Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ผู้สูงอายุในชุมชน เพศหญิง อายุ 74 ปี - Coggle Diagram
ผู้สูงอายุในชุมชน เพศหญิง อายุ 74 ปี
ข้อมูลส่วนบุคคล
• ผู้สูงอายุชื่อ นางนิตยา มณีศรี อายุ 74 ปี เพศ หญิง สถานภาพ สมรส
• สัญชาติ ไทย เชื้อชาติ ไทย ศาสนา พุทธ อาชีพ ข้าราชการบำนาญ
• ระดับการศึกษา ปริญญาโท รายได้เฉลี่ย 35,000 บาท/เดือน
• ภูมิลำเนาเดิม จังหวัดเลย
• ที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 17 ซอย 14 ถ.ลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี
ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับภาวะสุขภาพผู้สูงอายุ
• โรคประจำตัวและการรักษา : โรคไขมันในเลือดสูง รักษามา 5 ปี
• มียาที่รับประทานเป็นประจำ : Simvastatin แคลเซียม วิตามินดี ยาหยอดตา
ยาคลายกล้ามเนื้อ
• ปัจจุบันรับยาและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา
ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
• การผ่าตัด : เคยเข้ารับการผ่าตัดมะเร็งเต้านมข้างซ้ายระยะ 2 เมื่ออายุ 40 ปี
ให้คีโมอยู่ประมาณ 12 เดือน ปัจจุบันหายดีแล้วมีการไปตรวจซ้ำปีละ 1 ครั้ง
• การแพ้ยา : แพ้ยา Penicillin อาการแพ้ เป็นผื่นคันตามผิวหนังแขนขา 2-3 วัน จึงจะหาย
• ประวัติอุบัติเหตุ : ปฏิเสธการได้รับอุบัติเหตุร้ายแรง
• ประวัติการเจ็บป่วยในครอบครัว : สามีมีโรคประจำตัวเป็นไขมันในเลือดสูง
ลักษณะของครอบครัว
• จำนวนสมาชิกภายในครอบครัว : 2 คน
• หัวหน้าครอบครัว : นายชารี มณีศรี แผนภูมิครอบครัว (Family Tree) :
ผู้สูงอายุมีพี่น้องจำนวน 4 คน เพศชาย 2 คน เพศหญิง 2 คน
ผู้สูงอายุเป็นคนสุดท้อง มีลูกจำนวน 2 คน เพศชาย 1 คน เพศหญิง 1 คน
• สัมพันธภาพกับสมาชิกในครอบครัว : มีสัมพันธภาพดี ผู้สูงอายุกับสามีไม่มีเรื่องทะเลาะกัน เมื่อมีใครเจ็บป่วยก็จะผลัดกันดูแลกัน ส่วนบุตรแยกย้ายไปสร้างครอบครัวเป็นของตนเองและกลับมาเยี่ยมผู้สูงอายุเป็นประจำ
• รายได้เฉลี่ยของครอบครัว : 50,000 บาท / เดือน แหล่งรายได้ : เงินบำนาญ
ข้อมูลผู้ดูแล
• ผู้ดูแลหลัก : นายชารี มณีศรี เพศ ชาย อายุ 79 ปี การศึกษา ปริญญาโท
• ภาวะสุขภาพ : มีโรคประจำตัวเป็นโรคไขมันในเลือดสูงและรับประทานยาควบคุมระดับไขมันอย่างสม่ำเสมอ
• ความสัมพันธ์กับผู้สูงอายุ : สามี
ลักษณะชุมชน
• จำนวนประชากรตำบลแสนสุข 38,203 คน จำนวนครัวเรือน 33,959 หลังคาเรือน
• อาชีพหลัก : ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพค้าขาย
• สถานบริการสุขภาพ : โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา
• กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพในชุมชน : ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่ามีการเข้าร่วมกิจกรรมภายในชุมชน เช่น เข้าร่วมกิจกรรมการเล่นอังกะลุงที่ตึกอนุรักษ์มหาวิทยาลัยบูรพา เข้าร่วมกิจกรรมการร้องเพลงที่ตึกศรีนครินทร์มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อรับบริจาคเงินในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ (เครื่องฟอกไต , เครื่องวัดความดัน) ให้แก่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา และถ้าหากเทศบาลจัดกิจกรรมจะเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ
• สภาพเศรษฐกิจ เศรษฐกิจส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการพาณิชยกรรมโดยกิจกรรมการค้าตั้งอยู่หนาแน่นบริเวณตลาดหนองมนและชายหาดบางแสนซึ่งเป็นผลมาจากการท่องเที่ยว
