให้ได้รับยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษา คือ
        
        Benzathine Penicillin (Benzapen) Inj 1.2 MU และติดตามอาการข้างเคียงหลังจากการให้ยา ได้แก่ มีไข้ ผื่น คลื่นไส้อาเจียน ไม่สบายท้อง ท้องเสีย
        
        PGS (Penicillin G) (GDH) Inj 5 MU และติดตามอาการข้างเคียงหลังจากการให้ยา ได้แก่ มีอาการบวมเกิดขึ้นบริเวณที่ฉีดยา ชีพจรเต้นเร็ว หายใจเร็ว มีไข้ หนาวสั่น หากพบความผิดปกติให้รีบรายงานแพทย์ทันที
        
        ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ คือ VDRL , TPHA และ Syphilis
    - - กิจกรรมของญาติ
        
        สังเกตอาการแสดงของภาวะติดเชื้อซิฟิลิส คือ ผื่นลอกที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ซีด เหลือง ตับม้ามโต หากพบความผิดปกติ ให้รีบรายงานแพทย์ทันที
        
        ให้ความร่วมมือพยาบาลในการให้การรักษาพยาบาล
    - - ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะติดเชื้อซิฟิลิส คือ ผื่นลอกที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ซีด เหลือง ตับม้ามโต
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
        
        BT = 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
        
        PR = 100-150 bpm
        
        RR = 35-55 bpm
        
        BP = 65-85/45-55 mmHg
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมีค่าปกติ คือ
        
        VDRL = Non reactive
        
        TPHA = Non reactive
        
        Syphilis = Negative
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : -
        O : - มารดาตั้งครรภ์เป็นครรภ์แรก
        
        บิดาและมารดาเป็นซิฟิลิส
      - การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
        
        โรคซิฟิลิสเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Treponema Pallidum. จากการสัมผัสถูกเชื้อโดยตรงจากแผลของผู้ป่วย โดยเฉพาะในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ที่มักสุ่มเสี่ยงกับการติดเชื้อได้มากที่สุด จึงมักถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้การใช้เข็มฉีดยารวมกับผู้อื่น การรับเลือดจากผู้อื่น รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ที่มีเชื้อสามารถส่งผ่านเชื้อไปยังทารกในครรภ์ ซึ่งหากไม่มีความรู้ในการป้องกันโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ อาจะทำให้มีโอกาสเกิดโรคติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ง่าย
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อให้บิดาและมารดามีความรู้ในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
      - กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
        
        สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับบิดามารดา โดยพูดคุยและแสดงความเข้าใจความรู้สึกของบิดามารดา เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ
        
        ประเมินความรู้ ความเข้าใจของบิดามารดาเกี่ยวกับโรคที่สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม
        
        ให้ความรู้บิดามารดาเกี่ยวกับการดำเนินของโรค สาเหตุการเกิดโรค ขั้นตอนการดูแลรักษา เพื่อให้บิดามารดามีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
        
        ให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ดังนี้
        4.1 การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ การมีคู่นอนคนเดียวและคู่นอนไม่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคได้
        4.2 การให้ความสำคัญกับการพาคู่นอนมารับการตรวจรักษา
        4.3 การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
        4.4 การตรวจคัดกรองโรคหนองในแท้และหนองในเทียมปีละครั้ง โดยเฉพาะหญิงอายุน้อยกว่า 25 ปีที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย
        4.5 การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สำหรับคนที่มีอายุ 9-45 ปี โดยเฉพาะก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี
        
        เปิดโอกาสให้บิดามารดาซักถามเมื่อเกิดความสงสัย
      - ประเมินผล
        
        สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
      - กิจกรรมของผู้ป่วย/กิจกรรมของญาติ
        
        กิจกรรมของญาติ
        1.ให้ความร่วมมือในการรับฟังเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
        2.สอบถามพยาบาลเมื่อมีข้อสงสัย
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : -
        O : Admit ที่หอบริบาลทารกแรกเกิด
      - การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
        
