Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย - Coggle Diagram
บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
ขุนนาง
ศาสตราจารย์ พระพรหมพิจิตร (พรหม พรหมพิจิตร)
พระเมรุมาศของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในฐานะผู้ควบคุมการก่อสร้าง)
พระเมรุมาศของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (ในฐานะผู้ออกแบบ)
พระเมรุมาศของ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ในฐานะผู้ออกแบบ)
เมรุ วัดจักรวรรดิราชาวาสวรมหาวิหาร
ศาลาโรงธรรม วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร
เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน)
ป็นหัวหน้าคณะทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส -ช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับฝรั่งเศสให้มีความใกล้ชิด ทำให้อยุธยาสามารถดึงฝรั่งเศสมาถ่วงดุลอำนาจกับฮอลันดาได้ ในสมัยพระเพทราชาได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาพระคลัง มีหน้าที่ควบคุมราชการด้านการต่างประเทศด้วย
พระยาเพ็ชรรัตน์ (โมรา)
พ.ศ. 2405 จ่าแกว่นประกวดงาน กรมตำรวจสนมซ้าย ถือศักดินา ๓๐๐
พ.ศ. 2409 จมื่นศักดิ์แสนยากร ปลัดกรมพระตำรวจใหญ่ซ้าย ถือศักดินา ๔๐๐
พ.ศ. 2412 พระณรงค์วิชิต เจ้ากรมพระตำรวจนอกขวา ถือศักดินา ๘๐๐
พ.ศ. 2422 พระอินทร์ธิบาล เจ้ากรมพระตำรวจในซ้าย ถือศักดินา ๑๐๐๐
พ.ศ. 2429 พระยาบริรักษราชา จางวางกรมพระตำรวจซ้ายฝ่ายพระราชวังบวร ถือศักดินา ๒๐๐๐
4 พฤษภาคม พ.ศ. 2436 พระยาเพ็ชรรัตน์ ถือศักดินา ๒๕๐๐
พระมหากษัตริย์
รัชกาลที่ 5
เสวยราชสมบัติเมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. 2411 เสด็จสวรรคต เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ ตรงกับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453 ด้วยโรคพระวักกะ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการเลิกทาสและไพร่ในประเทศไทย การป้องกันการเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฝรั่งเศสและจักรวรรดิอังกฤษ ได้มีการประกาศออกมาให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในประเทศ โดยบุคคลศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามสามารถปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างอิสระ นอกจากนี้ได้มีการนำระบบจากทางยุโรปมาใช้ในประเทศไทย ได้แก่ระบบการใช้ธนบัตรและเหรียญบาท ใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล
รัชกาลที่ 8
พระองค์เจ้าอานันทมหิดลที่มีพระชันษาเพียง 9 ปี สืบพระราชสันตติวงศ์ต่อไปตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 และได้รับการเฉลิมพระนามใหม่เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2478 ว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระองค์ได้เสด็จสวรรคตเสียก่อนด้วยพระแสงปืนในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เวลาประมาณ 9 นาฬิกา
พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 และเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2489 นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในจังหวัดต่าง ๆ และทรงเยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นครั้งแรก ณ สำเพ็ง พระนคร
รัชกาลที่ 1
ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 หลังจากได้สำเร็จโทษพระเจ้าตากสินแล้ว สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2352 ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ รวมพระชนมพรรษาได้ 73 พรรษา เสด็จอยู่ในราชสมบัติ 27 ปี
พระองค์ทรงมีพระราชกรณีกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การป้องกันราชอาณาจักรให้ปลอดภัยและทรงฟื้นฟูวัฒนธรรมไทยอันเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยและอยุธยา การที่ไทยสามารถปกป้องการรุกรานของข้าศึกจนประสบชัยชนะทุกครั้ง แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งของพระองค์ในการบัญชาการรบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกับพม่าใน พ.ศ. 2328 ที่เรียกว่า "สงครามเก้าทัพ" นอกจากนี้พระองค์ยังพบว่ากฎหมายบางฉบับที่ใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาไม่มีความยุติธรรม จึงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการตรวจสอบกฎหมายที่มีอยู่ทั้งหมด เสร็จแล้วให้เขียนเป็นฉบับหลวง 3 ฉบับ ประทับตราราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้วไว้ทุกฉบับ เรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" สำหรับใช้เป็นหลักในการปกครองบ้านเมือง
ชาวต่างชาติ
ท้าวทองกีบม้า (มารี กีมาร์)
ท้าวทองกีบม้า มีชื่อเดิมว่า มารีอา กียูมาร์ ดึ ปีญา เป็นคริสตังเชื้อสายโปรตุเกส, เบงกอล และญี่ปุ่น เป็นธิดาคนโตของฟานิก กียูมาร์ (Fanik Guyomar) บิดามีเชื้อสายโปรตุเกส, ญี่ปุ่น และเบงกอล ที่อพยพมาจากอาณานิคมโปรตุเกสในเมืองกัว กับมารดาชื่ออูร์ซูลา ยามาดะ (Ursula Yamada; ญี่ปุ่น: 山田ウルスラ) ลูกหลานผู้ลี้ภัยจากการเบียดเบียนศาสนาในญี่ปุ่น
จากการเบียดเบียนศาสนาในญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2135 ตามคำบัญชาของโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ทำให้เซญโญราอิกเนซ มาร์แตงซ์ หรืออิกเนซ มาร์ตินซ์ (ญี่ปุ่น: イグネス・マルティンス) ย่าบ้างก็ว่าเป็นยายของท้าวทองกีบม้า ถูกนำตัวมาไว้ที่เมืองไฮโฟในเวียดนาม ระหว่างนั้นนางได้สมรสกับลูกหลานไดเมียวตระกูลโอโตโมะ ภายหลังครอบครัวของนางจึงได้อพยพมาลงหลักปักฐานในกรุงศรีอยุธยาอีกทอดหนึ่ง แต่ข้อมูลบางแห่งก็ว่า ครอบครัวของนางไปอยู่ที่กัมพูชาก่อนถูกกวาดต้อนมาสู่กรุงศรีอยุธยาเมื่อคราสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตีเมืองละแวก ในปี ค.ศ. 1593 จากข้อมูลนี้มารีอาอาจมีเชื้อสายเขมรหรือจามผ่านทางมารดาด้วยก็เป็นได้
นีกอลา แฌร์แวซ
นีกอลา แฌร์แวซ เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2206 ที่ กรุงปารีส เขาใช้เวลาสี่ปีในสยาม (2224 - 2228) ก่อนจะเดินทางกลับฝรั่งเศสและได้เป็นบาทหลวงประจำเมืองวานส์
ในปี พ.ศ. 2231 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ 2 เล่มชื่อ ประวัติศาสตร์ของราชอาณาจักรมากัสซาร์ และ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองของราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)
ในปี พ.ศ. 2265 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นบิชอปแห่งฮอร์เร็น ปฏิบัติภารกิจเผยแพร่ศาสนาใน กัวเดอลุป และ มาร์ตีนิก ก่อนจะถูกลอบสังหารที่ริม แม่น้ำโอริโนโก เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2272
ยามาดะ นางามาซะ
ยามาดะ นางามาซะ หรือ ออกญาเสนาภิมุข (ญี่ปุ่น: 山田長政, Yamada Nagamasa; พ.ศ. 2113 — พ.ศ. 2173) เป็นซามูไรชาวญี่ปุ่น ที่เข้ามารับราชการ ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ออกญาเสนาภิมุข
ยามาดะ นางามาซะ เดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม โดยเดินทางกลับมาพร้อมกับคณะทูตจำนวน 60 คน ที่พระเจ้าทรงธรรมทรงส่งไปถึงเมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2164
นะงะมะซะซึ่งในขณะนั้นเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อย ได้รับราชการในกรมอาสาญี่ปุ่น และเจริญก้าวหน้าในเวลาต่อมา เป็นเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น ในชื่อออกญาเสนาภิมุข (ตำแหน่งออกญา เทียบเท่าพระยา)
พระบรมวงศานุวงศ์
พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์
ทรงสนพระทัยด้านกราฟิกดีไซน์และแอนิเมชั่นเป็นทุนเดิม โปรดการออกแบบโบรชัวร์และโปสเตอร์ ผลงานศิลปนิพนธ์หลังสำเร็จการศึกษานิเทศศิลป์คือ “โครงการปรับรูปแบบบรรจุภัณฑ์ทางการเกษตรโครงการสวนจิตรลดา” ที่ปรับเปลี่ยนและออกแบบบรรจุภัณฑ์ของสินค้าโครงการจิตรลดา ภายใต้แนวคิด “ชีวิตที่กลมกลืน
พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์
พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สกุลเดิม "อัครพงศ์ปรีชา" เสกสมรสกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 ต่อมาเมื่อมีพระประสูติกาลพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงฐานันดรศักดิ์แห่งพระราชวงศ์ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2548
กรณียกิจส่วนใหญ่ของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ ขณะเป็นพระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารนั้น จะเน้นในด้านครอบครัวและเด็กเป็นหลัก โดยโครงการแรกของคือ โครงการสายใยรักจากแม่สู่ลูก ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โครงการสายใยรักแห่งครอบครัวในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่รณรงค์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ โครงการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างความเข้มแข็งในครอบครัว เพิ่มประสิทธิภาพของสถาบันครอบครัว และลดปัญหาสังคมทางหนึ่ง ต่อมาได้มีดำริในการเปิด ศูนย์ ๓ วัยสานสายใยรักแห่งครอบครัว อันจะเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นวงจรทุกช่วงวัย ระหว่างวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรา ให้มีความสัมพันธ์กลมเกลียว
พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์
ทรงเป็นพระธิดาในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กับนาวาอากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศรินทร์
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ ทรงประกอบพระกรณียกิจทั้งในด้านการสนองพระเดชพระคุณในฐานะพระราชวงศ์ และพระกรณียกิจในด้านต่างๆ อาทิ
รองประธานกิตติมศักดิ์ มูลนิธิอนุรักษ์และพัฒนาอากาศยานไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
นายกสมาคมกิตติมศักดิ์ สมาคมกีฬาทางอากาศและการบินแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ประธาน ศูนย์ปฏิบัติการบินอาสา อนุรักษ์และกู้ภัย สิริภาจุฑาภรณ์ เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยพิบัติ [6]
โครงการงานบ้านกู้ภัย “โครงการบ้านกู้ภัยร่วมใจสิริภา” เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบพิบัติภัย