Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 2 การพยาบาลศัลยกรรม, 259585607_390573452798757_7117505889327116778_n…
บทที่ 2 การพยาบาลศัลยกรรม
ปัญหาทางการพยาบาลที่พบบ่อยในผู้ป่วยหลังผ่าตัด
ปัญหาที่ 1ระบบทางเดินหายใจ
ภาวะขาดออกซิเจนเป็นปัญหาที่พบบ่อย และ
เป็นสาเหตุและเป็นสาเหตุที่อันตรายถึงชีวิต
1 การลดต่ำของออกซิเจนในปอด
2 มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจ เนื่องจาก
ลิ้นตกลงไปด้านหลัง กล้ามเนื้อกล่องเสียงหดเกร็ง พบได้บ่อยในผู้ป่วยหอบหืด มีสิ่งแปลกปลอมตกลงไปในหลอดลม เช่น ลิ่มเลือด น้่าลาย
อาการที่พบ
คือ การเคลื่อนไหวของทรวงอกและหน้าท้องไม่สัมพันธ์กัน พบอกบุ๋ม
ขณะหายใจเข้า มีเสียงหวีดเมื่อหายใจออก หรือเสียงกรนเมื่อลิ้นตกมาปิดกั้นทางเดินหายใจ
3 การหายใจไม่เพียงพอแม้ไม่มีการอุดกั้นในทางเดินหายใจ แต่ผู้ป่วยอาจเกิดอันตรายจากการหายใจน้อยกว่าปกติได้เนื่องจาก
• ฤทธิ์ของยาต่าง ๆ ที่ใช้ในการดมยาสลบไปกดศูนย์การหายใจ • ผ้าปิดแผลรัดแน่นบริเวณช่องท้องและทรวงอกมากเกินไป ท่าให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ • ความเจ็บปวดที่เกิดเนื่องจากแผลผ่าตัดท่าให้ผู้ป่วยไม่กล้าหายใจเข้า-ออก ลึกๆ และการที่ผู้ป่วยไม่กล้าไอเอาเสมหะออกมาแรงๆ
อาการที่พบ
คือ ผู้ป่วยจะหายใจตื้นและหายใจน้อยลง ทรวงอกและหน้าท้องมีการเคลื่อนไหวน้อยมาก จะมีอาการขาดออกซิเจน ผู้ป่วยจะกระสับกระส่าย ความดันโลหิตสูงขึ้นชีพจรแรง อาจจะมีอากาเขียว(Cyanosis)
4 ผู้ป่วยต้องการออกซิเจนมากขึ้น จากอาการหนาวสั่น
เพราะในขณะที่ท่าผ่าตัดยาสลบที่ผู้ป่วยได้รับท่าให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดทั่วร่างกาย (Vasodilatation) และกดศูนย์ควบคุมความร้อนในสมอง ท่าให้ผู้ป่วยศูนย์เสียความร้อนในร่างกาย
ปกติ
ผู้ป่วยที่ได้รับการดมยาสลบภายหลังการผ่าตัดมักจะมีออกซิเจนในเลือดแดงต่่าเสมอ และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ดมยาสลบ อวัยวะที่ท่าการผ่าตัด
การประเมินทางการพยาบาล
1.ประเมินความแรงของการหายใจ
2.สังเกตการเคลื่อนไหวของผนังทรวงอก ว่ามีการขยายเท่ากันทั้งสองข้างหรือไม่ มีการใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง และกล้ามเนื้อคอช่วยในการหายใจหรือไม่ ถ้ามีการเคลื่อนไหวมากกว่าปแสดงว่ามีการหายใจขัดข้องกติอาจ
3.ฟังเสียงการหายใจว่าลดลงหรือเงียบหายไปหรือไม่ หรือมีเสียงดังผิดปกติ
การพยาบาล
ผลลัพธ์ (Outcome)
: ผู้ป่วยได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ และไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินหายใจ
ปัญหาที่ 3 ระบบประสาท
ปัญหาที่ 2 ระบบหัวใจและหลอดเลือด
เกี่ยวกับความดันโลหิต หลังผ่าตัดสามารถพบได้ทั้งความดันโลหิตต่่า และความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่่าชั่วคราวพบได้ จาก
