Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาลสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์อายุ…
กรณีศึกษาที่ 2 การพยาบาลสตรีที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์อายุ 38 ปี
G2P1A0L1
ท่านสามารถกำหนดข้อวินิจฉัยการพยาบาลและวางแผนการรักษาได้อย่างไรบ้าง
ก่อนคลอด
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเเทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์เเละมารดา เนื่องจากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
กิจกรรมการพยาบาล
1.แนะนำการปฏิบัติตัวที่สำคัญในการควบคุมเบาหวานเพื่อป้องกันความรุนเเรงของโรคและป้องกันการเกิดภาวะเเทรกซ้อน
2.แนะนำงดอาหารที่มีน้ำตาลสูง ได้เเก่ น้ำตาล น้ำผึ้ง นมข้นหวาน ขนมหวานต่างๆ น้ำหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีเเอลกอฮอล์ ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน องุ่น มะม่วงสุก เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
3.แนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการออกกำลังกายเเบบเบาๆ ที่ไม่มีการกระเเทกหรือต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น เดิน ว่ายน้ำ โยคะ เป็นต้น เพื่อลดภาวะ insulin resistant
แนะนำให้หญิงตั้งคครภ์เห็นถึงความสำคัญของการมาตรวจตามนัด เพื่อความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
5.แนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติที่ควรมาพบเเพาย์ทันที เช่น ใจสั่น เหงื่อออก ตัวเย็น ซึ่งเเสดงถึงภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีอาการเจ็บครรภ์ มีเลือดออกจากช่องคลอด ทารกดิ้นน้อยลงหรือไม่ดิ้น
แนะนำเกี่ยวกับการดูเเลทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์โดยการชำระจากด้านหน้าไปด้านหลังและเช็ดให้เเห้ง เพื่อลดสิ่งหมักหมมบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ เพราะขณะตั้งครรภ์มีตกขาวมากเเละปัสสาวะบ่อย และเพื่อเป็นวิธีการป้องกันการชักนำเอาเชื้อโรคจากทวารหนักเข้าสู่ช่องคลอดและรูปัสสาวะซึ่งอาจจะทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย
7.แนะนำให้นับการดิ้นของทารกในครรภ์หลังรับประทานอาหารเเต่ละมื้อนาน 1 ชั่วโมง ถ้าได้ 3 ครั้งขึ้นไปถือว่าปกติ เเต่ถ้าน้อยกว่า 3 ครั้ง ให้นับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง ในอีก 1 ชั่วโมงหลังทารกควรดิ้นไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง ถ้าน้อยกว่า 4 ครั้งหรือหลังอาหาร 3 มื้อรวมกันเเลเวทารกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้ง เเสดงว่าทารกมีภาวะผิดปกติ ควรรีบมาพบเเพทย์ทันที
8.เเนะนำวิธีการฉีดยาลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยวิธีที่ถูกต้อง เเละฉีดตามเวลาที่เเพทย์สั่ง
9.ติดตามดูเเลการเจริญเติบโตของทารก
ไตรมาสเเรก
-ตรวจยืนยันอายุคครภ์และติดตามอายุครรภ์ที่เเน่นอนโดยคลื่นความถี่สูง (ultrasonography)ที่ห้องตรวจครรภ์
ไตรมาสสอง
-ดูเเลให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหาความพิการเเต่กำเนิด (target sonography) รวมทั้งการตรวจ fetal echocardiogram เมื่อายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์
ไตรมาสสาม
-ตรวจติดตามการเจริญเติบโตเเละความผิดปกติของรก และปริมาณน้ำคร่ำด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงเมื่ออายุครรภ์ 28-30 สัปดาห์
-ทำการตรวจ fetal movement count เมื่ออายุครรภ์ 28-30 สัปดาห์
-ตรวจวินิจฉัยและรักษาภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ และครรภ์เป็นพิษให้ได้เเต่เนิ่นๆ
-หากมีการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดให้ใช้ magnesium sulfate เเทนยากลุ่ม beta sympathomimetic เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นหรือ DKA
หลังคลอด
มารดา
เสี่ยงต่อการเกิดการตกเลือดหลังคลอด เนื่องมอลูกเกิดการขยายตัวมากจากทารกมีขนาดตัวใหญ่ ส่งผลต่อการหดตัวของมดลูกได้ไม่ดี
กิจกรรมการพยาบาล
1.ติดตามวัดสัญญาณชีพ อย่างใกล้ชิดทกุ 5-15 นาทีในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังรับย้ายจากห้องคลอด เเละประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและระดับยอดมดลูก ทุก 15 นาที
2.ประเมินกระเพาะปัสสาวะเต็มและ กระตุ้นให้มารดาปัสสาวะเองภายใน 4 - 6 ชั่วโมงนับจากการปัสสาวะครั้งสุดท้ายของมารดา หากพบว่ามี กระเพาะปัสสาวะเต็มและมารดาไม่สามารถปัสสาวะ เองได้ ให้ทําการสวนปัสสาวะทิ้งเพื่อป้องกันกระเพาะปัสสาวะเต็มและขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก
3.ประเมินลักษณะ และปริมาณของเลือดหรือน้ําคาวปลาที่ออกจากช่อง คลอดในระยะแรกรับให้มารดาใส่ผ้าอนามัย เพื่อประเมินลักษณะและปริมาณของเลือดที่ออกทางช่อง คลอด และทําการบันทึกทุก 15 นาที ในระยะ 2 ชั่วโมง แรก บันทึกทุก 1-2 ชั่วโมงในระยะ 4 ชั่วโมงหลังคลอด และบนั ทกึ ทกุ 4 ชั่วโมงจนครบ 24 ชวั่ โมงแรกหลังคลอด
นำทารกมาเข้าเต้าเพื่อกระตุ้นการดูดนมมารดาโดยเร็วในรายท่ีไม่มีข้อห้ามใน การให้นมแม่เพื่อช่วยกระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
ดูเเลให้ได้รับประทานอาหาร และพักผ่อนนอย่างเพียงพอใน ระยะ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
6.จัดให้มารดาหลังคลอดอยู่ที่เตียงใกล้กับเคาน์เตอร์พยาบาลหรือมีพยาบาลดูแลใกล้ชิด
หากพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างงต่อเนื่อ ง(Activebleedingpervagina) ให้เฝ้าระวังอาการแสดงของภาวะช็อกจากการเสียเลือด (Hypovolemic shock) เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก มือ -เท้าเย็น หากพบความผิดปกติ ดังกล่าวให้ รายงานแพทย์และตามทีมในการช่วยเหลือแก้ปัญหาทันที
ทารก
เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเเทรกซ้อนหลังคลอดในทารกที่เเม่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
-1.ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเเรกเกิด (Neonatal hypoglycemia)
กิจกรรมการพยาบาล
1.ตรวจและบันทึกผลของน้ําตาลในเลือด (dextrostix) ทุก4-6ชั่วโมงถ้าต่ำกว่า 45 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร รายงานแพทย์ (ปกติ 50-70 mg/dl)
2.สังเกตและบันทึกอาการทั่วไปของทารก ตรวจดูระดับความรู้สึกตัว และสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
กินนมเเม่ทันที หากเจาะน้ำตาลในเลือดเเล้วยังต่ำ ให้ สารละลาย glucose 10 %
-ให้นมทุก 2-3 ชั่วโมง
ดูแลทารกให้ได้รับสารละลายกลูโคส 10 % ขนาด 2 มิลลิลิตรต่อกิโลกรัมภายในเวลา 1 นาที เข้า ทางหลอดเลือดดําและตามด้วยสารละลายกลูโคส ในปริมาณ 6-8 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อนาที
5.บันทึกปริมาณน้ําเข้าและออกจากร่างกาย เพื่อดูความสมดุลและภาวะการขาดน้ําที่อาจเกิดขึ้นได้
5.สังเกตอาการของทารกอย่างใกล้ชิดเพื่อดูความเปลี่ยนแปลงและอาการผิดปกติได้ เเก่ ซึม ชัก หยุดหายใจ อาเจียน เป็นต้น เมื่อพบรีบรายงานแพทย์
