Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
เคส 2 - Coggle Diagram
เคส 2
ข้อ 13
-
1.Overt DM ถ้าเริ่มรับประทานอาหารได้ ให้เริ่มอินซูลินหลังคลอดต่อ โดยลดขนาดยาลงครึ่งหนึ่งให้ตรวจติดตามระดับน้ําตาลทุก 4-6 ชั่วโมงหลังคลอด สามารถให้ short acting insulin เป็นครั้งคราวได้ถ้าระดับน้ําตาลสูงกว่า 200 มก./ดล.
-
3.แนะนําให้ตรวจ 75 g OGTT เกณฑ์การวินิจฉัยเบาหวาน คือ FBS > 126 มก./ดล. หรือ 2 hrPPG200 มก./ดล. ถ้าปกติให้ตรวจคัดกรองอย่างน้อยทุก 3 ปี เพราะ GDM จะมีโอกาสกลายเป็น เบาหวานแท้จริงในเวลา 22-28 ปี ถึงร้อยละ 50 หรือเพิ่มขึ้น 7 เท่า ถ้าระหว่างตั้งครรภ์ มีระดับ FBS สูง เกิน 130 มด./ดล. ร้อยละ 86 จะกลายเป็น overt DM และ ร้อยละ 40 จะกลับเป็นซ้ําใน ครรภ์ต่อมา
5.การคุมกําเนิด วิธีการคุมกําเนิดควรหลีกเลี่ยงชนิดที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูงโดยยาเม็ดคุมกําเนิด ชนิดฮอร์โมนต่ำมักไม่พบผลเสียต่อ DM และprogestin-only pill, Norplant มีผลต่อเมตาบอลิซึม ของคาร์โบฮัยเดรทน้อย การใส่ห่วงอนามัยอาจเพิ่มการติดเชื้อในรายที่เป็นเบาหวาน
ข้อ 10
-
-
การดูแลระยะคลอด
- โดยทั่วไปให้คลอดปกติทางช่องคลอด ยกเว้น ถ้าประเมินน้ําหนักทารกได้ตั้งแต่ 4000 กรัม ขึ้นไป สามารถพิจารณาให้ผ่าตัดคลอด
- ในรายที่ได้รับอินซูลิน เมื่อเข้าสู่ระยะคลอด (active labor) ให้งดน้ำและอาหาร และหยุดยาตอนเช้า
- ตรวจระดับน้ำตาลก่อนให้สารน้ำ
- ถ้าน้อยกว่า70-80มก./ดล.ให้5%dextroseในอัตรา100-150มล./ชม.(2.5มก./กก./ นาที)
- ถ้ามากกว่า70-80มก./ดล.ให้normalsaline
- ตรวจติดตามระดับน้ำตาลทุก 1 ชั่วโมง ให้มีค่าประมาณ 80-120 มก./ดล.
- ให้Regular(short-acting)insulin ถ้าระดับน้ำตาลมากกว่า120มก./ดล.โดยให้ในอัตรา1.25 ยูนิต/ชม. ถ้ามากกว่า 140 มก./ดล. หรือน้อยกว่า 80 มก./ดล. ให้ปรับเพิ่มหรือลดครั้งละ 1 ยูนิต/ชม.
- ตรวจสอบการฉีกขาดของแผลฝีเย็บอย่างละเอียด
- ประเมินอาการทารกแรกเกิดอย่างใกล้ชิดเช่นการบาดเจ็บจากการคลอดการติดตามค่าระดับน้ำตาลในเลือด การหายใจ การเกิดภาวะ Hypoglycemia (น้อยกว่า 40 mg/dl)
การดูแลระยะหลังคลอด
- GDM ให้หยุดอินซูลินทันทีหลังคลอด
- Overt DM ถ้าเริ่มรับประทานอาหารได้ ให้เริ่มอินซูลินหลังคลอดต่อ โดยลดขนาดยาลงครึ่งหนึ่ง ให้ตรวจติดตามระดับน้ำตาลทุก 4-6 ชั่วโมงหลังคลอด สามารถให้ short acting insulin เป็นครั้ง คราวได้ถ้าระดับน้ำตาลสูงกว่า 200 มก./ดล.