การได้รับสารน้่าไม่เพียงพอ การสูญเสียน้่าและเลือดออกจากร่างกาย ปกติอยู่ที่ 100-500 cc. หากมากกว่านั้นผู้ป่วยอาจ มีอาการ ช็อครุนแรง และในผู้ใหญ่ 1,500-2,000 cc. ค่าความดัน systolic ลดต่่ากว่าค่าปกติของผู้ป่วย 20 mmHg ได้โดยไม่เป็นอันตรายหากต่่ากว่านี้หรือต่่าลงเรื่อย ๆ ต้องรายงาน ความดันโลหิตต่่าที่เป็นผลจากยาดมสลบมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะพบได้เนื่องจากยาดมสลบ กดการท่างานของระบบประสาทซิมพาเทติกดังนั้นเมื่อเปลี่ยนท่าต้องท่าช้า ๆด้วยความนุ่มนวล
ความดันโลหิตสูง
พบได้ในผู้สูงอายุที่มีโรคของหลอดเลือด หรือเป็นความดันโลหิตสูงอยู่เดิม
สาเหตุที่พบ
ความเจ็บปวดปานกลางท่าให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
ความเจ็บปวดรุนแรง จะท่าให้ความดันโลหิตต่่า จากที่รีเฟล็กซ์ระบบประสาทอัตโนมัติ กระตุ้นให้มี
การหลั่งสารเคมีท่าให้การเต้นของหัวใจช้าลง เป็นผลให้เลือดออกจากหัวใจลดลง
ภาวะหัวใจหยุดท่างาน ( Cardiac arrest) จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่มีการหายใจไม่เพียงพอ และ
มีความดันโลหิตต่่ามากอยู่นาน หรือผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ก่อน การเต้นชีพจรที่ไม่เป็นจังหวะ
การประเมินทางการพยาบาล
สิ่งส่าคัญในระบบนี้คือ สัญญาณชีพ
ต้องวัดสัญญาณชีพ ทุก 15 นาที จนกว่าจะคงที่ใน 1-2 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด และ 30 นาที ต่ออีก 2 ชั่วโมง ต่อไปบันทึกทุก 4 ชั่วโมง
ความดันโลหิตต่่า ชีพจรเร็ว ผิวหนังเย็นชื้น ผู้ป่วยอาจอยู่ในภาวะช็อคจากมีปริมาณการไหลเวียนลดลง
สังเกต
ลักษณะของสีผิว ความชุ่มชื้น อุณหภูมิ ผิวหนังอุ่นแห้งสีชมพูซึ่งเป็นผลจากมีการตกค้างของยาสลบ
ควรรายงานเมื่อมีอาการดังนี้
Systolic Blood pressure < 90 หรือ > 160 mmHg.
Pulse < 60 หรือ > 120 ครั้ง/นาที
ชีพจรและความดันโลหิต แตกต่างจากการบันทึกครั้งก่อนอย่างชัดเจนประมาณ 20% ของค่าปกติของผู้ป่วย
ชีพจรและความดันโลหิตลดลงทุกครั้งที่ท่าการวัดและบันทึก
จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่่าเสมอ
ผลลัพธ์ (Outcome)
: ระบบไหลเวียนเข้าสู่ภาวะปกติ
การพยาบาล
ดูแลอย่างใกล้ชิดวัดสัญญาณชีพ และบันทึกอย่างเคร่งครัด
ดูแลให้ได้รับสารน้ำทดแทนให้เพียงพอตามแผนการรักษาให้ถูกต้องทั้งอัตราการหยดและ
จ่านวนตามแผนการรักษา
หากผู้ป่วยอยู่ในภาวะตกเลือด หากมีท่อระบายดู การท่างานของท่อระบายว่าท่างานได้ดี
หรือไม่ สังเกตสี จ่านวน สิ่งที่ระบายออกมา
พิจารณา
ให้สารน้ำทดแทน และรายงานแพทย์
ให้ออกซิเจนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในเลือด
4.บันทึกและสังเกตอาการที่บ่งบอกว่าได้รับสารน้ำเกินความต้องการของร่างกาย หรือร่างกายขับน้ำออกไม่ได้ อาการมีดังนี้
กระสับกระส่าย เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้
ฟังปอดได้ยินเสียง Crepitation
Central venous pressure > 15 cmH2O
5.บันทึกจ่านวนปัสสาวะ อาเจียน สิ่งขับหลั่งจากการระบายที่ออกมาอย่างถูกต้อง
การพยาบาลระยะผ่าตัด
การให้ยาก่อนระงับความรู้สึก
• แพทย์ หรือ แพทย์วิสัญญีเป็นผู้พิจารณาให้ ขึ้นกับผู้ป่วย เพศ อายุ สภาพร่างกายและจิตใจ
• มักจะให้ล่วงหน้าในคืนก่อนผ่าตัด มีทั้งยาฉีดและยารับประทาน ให้เพื่อ ลดความกลัว ความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด
•ลดน้้าหลั่งจากต่อมน้้าลาย เยื่อเมือก ปาก คอ
•ป้องกัน reflex ต่างๆ ที่เป็นอันตรายในระหว่างผ่าตัด ช่วยเสริมฤทธิ์ยาดมสลบลดอาการคลื่นไส้อาเจียน
การให้ยาระงับความรู้สึก
ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย (General anesthesia)
คือการท้าให้ผู้ป่วยหมดสติไม่รู้สึกตัว สามารถให้ได้กับผู้ป่วยทุกประเภท และการผ่าตัดทุกชนิดแพทย์ดมยาสามารถควบคุมการท้างานของระบบหายใจ และระบบไหลเวียนเลือดได้
ข้อเสีย
คือ กดการหายใจกดการท้างานของระบบไหลเวียนเลือดอาจมีเสมหะ และน้้าลายมากต้องระวังการอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจ
มีวิธีการให้ 2 ทาง
โดยการสูดดมเอาแก๊ส หรือของเหลวระเหยเร็ว (Inhalationanesthesia) เป็นการสูดดมเอาไอระเหยของยาสลบ โดยเริ่มจากการฉีดเข้าทางหลอดเลือดด้าก่อนเพื่อให้หมดความรู้สึกจากนั้นจึงดมยาสลบทางหน้ากาก (mask) หรือท่อหลอดลมคอ (endotracheal tube)
•
นิยม
ใช้ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (NO2)
• Halothane โดยให้ร่วมกับก๊าซออกซิเจน
โดยการฉีดเข้าทางหลดเลือดดำ(Intravenous anesthesia)
ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่(Regional or Local anesthesia )
การฉีดพ่นบนผิวหนัง (Local anesthesia) เป็นการฉีดยาชาลงบริ
เวณที่จะท้าผ่าตัด ใช้ในการผ่าตัดเล็กๆเช่น ฉีดยาชาเพื่อถอนฟัน
การ หยอด ทา พ่น ยาชาลงเฉพาะที่ (Topical anesthesia)
บริเวณเยื่อเมือก ยาที่พ่นจะมีความเย็น สามารถลดความเจ็บปวดได้
• ใช้ในการผ่าฝี
• ใช้ในการตรวจตา ทวารหนัก ช่องคลอด
การฉีดบริเวณรอบๆ กลุ่มประสาทที่ไปเลี้ยงบริเวณที่จะท้าผ่าตัด(Nerve block) เช่นการผ่าตัดบริเวณล้าคอ ต่อมไทรอยด์ ใช้วิธีCervical plexus block การผ่าตัดบริเวณแขนและมือ ใช้วิธี Brachialplexus block
การฉีดเข้าไปที่ไขสันหลัง (Spinal anesthesia) ฉีดเข้าน้้าไขสันหลัง(subarachnoid space) บริเวณกระดูกสันหลังตอนเอวระหว่างท่อนที่ 3-4 มีผลให้ตั้งแต่กระบังลมลงมาหมดความรู้สึก ใช้กับการผ่าตัดที่เกี่ยวกับอวัยวะใต้กระบังลมลงไป เช่น ผ่าตัดมดลูก ผ่าตัดไส้ติ่ง
การฉีดเข้าเยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นนอก (Epidural space) ท้าให้หมด
ความรู้สึกบริเวณล้าตัวถึงปลายเท้า ต่้ากว่าระดับที่ฉีดยาชาลงมา
การดูแลหลังได้รับ Spinal / Epidural
การพยาบาลผู้ป่วยหลังได้รับยาชาทางไขสันหลัง
1.