-ภาวะบิลิรูบินในเลือดสูง (hyperbilirubinemia)
กิจกรรมการพยาบาล
1.ตรวจร่างกายหากมีอาการเเสดงของภาวะตัวเหลืองอย่างเห็นได้ชัด ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาสาเหตุของภาวะตัวเหลือง ดังนี้
ระดับบิลิรูบิน
ตรวจนับเม็ดเลือด
ตรวจหมู่เลือดและ Rh
Direct coomb's test
ตรวจ G6PD screening test
2.ดูเเลให้ได้รับการรักษาโดยการส่องไฟ (Phototherapy) โดยถอดเสื้อผ้าทารกออกให้หมด ใส่ผ้าอ้อม ปิดตา เเละห้ามทาโลชั่นเเละเเป้งบริเวณผิวทารก เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเเทรกซ้อน
3.ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
4.ประเมินการได้รับสารน้ำเเละดูเเลให้ทารกได้รับสารน้ำเเละน้ำนมอย่างเพียงพอ เพื่อให้ทารกขับบิลลิรูบินออกทางปัสสาวะและอุจจาระได้
5.เฝ้าระวังและสังเกตุอาการเปลี่ยนเเปลงทางระบบประสาทอย่างใกล้ชิด ได้เเก่ อาการซึม ดูดนมไม่ดี กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก เเขนขากระตุก หรือเหยียดเกร็ง ร้องเสียงเเหลมชัก รายงานเเพทย์มันทีเมื่อพบอาการ
-เสี่ยงต่อภาวะหายใจลำบากเเรกคลอด(RDS) เนื่องจาก GDM จะส่งผลต่อการสร้าง surfactant ของทารกในครรภ์
กิจกรรมการพยาบาล
1.สังเกตและบันทึกอาการหายใจลําบากได้แก่หายใจเร็ว(> 60ครั้ง/นาที)ปีกจมูกบาน(nasal flaring) หน้าอกบุ๋ม, หายใจดึงรั้ง (Retraction of Substernal และ Inter Costal) มีเสียงคราง (Expiratory grunt) เขียวคล้ำ
2.ดูเเลให้ได้รับออกซิเจนตามเเผนการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดภาวะพร่องออกซิเจน
3.จัดท่านอนทารกเพื่อให้ช่องทางเดินหายใจโล่งดูแลทารกให้ได้รับการเจาะหาแก๊สในเลือดตามแผนการรักษาของแพทย์ ติดตามผลเพื่อประเมินอาการขาดออกซิเจนของทารก
4.ติดตามค่า Oxygen saturation (SaO2) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินภาวะพร่องออกซิเจนของร่างกาย
10.สตรีตั้งครรภ์รายนี้ควรได้รับการดูแลอย่างไรบ้าง
การดูเเลระหว่างตั้งครรภ์
กรณีต้องยับยั้งการเจ็บครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการให้ beta-agonistแต่อาจให้ calcium chanelblocker(nifedipine) หรือ magnesium sulfate แทน
ตรวจครรภ์ทุก1-2 สัปดาห์ติดตามระดับน้ําตาลในอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ตรวจติดตามการทํางานของไตการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะระดับHbA1C
เมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ตรวจครรภ์ทุก 1 สัปดาห์เฝ้าระวังภาวะความดันโลหิต ตรวจอัล
ตราซาวด์ติดตามอัตราการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช่วง 28-32 สัปดาห์
ดูเเลให้ได้รับอินซูลินตามเเผนการรักษาเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะเเทรกซ้อนเเละควบคุมการรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย
ออกกำลังกายในระดับปานกลาง ไม่หักโหมจนเกินไป อย่างสม่ำเสมอ นานอย่างน้อย 30 นาที ได้เเก่ การเดินนาน ว่ายน้ำ ขี่จักยานอยู่กับที่ เพื่อเพิ่มความไวต่ออินซูลินและเพิ่มฤทธิ์ของอินซูลิน (ลดภาวะดื้ออินซูลิน) ก่อนการออกกำลังกายควรรับประทานอาหารว่างเพื่อป้องกันภาวะระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
สอนเเละเเนะนำการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเอง โดยตรวจทำการตรวจวันละ 6 ครั้ง คือ ก่อนอาหารทุกมื้อ และ 1 ชั่วโมงหลังอาหาร 3 มื้อ
ตรวจสุขภาพทารกในครรภ์ โดยการนับลูกดิ้น ตั้งเเต่ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป และ Nonstress test 1-2 ครั้ง/สัปดาห์ ตั้งเเต่ 32 สัปดาห์ จนกระทั่งคลอด