- ติดตามสุขภาพทารก เช่น ค่าน้ำตาล ค่า Hct ค่าบินลิรูบิน
- แนะนําให้ตรวจ 75 g OGTT เกณฑ์การวินิจฉัยเบาหวาน คือ FBS > 126 มก./ดล. หรือ 2 hrPPG > 200 มก./ดล. ถ้าปกติให้ตรวจคัดกรองอย่างน้อยทุก 3 ปี เพราะ GDM จะมีโอกาสกลายเป็น เบาหวานแท้จริงในเวลา 22-28 ปี ถึงร้อยละ 50 หรือเพิ่มขึ้น 7 เท่า ถ้าระหว่างตั้งครรภ์ มีระดับ FBS สูง เกิน 130 มด./ดล. ร้อยละ 86 จะกลายเป็น overt DM และ ร้อยละ 40 จะกลับเป็นซ้ำในครรภ์ต่อมา
- การให้นมบุตร ให้ได้ตามปกติแต่ควรเพิ่มปริมาณอาหารและพลังงานต่อวันเป็น500กิโลแคลลอรี่/ วัน
- การคุมกําเนิด วิธีการคุมกําเนิด ควรหลีกเลี่ยงชนิดที่มีเอสโตรเจนปริมาณสูง โดยยาเม็ดคุมกําเนิดชนิดฮอร์โมนต่ำ มักไม่พบผลเสียต่อ DM และprogestin-only pill, Norplant มีผลต่อเมตาบอลิซึม ของคาร์โบฮัยเดรทน้อย การใส่ห่วงอนามัยอาจเพิ่มการติดเชื้อในรายที่เป็นเบาหวาน
ข้อ 11
- ข้อวินิจฉัย : ทารกในครรภ์ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากมารดามีน้ำตาลในเลือดสูง
- ข้อมูลสนับสนุน : OD : ฝากครรภ์ครั้งที่ 1 ค่า 50g GCT 150 mg/dl ค่า FBS 100 mg ค่า 100g OGTT 170mg ,150mg ,130mg
ฝากครรภ์ครั้งที่ 5 ค่า 50g GCT 150mg/dl ค่า FBS 110mg ค่า 100g OGTT 192mg ,168mg , 140mg
- วัตถุประสงค์ : ทารกปลอดภัยไม่ตายในครรภ์
- เกณฑ์การประเมินผล : 1.เด็กในครรภ์ดิ้นดี หลังอาหาร 1 ชั่วโมงควรดิ้นไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง
2.อัตราเต้นของหัวใจทารกในครรภ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ (120-160ครั้งต่อนาที ) 3.การตรวจทารกในครรภ์ด้วยคลื่นความถี่สูง ได้ผลบวก
- กิจกรรมการพยาบาล
1.ตรวจฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์อย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง
2.ให้มารดาสังเกตเด็กดิ้นพร้อมลงบันทึกหลังอาหาร 1 ชั่วโมง 3 เวลา พร้อมอธิบายลักษณะการดิ้นของทารกให้มารดาเข้าใจ รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายของทารกเมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดมารดาสูง
3.ติดตามผลการตรวจทารกในครรภ์ด้วยคลื่นความถี่สูง และผลการตรวจ น้ำตาลในเลือดของมารดา เพื่อประเมินและติดตามผลการรักษา
- ข้อวินิจฉัย : วิตกกังวลเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นทั้งตนเองและทารก
- ข้อมูลสนับสนุน : SD : มารดา ถามว่า “ลูกจะแข็งแรงไหม”
OD : สีหน้าไม่สดชื่น หน้านิ่ว คิ้วขมวด ,ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- วัตถุประสงค์ : เพื่อลดความวิตกกังวล
- เกณฑ์การประเมินผล : 1. มีสีหน้า สดชื่น ไม่มี หน้านิ่ว คิ้วขมวด 2. ให้ความร่วมมือในการรักษาพยาบาลด้วยดี
- กิจกรรมการพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพ เปิดโอกาสให้ซักถาม
2.สังเกตอาการ สีหน้า ท่าทาง เพื่อประเมินอาการ
3.ช่วยจัดสภาพแวดล้อมและให้ผู้ป่วยพักผ่อน
4.อธิบายแนวทางการรักษาของแพทย์คร่าวๆ และอยู่ในขอบเขตของพยาบาล
5.สอนสาธิตการประเมินทารกในครรภ์ด้วยตนเอง
- ข้อวินิจฉัย : เสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เนื่องจากมารดามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ข้อมูลสนับสนุน : OD : หลังตัดสายสะดือ ทารกจะไม่ได้รับกลูโคสจากมารดา
- วัตถุประสงค์ : ภาวะน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- เกณฑ์การประเมินผล : ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่าง 50-110 mg%