Epidural
ให้ผู้ป่วยนอนราบ 4-6 ชั่วโมง
2.
spinal
ให้ผู้ป่วยนอนราบ 6-12 ชั่วโมง
3.หนุนหมอนได้ แต่ห้ามลุกนั่ง
ผู้ป่วยควรได้รับสารน้้าทางหลอดเลือดด้าตลอดเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงหลังผ่าตัด
ป้องกันอันตรายจากกระเป๋าน้้าร้อน การประคบร้อน เย็น
ผู้ป่วยอาจมีคลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากการมีความดันโลหิตต่้าลงจากฤทธิ์ยาที่ใช้
ห้องผ่าตัด
บุคคลากรที่อยู่ในห้องผ่าตัด
แพทย์ผ่าตัด
แพทย์ผ่าตัด มี 2 ประเภทคือ
ศัลยแพทย์ทั่วไปgeneral surgeon
จะทำการผ่าตัดทั่วไป
ศัลยแพทย์เฉพาะทางspecialized surgeon
ผ่าตัดเฉพาะจุดหรือเฉพาะด้าน เช่น ศัลยกรรมทรวงอกและหัวใจ ศัลยกรรมระบบประสาท ศัลยกรรมกระดูและข้อ จักษุแพทย์ ศัลยกรรมพลาสติก ฯลฯ
เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการดมยาสลบ
หน้าที่หลักวิสัญญีแพทย์ anesthetist
ระงับความเจ็บปวดของคนไข้ ได้แก่ การวางยาสลบ บล็อกหลัง และฉีดยาชา
เจ้าหน้าที่การพยาบาลคนไข้
หน้าที่หลักพยาบาลประจำห้องผ่าตัด
พยาบาลช่วยเหลือผ่าตัด (Assistant)
มีความสามารถช่วยแพทย์ทำการผ่าตัดได้
พยาบาลอำนวยการผ่าตัด (Circulating nurse)
อำนวยความสะดวกแก่ทีมผ่าตัด
พยาบาลส่งเครื่องมือผ่าตัด (Scrub Nurse)
คอยจัดเตรียมและส่งเครื่องมือผ่าตัด
การจัดท่านอน
1. ท่านอนหงาย (dorsal position/ supine position)
เป็นท่าสาหรับผู้ป่วยที่อ่อนเพลีย ไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้และ เตรียมตรวจอวัยวะด้านหน้าของร่างกาย เช่น ศีรษะ หน้า แขน ขา หน้าอก ท้อง
2.ท่านอนหงายราบศีรษะตํ่า ( Trendelenburg position)
ท่านอนศีรษะตํ่าใช้ในรายที่ผ่าตัด อวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน
3.ท่า fracture table position
4. ท่านอนศีรษะสูงปลายเท้าต่ำ Reverse Trendelenburg position
5. ท่านอนหงายขึ้นขาหยั่ง Lithotomy position
6. การนอนคว่ำ (Prone Position)
เป็นวิธีการที่ใช้กับผู้ป่วยกลุ่มที่มีอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน หรือ ARDS เช่น โรคปอดอักเสบที่มีลักษณะผิดปกติในปอดทั้ง 2 ข้าง
7. ท่า Jackknife position
8.ท่านอนหงายศีรษะสูง (Fowler's position)
เป็นท่านอนที่จัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 60 ถึง 90 องศา
9.ท่าเข่าชิดอก Knee chest position
ใช้ตรวจทวารหนัก ต่อมลูกหมาก
10.ท่านอนตะแคงสำหรับการผ่าตัดไต Kidney Position
11.ท่าตะแคง Lateral Position
12. ท่า Wilson Frame position
การเย็บแผล
เย็บแบบธรรมดา ชนิดปล้อง (Simple interrupted suture )
คือ ใช้เข็มตักเข้าไปที่เนื้อใต้ ผิวหนังส่วนที่ต้องการเย็บเพียงครั้งเดียว แล้วผูกเป็นปมไว้ที่ด้านข้าง ซึ่งใช้กับแผลโดยทั่วๆไป และ ได้ผลดีในการห้ามเลือด