เมื่อเข้าสู่ระยะคลอด สตรีตั้งครรภ์รายนี้ ควรได้รับการดูแลอย่างไรบ้าง
วิธีการคลอด : สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ตามปกติแต่ในทารกที่ตัวโตมากอาจพิจารณาผ่าตัดทางหน้าท้อง
ในกรณีที่มีการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด อาจพิจารณายับยั้งการเจ็บเหมือนทั่วไป แต่ต้องหลีกเลี่ยงการให้ beta-symphathomimatic เนื่องจากยาเหล่านี้จะทำให้ประสิทธิภาพการควบคุมน้ำตาลในมารดาลดลง และทำให้เกิด ketoacidosis ได้ง่าย
ตรวจหาการฉีกขาดของช่องทางคลอด เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอดในรายที่คลอดทางช่องคลอด และระวังการติดเชื้อหลังคลอด
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำเพื่อให้มีระดับน้ำตาลในเลือดปกติอยู่ระหว่าง 80-120 mg/dL ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 1-2 ชั่วโมง และให้ Insulin ทางหลอดเลือดดำและหยุดให้ Insulin เมื่อรกคลอด
1.สตรีรายนี้ควรได้รับการคัดกรองเบาหวานตั้งแต่ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์หรือไม่ เพราะเหตุใด
ควรได้รับการคัดกรอง( กาญจนา ศรีสวัสดิ์และอรพินท์ สีขาว,2557)
ประวัติ: มารดาเป็นเบาหวาน
อายุ > 35 ปี
เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
เคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนัก มากกว่า 4,000 กรัม
ภายหลังคลอด C/S มารดาหลังคลอดรายนี้ควรได้รับการดูแลอย่างไรบ้าง
หยุดให้อินซูลินทันที
แนะนำมารดาให้คุมกำเนิด ควรหลีกเลี่ยงการคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง และไม่แนะนำการใส่ห่วงอนามัยอาจเพิ่มการติดเชื้อได้
ดูแลให้ได้รับสารน้ำตามแผนการรักษาของแพทย์ หากสามารถรับประทานอาหารได้ กระตุ้นให้ดื่มน้ำ รับประทานอาหารเหลวและอาหารอ่อนตามลำดับ แต่ควรเพิ่มปริมาณอาหารและพลังงานต่อวันเป็น 500 kcal/day
กระตุ้นให้มารดามีการเปลี่ยนอิริยาบถ กรณีมีการปวดแผลไม่มาก โดยการลุก นั่ง เดินใกล้ๆ การเปลี่ยนอิริยาบถจะช่วยให้ลำไส้กลับมาทำงานได้เร็ว ท้องไม่อืด ลดการเกิดผังผืดในช่องท้องและป้องกันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
แนะนำไม่ให้แผลผ่าตัดโดนน้ำประมาณ 7 วัน หากเย็บแผลด้วยไหมละลายไม่ต้องตัดไหม หากเย็บแบบธรรมดาให้ตัดไหมเมื่อครบ 7 วัน
ประเมินและสังเกตอาการผิดปกติ หากมีน้ำหรือเลือดออกจากแผลผ่าตัดในปริมาณที่มาก มีหนอง บริเวณแผลมีอาการบวมแดง ปวดแผลมากยิ่งขึ้น ให้รายงานแพทย์ทันที
หากมารดาไม่ปวดแผลผ่าตัดมาก สามารถให้ทารกดูดนมได้ เพื่อช่วยกระตุ้นให้น้ำนมมาเร็วขึ้นและเพื่อเพิ่มสายสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก
ขณะ 2 ชั่วโมงหลังคลอด ทารกรายนี้ควรได้รับการดูแลอย่างไรบ้าง
Hypoglycemia
ดูแลทารกอย่างใกล้ชิด โดยติมตามภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เช่น RDS,Hypothemia, Neonatal hypoglycemia
ติดตามผลการตรวจระดับน้ำตาลเป็นระยะ โดยเจาะDTX เพื่อประเมินภาวะ Neonatal hypoglycemia
ดูแลให้ได้รับนมมารดาภายใน 1-3 ชม.แรกถ้าสามารถรับนมได้การรักษาภาวะกลูโคสในเลือดต่ำ (≤ 40 มก / ดล) ควรให้ 10% D / W 2 มล / กก (200 มก / กก) ทางหลอดเลือดดำ และติดตามด้วย 10% DW ประมาณ 80-100 มล / กก. / 24 ชม. (6-8 มก / กก / นาที) เพื่อให้กลูโคสในเลือดอยู่ในระยะปลอดภัย
ในทารกที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะกลูโคสในเลือดต่ำ
ควรได้รับการตรวจกรองระดับกลูโคสด้วยแผ่นตรวจกุลูโคส (glucose strip test) นิยมตรวจจนระดับคงที่อย่างน้อย 2 ครั้งถ้าระดับกลูโคสในเลือดสูงกว่า 40 มก/ ดลห่างกันประมาณ 15-30 วินาทีและทารกแข็งแรงดีก็ไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำการตรวจติดตามต่อไปอีกขึ้นกับว่าทารกนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด
hypothermia
จัดท่ารกให้อยู่ในตู้อบที่มีอุณหภูมิเหมาะสม
ดูแลให้ความอบอุ่นแก่ทารก เมื่อจำเป็นต้องนำทารกออกจากตู้อบให้ห่อตัวทารกด้วยผ้าสำลีหรือใช้เครื่องให้ความอบอุ่นขณะให้การพยาบาล
หาใจเร็ว RR 72 bpm
จัดทารกให้นอนในท่าลำคอตรง ไม่พับงอ (Neutral position) หรือท่านอนคว่ำ เพื่อช่วยลดการใช้แรงในการหายใจ
ดูแลทารกให้ได้รับออกซิเจน
นักศึกษาคิดว่าสตรีตั้งครรภ์รายนี้ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงหรือความเสี่ยงต่ำในการเป็นเบาหวาน ขณะตั้งครรภ์ เพราะเหตุใด
มีภาวะเสี่ยงสูง เนื่องจากญาติสายตรงคือมารดาเป็นเบาหวาน โรคเบาหวานเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยลูกที่มีพ่อหรือแม่เป็นเบาหวาน จะมีโอกาสเป็นเบาหวานร้อยละ 30 หากทั้งพ่อและแม่เป็นเบาหวาน โอกาสที่ลูกจะเป็นเบาหวานจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 (โรงพยาบาลเทพธารินทร์)
อายุ > 35 ปีการทำงานของอวัยวะต่างๆค่อยๆเสื่อมลง ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อมารดาและทารกขณะตั้งครรภ์ได้
หากสตรีตั้งครรภ์รายนี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จะมีการตรวจ อะไรบ้าง
การคัดกรอง
วิธี 50 g GCT
แปลผล plasma glucose > = 140 mg/dl ผิดปกติ
ในกรณีศึกษา ผล 150 mg/dl
ถ้าผิดปกติ ให้ตรวจวินิจฉัยต่อด้วย 100 กรัม OGTT
การวินิจฉัย
วิธี 100 g OGTT
การแปลผลตาม carpenter and counstan(ACOG, 2018)
ผิดปกติ 1 ค่า นัดมาตรวจซ้ำ
ผิดปกติ 2 ค่าขึ้นไป = เป็นเบาหวาน
FBS = 100 mg/dl(95) ผิดปกติ
1 hr-PPG= 170mg/dl(180) ปกติ
2 hr-PPG =150 mg/dl(155) ผิดปกติ
3 hr-PPG = 130 mg/dl(140) ปกติ
ท่านควรแนะนาการเตรียมตัวเพื่อตรวจ 50 g GCT และ 100 g OGTT แก่สตรีตั้งครรภ์รายนี้ อย่างไรบ้าง
การตรวจคัดกรองโดยการใช้น้ำตาลกลูโคส 50 กรัม ( 50 g Glucose challenge test, GCT)
แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์ดื่มสารละลายที่มีกลูโคส 50 กรัม แล้วหลังจากนั้น 1 ชั่วโมงให้ทำการเจาะเลือดตรวจระดับกลูโคส โดยที่สตรีตั้งครรภ์ไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อนรับการตรวจ
การตรวจเบาหวานโดยใช้น้ำตาลกลูโคส 100 กรัม (100-g Oral glucose tolerance test, OGTT)
3) เช้าวันตรวจทำการเจาะเลือดตรวจระดับกลูโคสหลังงดอาหารข้ามคืน (fasting plasma glucose, FPG)
4) หลังจากนั้นดื่มสารละลายกลูโคสปริมาณ 100 กรัม
2) ก่อนการตรวจให้สตรีตั้งครรภ์รับประทานอาหารตามปกติที่เคยรับประทานอยู่โดยไม่ต้องจำกัดปริมาณอาหารโดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตเป็นเวลา 3 วันก่อนวันนัดตรวจ ปริมาณคาร์โบไฮเดรตควรมากกว่า 150 กรัมต่อวัน และไม่จำกัดการออกกำลังกาย การที่สตรีตั้งครรภ์รับประทานอาหารให้น้อยลงจะส่งผลให้ร่างกายมีการตอบสนองเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำตาลให้มากขึ้นและทำให้การตรวจ OGTT ได้ผลคลาดเคลื่อน
1) แนะนำให้สตรีตั้งครรภ์งดอาหารก่อนวันตรวจเป็นเวลาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 14 ชั่วโมง
5) เจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับกลูโคสภายหลังดื่มสารละลายกลูโคสที่ 1, 2, 3 ชั่วโมงตามลำดับ