- กิจกรรมการพยาบาล
1.ประเมินอาการที่นำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ตัวเขียว หายใจหอบ ชัก
2.วัดสัญญาณชีพเพื่อทราบอาการเปลี่ยนแปลงทุก 15 นาที 4 ครั้ง 30 นาที 2 ครั้งและ 1 ชม จนอาการคงที่
3.ตรวจหาน้ำตาลในเลือดหลังคลอดทันที
4.ดูแลให้ได้รับสารอาหารตามแผนการรักษาของแพทย์
5.ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ทารกพักผ่อนลดการใช้พลังงาน
- ข้อวินิจฉัย : มีความผิดปกติเมตาโบลิซึมของคาร์โบไฮเดรต
- ข้อมูลสนับสนุน : OD : ฝากครรภ์ครั้งที่ 1 ค่า 50g GCT 150 mg/dl ค่า FBS 100 mg ค่า 100g OGTT 170mg ,150mg ,130mg
ฝากครรภ์ครั้งที่ 5 ค่า 50g GCT 150mg/dl ค่า FBS 110mg ค่า 100g OGTT 192mg ,168mg , 140mg
- วัตถุประสงค์ : 1.น้ำตาลในกระแสเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ. 2.มารดาสามารถควบคุมอาหารได้ไม่มีอาการนำไปสู่ภาวะช็อก
- เกณฑ์การประเมินผล : 1. ระดับน้ำตาลในกระแสเลือด อยู่ระหว่าง 70-110 mg%. 2. ผู้ป่วย ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน กระสับกระส่าย หน้ามืด ใจสั่น
- กิจกรรมการพยาบาล
1.วัดสัญญาณชีพเพื่อประเมินอาการทุก 4 ชม
2.ดูแลให้ได้รับสารอาหารตามแผนการรักษาของแพทย์ 1,500 แคลลอรี่ต่อวัน โดยแบ่งเป็น คาร์โบไฮเดรต50% โปรตีน 20% และไขมัน 30% และแบ่งเป็น 3 มื้อ (เวลา 10.00น. 14.00น. 20.00น
3.สังเกตอาการคลื่นไส้อาเจียน กระสับกระส่าย หน้ามืด ใจสั่น วิงเวียน ปวดศีรษะ ซึ่งเป็นอาการของ น้ำตาลในเลือดสูง หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ
4.แนะนำและดูแลให้ ออกกำลังกายอย่าสม่ำเสมอ เช่น ยกแขน ยกขา หมุนข้อมือ ข้อเท้า เป็นการส่งเสริมการเผาผลาญอาหารทำให้หลอดเลือดฝอยนำกลูโคสออกมาใช้มากขึ้น
ข้อ 2
ตรวจร่างกาย
-
- ตรวจครรภ์พบว่าครรภ์ใหญ่กว่าปกติหรือพบครรภ์แฝดน้ํา(hydramnios)
- ตรวจพบความผิดปกติของระบบต่าง ๆ จากเบาหวาน ความดันโลหิตสูงในขณะตั้งครรภ์
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- ตรวจพบน้ําตาลในปัสสาวะ จะได้ผลบวก หากมีน้ําตาลเกิน 125 mg/dl
- การตรวจหาระดับน้ําตาลในกระแสเลือด โดยวิธี 50g GCT และ 100g OGTT
ข้อ 4
50 gm Glucose challenge test, GCT
ให้สตรีตั้งครรภ์ดื่มสารละลายที่มีกลูโคส 50 กรัม หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงให้ทำการเจาะเลือดตรวจระดับกลูโคส โดยที่สตรีตั้งครรภ์ไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนรับการตรวจ
100 gm Oral glucose tolerance test, OGTT
-
-
3) เช้าวันตรวจทำการเจาะเลือดตรวจระดับกลูโคสหลังงดอาหารข้ามคืน (fasting plasma glucose, FPG) เทียบเป็นเวลาชั่วโมงที่ 0
-
5) เจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับกลูโคสภายหลังดื่มสารละลายกลูโคสที่ 1, 2, 3 ชั่วโมงตามลำดับ
-
ข้อ12
การดูแลระยะคลอด
- ในรายที่ได้รับอินซูลิน เมื่อเข้าสู่ระยะคลอด (active labor) ให้งดน้ําและอาหาร และหยุดยาตอนเช้า
- โดยทั่วไปให้คลอดปกติทางช่องคลอด ยกเว้น ถ้าประเมินน้ําหนักทารกได้ตั้งแต่ 4000 กรัม ขึ้นไป สามารถพิจารณาให้ผ่าตัดคลอด
- ตรวจระดับน้ําตาลก่อนให้สารน้ํา
- ถ้าน้อยกว่า70-80มก./ดล.ให้5%dextroseในอัตรา100-150มล./ชม.(2.5มก./กก./ นาที)
- ถ้ามากกว่า70-80มก./ดล.ให้normalsaline
- ตรวจติดตามระดับน้ําตาลทุก 1 ชั่วโมง ให้มีค่าประมาณ 80-120 มก./ดล.