• ศาสนาและความเชื่อ : นับถือศาสนาพุทธ ประเพณี / วัฒนธรรม : มีการตักบาตรในตอนเช้าเป็นประจำ
ข้อมูลเกี่ยวกับแผนสุขภาพ
แบบแผนการรับรู้เกี่ยวกับสุขภาพและการดูแลสุขภาพ
• ผู้สูงอายุรู้สึกว่าช่วงนี้แพ้อะไรง่าย คัดจมูกง่าย โดยเฉพาะกลิ่นฉุนจากพริก
• ผู้สูงอายุได้รับวัคซีนป้องกัน Covid-19 ทั้งหมด 3 เข็ม ได้แก่ 2 เข็มแรกเป็น Sinovac เข็มที่ 3 เป็น Astrazeneca และได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
• ได้รับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง ผู้สูงอายุมีการดูแลตนเองอย่างดี ปฏิบัติตามแพทย์แผนปัจจุบันไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
• เมื่อเจ็บป่วยมีการดูแลตนเองอย่างดี และปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
• ปฏิเสธการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ทั้งผู้สูงอายุและคนรอบข้าง
แบบแผนอาหารและการเผาผลาญอาหาร
• พฤติกรรมการรับประทานอาหาร : ผู้สูงอายุรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ / วัน ช่วงเช้าและกลางวันรับประทานปริมาณ 1 ทัพพี ช่วงเย็นรับประทานประมาณ 2-3 ช้อน รับประทานผลไม้ เช่น ส้ม กล้วย เป็นต้น รับประทานอาหารประเภทต้ม นึ่ง เช่น ปลานึ่ง เป็นต้น ไม่รับประทานอาหารรสจัด หากช่วงที่เหนื่อยจะดื่มรังนก 1 ขวด นานๆครั้ง
• ผู้สูงอายุจะดื่มน้ำอุ่นประมาณวันละ 4 ลิตร ช่วงเช้า 2 ลิตร ช่วงเย็น 2 ลิตร ดื่มนมผงชนิด Ensure 3-4 ช้อน/แก้ว เช้า-เย็น (ประมาณ 3 กระป๋อง/เดือน) ดื่มน้ำผลไม้ และดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งก่อนนอน
• ผลการประเมินตามแบบประเมินภาวะโภชนาการ (Mini Nutritional Assessment : MNA) ได้ 26.5 คะแนน ผลการประเมิน โภชนาการปกติ ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบทางเดินอาหารจากการซักประวัติผู้สูงอายุมีระบบทางเดินอาหารปกติ
แบบแผนการขับถ่าย
• พฤติกรรมการขับถ่าย : มีการขับถ่ายอุจจาระทุกเช้า ลักษณะอุจจาระเป็นก้อนนิ่มปกติ
มีสีเหลืองเข้ม ขับถ่ายคล่องไม่ปวดบิด
• การขับถ่ายปัสสาวะ ตอนกลางวัน 3-4 ครั้ง/วัน ตอนกลางคืน 1 ครั้ง/วัน ลักษณะปัสสาวะสีเหลืองใส จะมีสีเข้มเมื่อรับประทานยาฟ้าทะลายโจร และจะมีปัสสาวะเล็ดเมื่อไอ หรือจาม
ไม่มีอาการแสบขัด หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ
• ผลการประเมินแบบประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ ผลการประเมิน รุนแรงน้อย
• ผลการประเมินตามแบบประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอาการท้องผูกของผู้สูงอายุ
ผลการประเมิน ไม่มีความเสี่ยงในการเกิดท้องผูก
• ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบขับถ่าย จากการซักประวัติผู้สูงอายุมีการขับถ่ายอุจจาระปกติ และการขับปัสสาวะ ผลการประเมิน พบปัสสาวะเล็ดโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อมีอาการไอ หรือจามแรง ๆ ออกมาปริมาณเล็กน้อย เกิดขึ้นประมาณ 1-2 ครั้ง
แบบแผนกิจกกรมและการออกกำลังกาย
• ผู้สูงอายุสามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง
• พฤติกรรมการออกกำลังกาย : ช่วงก่อนโรคระบาดโควิด-19 ผู้สูงอายุมีการออกกำลังกายเป็นประจำโดยการเข้าฟิตเนสทุกวัน ลักษณะการออกกำลังกาย เช่น เดินเร็ว โยคะ เป็นต้น และช่วงเกิดโรคระบาดโควิด-19 ผู้สูงอายุจะออกกำลังกายที่บ้านโดยการเปิดเพลงเต้น เดิน ยืดเหยียดแขนขา