Vertical mattress
เหมาะสำหรับแผลที่ก้นแผลลึกต้องการแรงดึงจากไหมและให้ขอบแผลชนกันสนิทป้องกันการเกิดการม้วนของขอบแผลลงไปด้านใน
Horizontal mattress
เพิ่มแรงดึงเนื้อเยื่อเข้าหากัน
Continuous suture
การเลือกใช้งานใกล้เคียงกับ Simple suture แต่จะทำให้เลือดมาเลี้ยงแผลได้ลดลงและ ควบคุมความแน่นหรือหลวมหลอดแผลได้ยากกว่าการเย็บเป็นคำๆ (interrupted stitch)
การพยาบาลระยะก่อนผ่าตัด
เตรียมผู้ป่วยด้านร่างกายก่อนการผ่าตัด
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ความสมบูรณ์ของร่างกายในการได้รับน้ำและอาหารที่พอเหมาะ
ระบบทางเดินหายใจ
ภาวะสารน้ำและอิเลคโตรลัยด์ สารน้ำและอิเลคโตรลัยด์
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
การพักผ่อนและการออกกำลังกาย
ในระยะก่อนผ่าตัดควรแนะนำและให้ข้อมูลต่างๆ ที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องทราบ และการปฏิบัติตนหลังผ่าตัด
การเตรียมร่างกายอื่นๆ
อาหารและน้ำดื่ม
ต้องงดอาหารก่อนผ่าตัด อย่างน้อย 8 ชั่วโมง
การขับถ่าย
การเตรียมระบบขับถ่าย เพื่อให้ลำไส้
สะอาด ป้องกันไม่ให้อุจจาระไหลออกมาขณะผ่าตัด
3.การเตรียมผิวหนัง
เตรียมผิวหนังบริเวณ
ที่จะทำผ่าตัดให้สะอาดเพื่อลดจำนวนจุลินทรีย์
การส่งผู้ป่วยไปห้องผ่าตัด
โดยทั่วไปให้ผู้ป่วยนอนรถเข็นนอน เข็นรถด้วยความนุ่มนวลระมัดระวังอย่าเข็นเริวเกินไป ผู้ป่วยอาจเวียนศีรษะ อาเจียนได้ ควรมีพยาบาลหรือคนที่ผู้ป่วยคุ้นเคยตามไปห้องผ่าตัดด้วยตลอดเวลาจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่ห้องผ่าตัดมารับเข้าห้องผ่าตัด เพราะการอยู่คนเดียวในที่แปลกๆอาจทำให้ผู้ป่วยกลัวได้
การเตรียมผู้ป่วยด้านจิตใจก่อนการผ่าตัด
การเตรียมผู้ป่วยด้านจิตใจจะต้องมีระยะเวลานานจึงจะทราบความคิด ทัศนคิติความกังวลใจ ผู้ป่วยบางคนอาจวิตกกังวลเกินความเป็นจริง
ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ จะทำให้ผู้ป่วยเกิดความคุ้นเคย อบอุ่นใจ ไว้วางใจและเชื่อมั่นในทีมที่จะให้การรักษาและยังต้องให้ญาติมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาที่ผู้ป่วยจะต้องเผชิญ
การพยาบาลระยะหลังผ่าตัด
ระยะหลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงแรก (0-24 ชั่วโมง)
การพยาบาลหลังผู้ป่วยได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั้งร่างกาย
การพยาบาลผู้ป่วยหลังได้รับยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่
การรับผู้ป่วยกลับจากห้องผ่าตัด
การบรรเทาอาการปวด
การเตรียมเพื่อรับผู้ป่วยกลับจากห้องผ่าตัด