- ให้Regular(short-acting)insulinถ้าระดับน้ําตาลมากกว่า 120มก./ดล. โดยให้ในอัตรา 1.25 ยูนิต/ชม. ถ้ามากกว่า 140 มก./ดล. หรือน้อยกว่า 80 มก./ดล. ให้ปรับเพิ่มหรือลดครั้งละ 1 ยูนิต/ชม.
- ตรวจสอบการฉีกขาดของแผลฝีเย็บอย่างละเอียด
- ประเมินอาการทารกแรกเกิดอย่างใกล้ชิดเช่นการบาดเจ็บจากการคลอดการติดตามค่าระดับน้ําตาลในเลือด การหายใจ การเกิดภาวะ Hypoglycemia (น้อยกว่า 40 mg/dl)
-
-
ข้อ 8
แนวทางการดูแลมารดา
ระยะตั้งครรภ์
จุดมุ่งหมายเพื่อลดความเสี่ยงทั้งต่อมารดาและ ทารก พยายามประคับประคองให้ทารกครบกาหนด ลดระยะเวลาในการดูแลใน Intensive Care Unit การพิจารณาตัดสินใจให้คลอด แพทย์จะพิจารณาเมื่อความรุนแรงอยู่ในภาวะ Severe Preeclampsia หรือ สุขภาพของมารดาหรือทารกมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่แย่ลง แพทย์อาจพิจารณาให้ Steroid เพื่อลด โอกาสเกิด Respiratory distress syndrome โดยเฉพาะในรายที่ทารกมีอายุครรภ์น้อยกว่า 34 สัปดาห์ แต่หากทารกมีสุขภาพดี ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของโรคไปในทางที่แย่ลง อาจพิจารณาให้คลอดเมื่ออายุครรภ์ ครบ 37 สัปดาห์ขึ้นไป
ระยะคลอด
การพิจารณาให้คลอดจะพิจารณาเมื่ออายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ขึ้นไป โดยการประเมินปากมดลูก หากปากมดลูกพร้อมหรือประเมิน Bishop score ได้มากกว่าหรือเท่ากับ 6 จะพิจารณากระตุ้นคลอด และ สามารถให้คลอดทางช่องคลอดได้ในกรณีไม่มีข้อบ่งห้าม ในกรณีที่ปากมดลูกยังไม่พร้อมและภาวะแทรก ซ้อนรุนแรงแนะนำให้ตรวจติดตามอย่างใกล้ชิดและกระตุ้นคลอดเมื่อสภาวะเหมาะสม
ระยะหลังคลอด
การนัดตรวจติดตาม 6 สัปดาห์ในมารดาระยะหลังคลอดโดยต้องมีการติดตามประเมินระดับความดันโลหิตและการตรวจหาระดับโปรตีนในปัสสาวะ หากมารดาหลัง
คลอดยังคง มีภาวะความดันโลหิตสูงและยังไม่เคยได้รับการดูแลมาก่อนควรได้รับการรักษา และได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับโรค การดูแลตนเองเพื่อรักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ให้คำแนะนพเกี่ยวกับ การลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น การควบคุมน้ำหนัก การรับประทานอาหาร และการออกกาลังกายที่เหมาะสม
ข้อ 9
Magnesium sulfate
ยาจะออกฤทธิ์กด CNS และกดกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อลาย และกล้ามเนื้อหัวใจ ระงับอาการชัก (โดยกดประสาท CNS และลดการหลั่ง acetylcholine ทาให้กั้นการทางานของระบบประสาท และกลา้มเนื้อส่วนปลาย)
-
-
-
-