• การเข้าร่วมกิจกรรมการเล่นอังกะลุงที่ตึกอนุรักษ์มหาวิทยาลัยบูรพา เข้าร่วมกิจกรรมการร้องเพลงที่ตึกศรีนครินทร์มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อรับบริจาคเงินในการซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ (เครื่องฟอกไต , เครื่องวัดความดันโลหิต)
ให้แก่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบูรพา และถ้าหากเทศบาลจัดกิจกรรมจะเข้าร่วมอย่างสม่ำเสมอ
• ผลการประเมินตามแบบประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติ (Barthel ADL Index) ได้ 20 คะแนน
ผลการประเมิน ไม่มีภาวะพึ่งพา
• ผลการประเมินตามแบบประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติดัชนีจุฬาเอดีแอล (Chula ADL Index) ได้ 9 คะแนน
ผลการประเมิน สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้มาก
• ผลการประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน 2 คะแนน ผลการประเมิน ไม่เสี่ยงต่อการหกล้ม
• ผลการประเมินความเสี่ยงการเกิดแผลกดทับ (Braden scale) ผลการประเมิน ไม่มีความเสี่ยงในการเกิดแผลกดทับ
• ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ จากการซักประวัติผู้สูงอายุมีมวลกระดูกน้อยหรือกระดูกบาง (Osteopenia) ค่ามวลกระดูก (BMD) < -2.5
• ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบหัวใจและหลอดเลือด จากการซักประวัติผู้สูงอายุมีระบบหัวใจและหลอดเลือดปกติ
• ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบทางเดินหายใจ จากการซักประวัติผู้สูงอายุมีระบบทางเดินหายใจปกติ
ปฏิเสธอาการหอบเหนื่อย หรือหายใจลำบาก
แบบแผนการพักผ่อนและการนอนหลับ
• ผู้สูงอายุนอนวันละ 8 ชั่วโมงโดยผู้สูงอายุเข้านอนเวลา 21:00 น. ตื่นนอนเวลา 05:00 น. และนอนตอนกลางวันประมาณ 30 นาที
• ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่าตนเองเป็นคนหลับยากต้องใช้เวลาในการนอนหลับประมาณ 30 นาที และตื่นกลางดึกเพื่อมาเข้าห้องน้ำประมาณคืนละ 1-2 ครั้ง รวมถึงบ้านของผู้สูงอายุอยู่ติดกับถนนลงหาด จึงทำให้ได้ยินเสียงรถวิ่งผ่านในบางครั้งจึงมีการสะดุ้งตื่นตอนกลางคืนและหลังจากนั้นจะนอนไม่ค่อยหลับต้องใช้เวลานานกว่าจะนอนได้อีกครั้ง
• การปฏิบัติตนเพื่อผ่อนคลายและส่งเสริมการนอนหลับผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่าออกกำลังกายเป็นประจำ
ดื่มน้ำอุ่น ไม่รับประทานชา กาแฟและไม่มีการใช้ยานอนหลับ
• ผลการประเมินตามแบบประเมินคุณภาพการนอนหลับ (pSQI) ได้ 4 คะแนน
ผลการประเมิน ผู้สูงอายุมีคุณภาพการนอนหลับดี
แบบแผนสติปัญญาและการรับรู้
• การได้ยิน : หูทั้งสองข้างของผู้สูงอายุสามารถได้ยินปกติ
• การมองเห็น : ผู้สูงอายุสวมใส่แว่นตาสายตายาว และสามารถมองเห็นปกติ
• การรับสัมผัส / ความสุขสบาย : ผู้สูงอายุ ไม่มีอาการปวดบริเวณร่างกาย และเมื่อมีอาการเจ็บป่วยจะไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล
• ผลการประเมินสภาพสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย MMSE - Thai 2002 ในผู้สูงอายุได้ 25 คะแนน
ผลการประเมิน ผู้สูงอายุปกติมีระดับการศึกษาสูงกว่าประถมศึกษา
• ผลการประเมินภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุไทย (Thai Geriatric Depress Scale : TGDS) ได้ 4 คะแนน
ผลการประเมิน ผู้สูงอายุไม่มีภาวะซึมเศร้า
• ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบประสาทและการรับสัมผัส จากการซักประวัติผู้สูงอายุมีระบบประสาทและการรับสัมผัสปกติดี
แบบแผนการรับรู้ตนเองและอัตรามโนทัศน์
• การรับรู้ตนเอง : รู้ว่าตนเป็นผู้สูงอายุ เป็นคนอารมณ์ดีไม่ค่อยเครียด แต่ช่วงที่เจ็บป่วยเป็น
มะเร็งเต้านม เครียด ร้องไห้ตลอด ปัจจุบันสามารถปรับตัวได้แต่ยังมีความกังวลว่าเต้านมข้างซ้ายจะเป็นมะเร็งเต้านมอีกไม่รู้สึกว่าตนเองเป็นภาระเนื่องจากสามารถช่วยเหลือตนเองได้
• วิธีการเผชิญและแก้ไขปัญหา : การทำบุญ สวดมนต์ และพูดคุยระบายความรู้สึกกับสามี หรือเพื่อนสนิท
แบบแผนบทบาทและสัมพันธภาพ
• บทบาทและหน้าที่พิเศษ : ผู้สูงอายุมีบทบาทเป็นภรรยาและมารดา
ปัจจุบันเป็นข้าราชการบำนาญ หน้าที่รับผิดชอบที่บ้านคือ ทำอาหาร ทำงานบ้าน
• สัมพันธภาพกับผู้อื่น : สัมพันธภาพในครอบครัวดี ไม่มีปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง ครอบครัวอบอุ่น บุตรสาวพักอาศัยอยู่ใกล้ผู้สูงอายุจะมาเยี่ยมผู้สูงอายุเป็นประจำ
แบบแผนเพศสัมพันธุ์
• ผู้สูงอายุมีบุตรจำนวน 2 คน เพศชาย 1 คน และเพศหญิง 1 คน ทำหมันหลังจากคลอดบุตรคนที่สอง หมดประจำเดือนแล้ว
ปัจจุบันผู้สูงอายุไม่มีเพศสัมพันธ์แล้ว
• ผลการตรวจร่างกายและซักประวัติระบบสืบพันธุ์ จากการซักประวัติผู้สูงอายุระบบสืบพันธุ์ปกติ
แบบแผนการปรับตัวและการเผชิญกับความเครียด
• ผู้สูงอายุไม่ค่อยมีความเครียด หากมีความเครียดมักจะหากิจกรรม
อื่น ๆ ทำ เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลง เป็นต้น บุคคลที่คอยให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความเครียดคือ สามี เนื่องจากผู้สูงอายุจะระบายให้สามีฟัง
• ผลการประเมินตามแบบประเมินความเครียดกรมสุขภาพจิต (ST-5)
ได้ 1 คะแนน ผลการประเมิน เครียดน้อย
แบบแผนค่านิยมและความเชื่อ
• ผู้สูงอายุนับถือศาสนาพุทธ มีการตักบาตรทุกเช้า สวดมนต์ทุกคืนก่อนนอน ไปทำบุญไหว้พระที่วัดบ้างเมื่อมีเวลาว่าง
• ผู้สูงอายุมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจคือการแขวนพระไว้ที่ตัวตลอดเวลา • ความเชื่อเกี่ยวกับด้านสุขภาพ : ผู้สูงอายุรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์แผนปัจจุบันไปตรวจตามนัดทุกครั้ง และไม่มีการรักษาตามความเชื่อ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
ข้อวินิจฉัยข้อที่1) เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม เนื่องจากผู้สูงอายุมีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสม
ข้อสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่า “ อายุ 74 ปี , หมดประจำเดือนแล้ว , ค่ามวลกระดูก (BMD) = -2.5 , ลักษณะบ้านเป็นบ้าน 2 ชั้นพื้นเป็นพื้นกระเบื้องตนเองนอนชั้นบนต้องขึ้นลงบันไดทุกวัน , เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว เคยเกิดอุบัติเหตุตกบันได 1 ครั้งเพราะเร่งรีบไปตักบาตรตอนเช้า ”
O : -
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัย
ปัจจัยภายในที่เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม คือ ผู้สูงอายุเพศหญิง อายุ 74 ปี หมดประจำเดือนแล้ว ค่ามวลกระดูก (BMD) = -2.5 แปลผลว่ากระดูกบาง เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามวัยของผู้สูงอายุเนื่องจากผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วมีการสลายกระดูกเพิ่มมากขึ้นจากการขาดฮอร์โมนเพศ จึงสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วทำให้มีความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม และเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บกระดูกแตกหักได้ง่าย และปัจจัยภายนอกที่เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม ได้แก่ สิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสม คือ ลักษณะบ้านเป็นบ้าน 2 ชั้น พื้นเป็นพื้นกระเบื้อง ผู้สูงอายุนอนชั้นบนต้องเดินขึ้นลงบันไดทุกวัน ทำให้ผู้สูงอายุต้องเดินขึ้นลงบันไดทุกวัน และพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม คือ การเร่งรีบไปตักบาตรตอนเช้าทำให้ผู้สูงอายุเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม
เกณฑ์การประเมินผล
ไม่มีปัจจัยเสี่ยงในการพลัดตกหกล้ม
• ปัจจัยภายนอก คือ ความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อม เช่น ลักษณะพื้นบ้านความต่างระดับของพื้น ราวจับบันได ลักษณะห้องน้ำที่นั่งขับถ่าย เป็นต้น
• ปัจจัยภายใน คือ โรคประจำตัว ความเสื่อมของการมองเห็น การเกิดภาวะกระดูกพรุน การเคลื่อนไหวร่างกายการเปลี่ยนอิริยาบถต่าง ๆ
2.ผู้สูงอายุไม่เกิดอุบัติเหตุ เช่น หกล้ม ตกบันได เป็นต้น
ผู้ป่วยไม่มีบาดแผลเกิดขึ้นตามร่างกาย
ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามหลังจากให้ความรู้เรื่องการป้องกันอุบัติเหตุพลัดตกหกล้มได้อย่างถูกต้องอย่างน้อย 80 %
5.แบบประเมินความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน ได้ 0 – 3 คะแนน ผลการประเมิน ไม่เสี่ยงต่อการหกล้ม
6.ประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติ (Barthel ADL Index) ได้คะแนนมากกว่าหรือเท่ากับ 12 คะแนน ผลการประเมิน ไม่มีภาวะพึ่งพา
7.ประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติแต่ชะนีจุฬาเอดีแอล (Chula ADL Index) ได้ 9 คะแนน ผลการประเมิน ความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันมาก (ติดสังคม)
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม ได้แก่
-ประเมินความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน
-ประเมินความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน เช่น ผู้ที่มีอายุเกิน 65ปี น้ำหนักตัวน้อย มีประวัติกระดูกหัก ได้รับยาประเภทสเตียรอยด์ เป็นต้น
-ประเมินความเสื่อมของการมองเห็นของผู้สูงอายุ เช่น เกิดการหนาตัว การขุ่นและแข็งขึ้นของเลนส์ตา การรับรู้ความตื้นลึก การแยกสี เป็นต้น
-ประเมินความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อม เช่น ลักษณะพื้นบ้านความต่างระดับของพื้น ราวจับบันได ลักษณะห้องน้ำที่นั่งขับถ่าย เป็นต้น
2.แนะนำการแต่งกายของผู้สูงอายุ เพื่อลดความเสี่ยงในการหกล้ม
-เสื้อ เนื้อผ้าต้องยืดหยุ่นสูง เพื่อให้สวมใส่สบาย
-รอบวงแขนเสื้อควรเลือกให้ใหญ่ เพื่อให้สวมใส่ และถอดได้สะดวก
-ปลายแขนเสื้อควรเลือกที่กว้างพอที่จะสอดมือเข้าไปได้โดยไม่โดนเกี่ยว แต่ไม่ควรกว้างเกินไป
-กางเกง ขอบกางเกง ควรเลือกกางเกงเอวสูง เป็นยางยืด มีเป้าลึก เพื่อให้สวมใส่สบาย และถอดได้ง่าย
-ความยาวของกางเกง/กระโปรง ไม่ควรเกินข้อเท้า เพื่อป้องกันการเหยียบสะดุดล้ม -ขากางเกงไม่แคบเกินไป จนสวมใส่ลำบาก
-ถุงเท้า ควรเลือกใส่ถุงเท้าธรรมดา ไม่มีปุ่มกันลื่น เพราะอาจทำให้สะดุดล้มได้
-รองเท้าใส่ให้กระชับพอดี เป็นรองเท้าส้นเตี้ย ขอบมน และพื้นมีดอกยาง
3.แนะนำการปฏิบัติตัวในกรณีหกล้ม