เตรียมตำแหน่งเตียงให้อยู่ในที่ที่เหมาะสม เตรียมบริเวณสำหรับวางเครื่องมือแพทย์ ที่คาดว่าจะใช้หลังการผ่าตัด เช่น เครื่องช่วยหายใจ เครื่องนับหยดสารละลาย
เตรียมเตียง ปูเตียงแบบอีเธอร์ เปลี่ยนผ้าปู ปลอกหมอน ปูผ้าขวางเตียงตรงต าแหน่งที่ท าผ่าตัด
เตรียมเครื่องใช้ต่างๆที่จ าเป็นเครื่องช่วยหายใจ เสาแขวนน้ำเกลือ เครื่องดูดเสมหะ อุปกรณ์ให้
ออกซิเจน
เตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ยาฉุกเฉิน
การพยาบาลผู้ป่วยหลังผ่าตัดระยะแรก พยาบาลจะต้องปฏิบัติดังนี้
1 บันทึกเวลาที่รับผู้ป่วยไว้
2 ทางเดินหายใจโล่งสะดวกหรือไม่ มีท่อช่วยหายใจชนิดใดอยู่เช่นEndotracheal tube ,Tracheostomy tube
3 ระดับความรู้สึกตัว
4 สัญญาณชีพ
5 ผิวหนัง สีเล็บ ริมฝีปาก
6 ลักษณะของผิวหนัง เช่น ชื้น แห้ง อุ่นหรือเย็น
7 ปฏิกิริยาโต้ตอบ การกระพริบตา การไอ การกลืน
8 สารน้ำที่ให้ทางหลอดเลือดดำ ชนิด จำนวนอัตราการหยด ผิวหนังบริเวณที่ให้สารน้ำ
9 สภาพของแผลผ่าตัด ผ้าปิดแผล ท่อระบายต่าง ๆ ตำแหน่งการทำหน้าที่ของท่อระบาย จำนวนและลักษณะของสิ่งระบายที่ออกมา
10 การให้ออกซิเจนตามความต้องการของผู้ป่วย ชนิด และการไหลของออกซิเจน
11 การขับถ่ายปัสสาวะได้เอง หรือมีสายสวนหรือหน้าท้องบริเวณหัวเหน่าโป่งตึงหรือไม่
สิ่งที่ต้องคำนึงในการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดระยะแรก
1.ระบบทางเดินหายใจของผู้ป่วยต้องโล่ง ป้องกันการสำลัก อาเจียน หรือน้ำลายเข้าไปในปอด
2.หมั่นวัดสัญญาณชีพซึ่งจะบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้ เช่นการตกเลือด การหยุดหายใจ
3.ระวังการได้รับบาดเจ็บโดยไม่จ าเป็น เช่น ตกเตียง ขาฟาดเหล็กกั้นเตียง
4.ต้องอยู่กับผู้ป่วยตลอดเวลาจนกว่าจะรู้สึกตัวดี
หลังผ่าตัด 24 ชั่วโมงขึ้นไป (> 24 ชั่วโมง)และการฟื้นฟูสภาพ
• การกระตุ้นการเคลื่อนไหวร่างกายหลังการผ่าตัด
•การบริหารการหายใจ
•การไออย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลหลังผ่าตัดระยะหลังโดยทั่วไป
อาการแทรกซ้อนของระบบทางเดินหายใจ
ที่พบบ่อยคือ หลอดลมอักเสบ ปอดแฟบ (Atelectasis)
การดูแล
ป้องกันการสำลักน้ำ น้ำลาย อาเจียน เข้าไปในปอด พลิกตัวผู้ป่วยบ่อยๆ ให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหว
อาการแทรกซ้อนในระบบไหลเวียนเลือด
อาจพบได้ เช่น หลอดเลือดดำอักเสบ หลอดเลือดดำอุดตัน
การดูแล
ให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวหลังผ่าตัดโดยเร็ว กระตุ้นการออกกำลังแขนขา กระตุ้นการทำกิจวัตร
ประจำวัน ลุก นั่ง เดิน ไม่ควรให้ผู้ป่วยนั่งห้อยเท้านาน ๆ เพราะจะทำให้เลือดคั่งที่ปลายเท้า
อาการสะอึก มักพบในผู้ป่วยที่ทำผ่าตัดช่องท้อง