        ทารกแรกเกิดที่มีความเจ็บป่วยต้องได้รับการรักษาในหออภิบาลทารกแรกเกิด ต้องถูกแยกจากบิดามารดาหลังเกิด ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดาและทารกถูกขัดขวาง เมื่อทารกถูกแยกจากบิดามารดามักได้รับการรักษาด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือพิเศษ ทำให้มารดาโอบกอดสัมผัสทารกได้น้อยลง และไม่สามารถให้นมทารกจากเต้าได้ จึงนำไปสู่ปัญหาในการปรับตัวต่อบทบาทของการเป็นมารดา ทำให้ทารกได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่จากบิดามารดาไม่เต็มที่ ขาดการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว โดยเฉพาะระหว่างมารดาและทารก ซึ่งในทารกรายนี้มีภาวะติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด จึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาที่หออภิบาลทารกแรกเกิด ทำให้บิดามารดาและทารกต้องแยกออกจากกัน จึงอาจส่งผลให้ขาดการสร้างปฏิสัมพันธ์ได้
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        เพื่อให้ทารกมีปฏิสัมพันธ์กับบิดามารดาอย่างต่อเนื่อง
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        1.ทารกและบิดามารดามีความใกล้ชิดกันมากขึ้น
        
        บิดามารดามีปฏิสัมพันธ์กับทารกมากขึ้น เช่น การอุ้ม การสัมผัส การสบตา การช่วยเหลือดูแลทารก
        
        บิดามารดาเข้าใจถึงภาวะการเจ็บป่วยของบุตรและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำแนะนำของพยาบาล
      - กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
        
        สร้างสัมพันธภาพและอธิบายให้บิดามารดาทราบถึงสาเหตุที่ต้องแยกทารก เพื่อให้บิดามารดาเกิดความเข้าใจและให้ความร่วมมือ และปฏิบัติตามคำแนะนำ
        
        เปิดโอกาสให้บิดามารดาได้สร้างสัมพันธภาพกับบุตร จากการอุ้ม การสัมผัส การสบตา กระตุ้นให้ทารกมองหน้าและจ้องมองทารกทุกครั้งที่เข้าเยี่ยม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรัก ความผูกพันระหว่างทารกและบิดามารดา
        
        ส่งเสริมให้บิดามารดามีส่วนร่วมในการดูแลทารกด้วยตนเอง เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อม การให้นม การอาบน้ำ เพื่อให้เกิดการสร้างสายสัมพันธ์ ความรักใคร่ผูกพันระหว่างทารกและบิดามารดา
        
        สนับสนุนให้มารดาให้นมทารกด้วยตนเอง แต่หากทารกไม่สามารถดูดนมจากเต้าได้ แนะนำให้มารดาปั๊มนมให้ทารก โดยนัดเวลาตามความเหมาะสม สอนวิธีบีบและการเก็บน้ำนมที่ถูกต้องให้ทารกแก่มารดา
        
        สนับสนุนให้บิดามารดาเข้าเยี่ยมทารกอย่างสม่ำเสมอ ยืดหยุ่นเวลาเยี่ยมตามความเหมาะสม พร้อมเปิดโอกาสให้บิดามารดาและทารกได้อยู่ร่วมกันตามลำพัง
      - กิจกรรมของผู้ป่วย/กิจกรรมของญาติ
        
        กิจกรรมของผู้ป่วย
        ได้รับการกระตุ้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกับบิดามารดา เช่น ได้รับการสัมผัส การอุ้ม การสบตา การจ้องหน้าบิดามารดา การได้รับนมจากมารดา
        กิจกรรมของญาติ
        
        บิดามารดาเข้าเยี่ยมทารกและมีส่วนร่วมในการดูแลทารก
        
        ฟังคำแนะนำจากพยาบาล พร้อมสร้างความสัมพันธ์กับทารก
      - ประเมินผล
        
        ทารกและบิดามารดามีความใกล้ชิดกันมากขึ้น
        
        บิดามารดามีปฏิสัมพันธ์กับทารกมากขึ้น เช่น การอุ้ม การสัมผัส การสบตา การช่วยเหลือดูแลทารก
        