• กรณีรู้ตัวว่ากำลังจะล้ม
-ให้ใช้มือปิดหน้า หรือศีรษะเพื่อป้องกันการกระแทก
• กรณีเมื่อล้มแล้ว
-นอนนิ่ง ๆ สักครู่ และสังเกตอาการหรือตำแหน่งที่บาดเจ็บ
-หากพบว่าปวดสะโพก หรือต้นขา ให้นอนในท่าที่ปวดน้อยที่สุด แล้วเรียกรถพยาบาล ไม่ควรเคลื่อนย้ายเองเพราะอาจจะทำให้มีการเคลื่อนของกระดูกมากขึ้น
-ถ้ามีแผลเลือดออกให้ใช้ผ้าสะอาดกดไว้นาน 10 – 15 นาที
-ถ้าสามารถลุกได้เอง ให้ค่อย ๆ ลุกยืนอย่างช้า ๆ
-ตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ หรือคลานไปหาโทรศัพท์
4.แนะนำให้หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ได้แก่ การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ลดเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เป็นต้น เนื่องจากจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ลดลง และระมัดระวังการซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอน เป็นต้น เนื่องจากทำให้เกิดกระดูกพรุน แตกหักได้ง่าย
5.แนะนำการเปลี่ยนอิริยาบถต่าง ๆ ควรค่อย ๆ ลุกนั่ง การเคลื่อนไหวและการเดินอย่างช้า ๆ หลีกเลี่ยงการแหงานหน้า การหันซ้าย/ขวา หรือหมุนศีรษะอย่างเร็ว เนื่องจากอาจทำให้หน้ามืด เป็นลม และทำให้ผู้สูงอายุหกล้มได้
6.ให้คำแนะนำด้านโภชนาการ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการให้ครบถ้วนในแต่ละวัน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดสารอาหารซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง/ลีบและการสร้างมวลกระดูกน้อยลง ควรเลือกอาหารที่เหมาะกับผู้สูงอายุ อ่อน ย่อยง่าย เน้นอาหารประเภทโปรตีน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่สึกหรอ รับประทารผัก ผลไม้เป็นประจำทุกวัน และไม่ควรงดอาหาร เพราะจะทำให้อ่อนเพลีย มีนงง เสี่ยงต่อการหกล้มได้ง่าย
รับประทานอาหารที่มีแหล่งแคลเซียมสูง เช่น นม ปลาเล็กปลาน้อย งาดำ เป็นต้น รับประทานยาแคลเซียม และวิตามินดีตามแผนการรักษา เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
7.แนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ได้แก่
การรำมวยจีน เช่น การรำไทเก็ก จี้กง เป็นต้น เพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่นข้อต่อต่าง ๆ
การบริหารศีรษะ การบริหารคอ ท่ายืดหลัง ท่าบริหารลำตัว เพื่อการยืดกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นของข้อต่าง ๆ
การบริหารข้อเท้า ท่ายืนด้วยปลายเท้า ท่างอเข่า เพื่อการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ- การเดินแบบใช้ราวจับหรือไม่ใช้ราวจับ การยืนขาเดียว การออกกำลังกายแขน-ขา เพื่อฝึกการเดินและการทรงตัว
ข้อควรระวัง
ขณะออกกำลังกายผู้สูงอายุควรประเมินความสามารถหรือสังเกตการเคลื่อนไหวและทรงตัวว่าทำได้ดีหรือไม่ มีอาการเจ็บ ชา แขน-ขาอ่อนแรง มีอาการหน้ามือคล้ายจะเป็นลมหรือไม่ หากมีความผิดปกติดังกล่าวไม่ควรฝืนทำต่อไป จะต้องหยุดทำทันที รีบนั่งพัก เพื่อป้องกันการหกล้ม
8.แนะนำการจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและบริเวณบ้าน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม เช่น
แสงสว่างที่ใช้ในบ้าน ควรมีแสงสว่างที่เพียงพอ ไม่แสงจ้าเกินไป ควรเป็นแสงนวลสบายตา มองเห็นชัดเจนโดยเฉาะบริเวณทางเดิน บันได และในห้องน้ำควรมีสวิตซ์ปิด-เปิดไฟอยู่ในที่ ๆ ใช้งานได้สะดวก เพื่อให้ผู้สูงอายุเปิด-ปิดได้ง่าย