มักพบในผู้ป่วยที่ท าผ่าตัดช่องท้อง ที่มีอาการท้องอืด การอาเจียนต่อเนื่อง จะทำให้ระคายเคืองถึงเส้นประสาทเฟร็นนิคและมักจะเกิดได้ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด เป็นระยะเวลาสั้นๆ
การดูแล
โดยให้ผู้ป่วยหายใจเข้า–ออก ในถุงกระดาษเป็นพักๆ เพื่อสูดเอาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์หรือแพทย์อาจให้ยากล่อมประสาท ประเภท Tranquilizers
แผลติดเชื้อ แผลแยก
มักจะมีการอักเสบให้เห็นก่อนภายใน 36-48 ชั่วโมง แรกหลังการผ่าตัด มีอาการแดง ร้อน รอบๆแผลผ่าตัดผู้ที่ติด
เชื้อง่ายได้แก่ อ้วน หรือผอมมากเกินไป มีภูมิต้านทานต่ำ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน
การดูแล
ดูแลเครื่องมือให้สะอาดปราศจากเชื้อ หรือปลอดเชื้อ ตามการใช้สอย ทำความสะอาดแผลด้วย
เทคนิคปลอดเชื้ออย่างเคร่งครัด แยกผู้ป่วยแผลติดเชื้อออกจากแผลสะอาด
อาจพบในรายที่แผลมีการติดเชื้อ การเย็บแผลไม่แน่นพอ อ้วนมากรายที่ทำผ่าตัดหน้าท้องการไอจามที่รุนแรงและไม่มีการพยุงแผล
การดูแล
แผลหน้าท้องขนาดใหญ่อาจช่วยพยุงแผลโดยใช้ผ้าพันหน้าท้องการพยุง
แผลขณะไอ จาม
การฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังผ่าตัด
ผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดต้องได้รับคำอธิบายเพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด สอนให้ผู้ป่วยหายใจลึกๆ และไอเป็นครั้งคราว ซึ่งจะช่วยให้ปอดขยายได้เต็มที่ พยาบาลต้องอธิบายวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติให้ผู้ป่วยรับทราบและเข้าใจ ตระหนักถึงความสำคัญและให้ความร่วมมือเพื่อดูแลตนเอง
วิธีการสอนให้ผู้ป่วยฝึกการหายใจ
จัดท่านอนหงายศีรษะสูง
วางมือบนหน้าอกส่วนล่าง แล้วให้กำมือหลวมๆ ให้เล็บมือสัมผัสกับหน้าอก เพื่อจะได้รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของปอด
ให้ผู้ป่วยค่อยๆหายใจออกยาวๆให้เต็มที่ กระดูกซี่โครงจะลดต่ำลง
ให้หายใจยาวๆลึกๆ ทั้งทางจมูกและปาก เพื่อปอดจะขยายได้เต็มที่ กลั้นหายใจไว้ ให้ผู้ป่วยนับ 1-5 แล้วจึงค่อยปล่อยลมหายใจออกทั้งทางจมูกและปาก
ทำซ้้ำประมาณ 15 ครั้ง ในขณะที่ฝึกให้พักเป็นช่วง ๆ เป็นระยะ ๆ หลังจากที่
ฝึกหายใจ 5 ครั้งติดต่อกัน ให้ฝึกวันละ 2 ครั้งก่อนผ่าตัด
วิธีการสอนให้ผู้ป่วยฝึกการไอ
ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย
ให้ผู้ป่วยประสานมือทั้ง 2 ข้าง และกดเบาๆ เหนือบริเวณที่คาดว่าจะมีแผลผ่าตัดทั้งนี้เพื่อช่วยท าให้แผลอยู่นิ่งระหว่างการไอ เพื่อลดอาการเจ็บขณะที่ไอ
ให้ผู้ป่วยหายใจเข้า ออก ตามวิธีที่ฝึกข้างต้นก่อน
ให้หายใจเข้าเต็มที่ อ้าปากเล็กน้อย
ให้ผู้ป่วยไอ 3-4 ครั้ง
ให้ผู้ป่วยอ้าปาก หายใจลึกๆ และไอแรงๆ อย่างเร็ว 1-2 ครั้ง เสมหะที่มีอยู่ในปอดออกมาได้