        บิดามารดาเข้าใจถึงภาวะการเจ็บป่วยของบุตรและให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำแนะนำของพยาบาล
  - - - ข้อมูลสนับสนุน
        
        S : -
        O : บิดามารดามีสีหน้าวิตกกังวล คอยสอบถามอาการผู้ป่วยและความก้าวหน้าของการรักษาบ่อยครั้ง
      - การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
        
        ความวิตกกังวลตามสถานการณ์ (State Anxiety) เป็นความวิตกกังวลซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบุคคลประสบกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆที่เข้ามาและประเมินเหตุการณ์ล่วงหน้าที่เกินความสามารถของตนเองที่เป็นอยู่จริง รวมทั้งบุคคลรู้สึกถึงการถูกคุกคามความมั่นคงปลอดภัยของตน เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับความวิตกกังวลตามสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งความวิตกกังวลนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามความคิด การรับรู้ต่อตนเองที่เกิดขึ้นในขณะนั้นต่อสถานการณ์ ดังนั้นหากบุคคลสามารถจัดการกับความวิตกกังวลตามสถานการณ์ โดยฝึกฝนจิตใจให้มั่นคง และการใช้ปัญญาในการแก้ไขปัญหาตามสภาวะตามความเป็นจริง ความวิตกกังวลในระดับที่พอเหมาะจะช่วยกระตุ้นให้บุคคลสามารถปฏิบัติงานได้อย่างประสิทธิภาพ
      - เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
        
        บิดามารดาคลายความวิตกกังวล มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
        
        บิดามารดาสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
        
        บิดามารดาให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
      - เกณฑ์การประเมินผล
        
        เพื่อลดความวิตกกังวลของบิดามารดา
      - กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล
        
        สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับบิดามารดา โดยพูดคุยและแสดงความเข้าใจความรู้สึกของบิดามารดา เพื่อให้เกิดความไว้วางใจ
        
        เปิดโอกาสให้บิดามารดาระบายความรู้สึกความวิตกกังวล ตอบคำถามในเรื่องที่บิดามารดายังมีความสงสัยเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของบุตร
        
        ประเมินความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลบุตร เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม
        
        อธิบายให้บิดามารดาทราบถึงอาการเจ็บป่วยของบุตรด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย แผนการดูแลรักษา และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆที่ได้รับ รวมทั้งบอกแผนการพยาบาลที่สำคัญที่จำเป็นต้องให้ในช่วงนั้นๆให้บิดามารดาได้รับทราบข้อมูล เพื่อคลายความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือในการรักษา
        
        สร้างความมั่นใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาผู้ป่วย โดยดูแลอย่างใกล้ชิดด้วยท่าทีที่อ่อนโยน นุ่มนวล เพื่อให้บิดามารดาเกิดความไว้วางใจในตัวผู้ดูแล
        
        แจ้งความก้าวหน้าในการรักษาและอาการของบุตรแก่บิดามารดาเป็นระยะๆทุกครั้งที่เข้าเยี่ยม เพื่อให้ทราบอาการของบุตรอย่างต่อเนื่อง
        
        สนับสนุนและส่งเสริมให้บิดามารดามีส่วนร่วมในการดูแลบุตร เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อม การเช็ดตัว การป้อนนม เพื่อให้บิดามารดามีความมั่นใจและมีประสบการณ์ในการดูแลบุตรมากขึ้น
        
        ให้กำลังใจและกล่าวชมเชยเมื่อบิดามารดาสามารถช่วยเหลือดูแลบุตรได้ เพื่อให้บิดามารดาเกิดความภูมิใจ รู้สึกมีคุณค่าในบทบาทของตนเอง
      - กิจกรรมของผู้ป่วย/กิจกรรมของญาติ
        
        กิจกรรมของผู้ป่วย
        ได้รับการดูแลจากบิดามารดา เช่น การเปลี่ยนผ้าอ้อม การเช็ดตัว การป้อนนม
        กิจกรรมของญาติ
        
        รับฟังคำแนะนำของพยาบาลเกี่ยวกับการเข้าใจในโรคของบุตร
        
        ให้ความร่วมมือในการระบายความรู้สึก ความวิตกกังวลให้พยาบาลได้รับรู้ เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหา
        