สตรีตั้งครรภ์รายนี้ เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือไม่ เพราะเหตุใด
เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จากการแปลผล 100g OGTT เป็น GDM A2 พบว่ามี 100g OGTT ผิดปกติ 2 ค่า ขึ้นไป แต่ FBS มากกว่าปกติ การดูแล คือ รักษาด้วยอินซูลินเลยทันที หรือบางสถาบันให้ข้อมูลการคุมอาหารก่อนและนัดมาติดตาม ค่า FBS และ 2 hs pp หากค่าปกติ เปลี่ยนวินิจฉัยว่า GDM A1 แต่หากค่า FBS หรือ 2 hs pp ผิดปกติ วินิจฉัยว่า GDM A2 รับการรักษาด้วยอินซูลิน
จงอธิบายพยาธิสรีรวิทยาของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ของสตรีรายน
ขณะตั้งครรภ์ฮอร์โมนต่างๆ ที่ผลิตจากรก เช่น HPL (Human Placental Lactogen), โปรเจสเตอโรน, cortisol จะขัดขวางการทำงานของ insulin และส่งผลให้เกิดภาวะต้าน insulin (insulin resistance) คือความสามารถในการนำน้ำตาลเข้าเซลล์ลดลง ทำให้มีภาวะ post-prandial hyperglycemia ฮอร์โมนดังกล่าวมีการสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ดังนั้นในช่วงไตรมาสหลังของการตั้งครรภ์มักจะพบระดับน้ำตาลในเลือดสูงได้
ท่านคิดว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ส่งเสริมให้สตรีตั้งครรภ์รายนี้เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
-อายุมากกว่า30ปี:อายุ38ปี
-มารดามีประวัติเป็นเบาหวาน
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานขณะตั้งครรภ์
-ดัชนีมวลกายมากกว่า27กิโลกรัมต่อตารางเมตร
-อายุมากกว่า30ปี
-มีภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
-มีน้ำคร่ำมากกว่าปกติ
-มีประวัติเคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือมีความทนต่อกลูโคสบกพร่องในครรภ์ก่อน
-มีประวัติคลอดบุตรน้ำหนักเกิน4,000กรัม
-มีประวัติทารกเสียชีวิตในครรภ์หรือพิการโดยไม่ทราบสาเหตุ
-มีญาติพี่น้องสายตรงเป็นเบาหวาน
8.หากระบุว่าสตรีตั้งครรภ์รายนี้เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์อย่างแน่นอน ในแต่ละครั้งที่มาฝากครรภ์ สตรีตั้งครรภ์ควรได้รับการซักประวัติหรือประเมินเรื่องใดบ้าง
การซักประวัติ
1.ประวัติการเป็นโรคเบาหวานในญาติพี่น้องร่วมสายตรง
2.เคยมีการคลอดบุตรน้ำหนักมากว่า4,000กรัมในครรภ์ก่อนหรือไม่
3.มีประวัติเคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือมีความทนต่อกลูโคสบกพร่องในครรภ์ก่อน
การตรวจร่างกาย
1.รูปร่างว่ามีภาวะอ้วนไหม
2.การประเมินวัดความดันเพื่อประเมินภาวะความดันโลหิตสูง
3.การตรวจครรภ์ว่าครรภ์ใหญ่กว่าปกติหรือไม่
การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
1.ตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ จะได้ผลบวกหากน้ำตาลเกิน125mg/dl
2.การตรวจหาระดับน้ำตาลในกระแสเลือด 100gOGTT
9.ท่านคิดว่าสตรีตั้งครรภ์รายนี้ ได้รับผลกระทบจากการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์แล้วหรือยัง มีข้อมูลใดสนับสนุน
สตรีรายนี้ได้รับผลกระทบจากการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์แล้ว
ข้อมูลสนับสนุนคือ
-เป็นGDM A2เนื่องจากพบว่ามี FBS และ2hs ppผิดปกติ
คือ2hs-PPG=168mg(ปกติน้อยกว่า155mg) และFBS=110mg(ปกติน้อยกว่า95mg)
-ทารกตัวใหญ่ทำให้ต้องได้รับการผ่าคลอด
สมาชิก
62114772 ธัญลักษณ์ จุลสำอางค์
62102512 ญาดา คงพันธ์ทะระ
62115761 หทัยภัทร คำพิชิต
62103643 ทิฆัมพร เพอสะและ
62105895 ปัทมาวรรณ ศรีจันทร์
62104260 ธิดาสิน บัววารี