        เข้าเยี่ยมบุตรและรับฟังข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับแผนการดูแลรักษาทารก
      - ประเมินผล
        
        บิดามารดาคลายความวิตกกังวล มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
        
        บิดามารดาสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
        
        บิดามารดาให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
- - - - S : -
        O : แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น Hypoglycemia
        -เจาะ DTX วันที่ 2/01/64 = 32%
        
        Glucose = 37 mg/dL
    - - ภาวะติดเชื้อ เป็นการตอบสนองของร่างกายต่อการติดเชื้อโดยมีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงทั่วร่างกาย ซึ่งภาวะติดเชื้อทำให้ร่างกายมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้น เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะในการกำจัดเชื้อโรคทำให้เซลล์ต่างๆในร่างกายต้องการสารอาหารมากขึ้น ซึ่งกลูโคสเป็นสารอาหารที่สำคัญที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ร่างกายจึงมีความต้องการใช้น้ำตาลมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายมีภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ซึ่งภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในทารกเป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 40 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ซึ่งส่งผลกระทบต่ออวัยวะสำคัญของร่างกายทารก เช่น สมอง และ macrophage ทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอทำให้การทำงานของอวัยวะไม่มีประสิทธิภาพและส่งผลต่อการพัฒนาการด้านร่างกายของทารกได้ ซึ่งผู้ป่วยทารกรายนี้มีระดับน้ำตาลในเลือด 32 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ซึ่งแสดงถึงมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
    - - ทารกไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ ซึม สั่นกระตุก หายใจไม่สม่ำเสมอ รับนมไม่ได้ ชัก ตัวเย็น หยุดหายใจ
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
        
        BT = 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
        
        PR = 100-150 bpm
        
        RR = 35-55 bpm
        
        BP = 65-85/45-55 mmHg
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมีค่าปกติ
        
        Glucose 60-90 mg/dL
        
        DTX >40 mg/dl
    - - ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ ซึม สั่นกระตุก หายใจไม่สม่ำเสมอ รับนมไม่ได้ ชัก ตัวเย็น หยุดหายใจ หากพบความผิดปกติ ให้รีบรายงานแพทย์ทันที
        
        ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
        
        ดูแลให้ได้รับนมตามแผนการรักษา ดังนี้
        วันที่ 2 มกราคม 2564 ทารกได้นมแม่และนมผสม 25 ml po x 8 feeds
        วันที่ 3 มกราคม 2564 ทารกได้รับนมแม่และนมผสม 1:1 30 ml x 8 feeds
        วันที่ 4 มกราคม 2564 ทารกได้รับนมแม่และนมผสม 30 ml x 8 feeds
        วันที่ 5 มกราคม 2564 ทารกได้รับนมแม่และนมผสม 1:1 38 ml x 8 feeds
        วันที่ 6 มกราคม 2564 ทารกได้รับนมแม่และนมผสม 1:1 45 ml x 8 feeds
        วันที่ 7-13 มกราคม 2564 ทารกได้รับนมแม่และนมผสม 1:1 55 ml x 8 feeds
        
        ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ Glucose
    - - กิจกรรมของญาติ
        
        สังเกตอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ ซึม สั่นกระตุก หายใจไม่สม่ำเสมอ รับนมไม่ได้ ชัก ตัวเย็น หยุดหายใจ หากพบความผิดปกติ ให้รีบรายงานแพทย์หรือพยาบาลทันที
        
        ให้ความร่วมพยาบาลในการให้การรักษาพยาบาล
    - - ผู้ป่วยไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่ ซึม สั่นกระตุก หายใจไม่สม่ำเสมอ รับนมไม่ได้ ชัก ตัวเย็น หยุดหายใจ
        
        สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ
        
        BT = 36.8-37.2 องศาเซลเซียส
        
        PR = 100-150 bpm
        
        RR = 35-55 bpm
        
        BP = 65-85/45-55 mmHg
        
        ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการมีค่าปกติ
        
        Glucose 60-90 mg/dL
        
        DTX >40 mg/dl