พื้น พื้นทางเดินในบ้านควรเป็นพื้นเรียบไม่ลื่น ไม่ลงน้ำมันหรือขัดเงา เพราะจะทำให้ลื่นง่าย ควรทำเครื่องหมายให้ชัดเจนบริเวณที่มีพื้นต่างระดับ เช่น ติดเทปกาว เป็นต้น ดูแลจัดไม่ให้มีสิ่งกีดขวางทางเดิน เพราะอา
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
เพื่อให้ผู้สูงอายุปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้ม
ประเมินผล
• ผู้สูงอายุไม่มีการเกิดอุบัติเหตุพลัดตกหกล้มซ้ำ
•ไม่มีบาดแผลเกิดขึ้นตามร่างกายจากการพลัดตกหกล้ม
•ผู้สูงอายุสามารถบอกวิธีการจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้เหมาะสมและการเลือกเสื้อผ้าเพื่อสวมใส่ป้องกันการพัดตกหกล้มได้อย่างถูกต้อง
•ผลการประเมินภาวะเสี่ยงต่อการหกล้มของผู้สูงอายุในชุมชน ได้ 2 คะแนน ผลการประเมิน ไม่มีความเสี่ยงต่อภาวะพลัดตกหกล้ม
•แบบประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติ (Barthel ADL Index) ได้ 20 คะแนน ผลการประเมิน ไม่มีภาวะพึ่งพิง
•แบบประเมินความสามารถเชิงปฏิบัติดัชนีจุฬาเอดีแอล (Chula ADL Index) ได้ 9 คะแนน ผลการประเมิน ความสามารถในการปฏิ ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันมาก
(ติดสังคม)
ข้อวินิจฉัยข้อที่2) เสี่ยงต่อการติดเชื้อ Covid-19 เนื่องจากเป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเป็นDLPและอาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้มของโรคระบาด Covid-19
ข้อสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่า “ อายุ 74 ปี , โรคประจำตัวคือโรคไขมันในเลือดสูง (DLP) , อาศัยอยู่กับสามี 2 คนมีการออกจากบ้านไปทำธุระเองบ้าง , ที่อยู่ปัจจุบันบ้านเลขที่ 17 ซอย 14 ถ.ลงหาดบางแสน ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี ”
O : -
การวิเคราะข้อวินิจฉัย
ผู้สูงอายุเพศหญิง อายุ 74 ปี โรคประจำตัว คือ โรคไขมันในเลือดสูง (DLP) อาศัยอยู่ในจังหวัดชลบุรีซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ Covid-19 เนื่องจากจังหวัดชลบุรีเป็นพื้นที่สีแดงเข้มในการแพร่ระบาดของ Covid-19 และผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีระบบภูมิคุ้มกันเสื่อมถอยลงทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย และการมีโรคประจำตัวทำให้หากมีการติดเชื้อ Covid-19แล้วมักจะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปได้ ดังนั้นผู้สูงอายุจึงควรตระหนักและระมัดระวังตนเองเพื่อให้ปลอดภัยจากเชื้อ Covid-19
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
เพื่อทบทวนความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตนเองจาก Covid-19และส่งเสริมให้ผู้สูงอายุปลอดภัยจากเชื้อ Covid-19
เกณฑ์การประเมินผล
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของโรค Covid-19 เช่น ไอ ไข้ จมูกไม่ได้ ลิ้น ไม่รับรส เป็นต้น
2.ผู้สูงอายุไม่ติดเชื้อ Covid-19
3.ได้รับวัคซีนป้องกัน Covid-19 ครบ 2 เข็ม
ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามหลังจากให้ความรู้เรื่อง Covid-19 ได้อย่างถูกต้องอย่างน้อย 80 %
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.สังเกตอาการและอาการแสดงของโรค Covid-19 เช่น ไอ ไข้ จมูกไม่ได้กลิ่น รับไม่รับรส เป็นต้น
2.อธิบายให้เห็นความสำคัญและอันตรายของโรค Covid-19
3.เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้สอบถามข้อสงสัยเกี่ยวกับ Covid-19
4.ให้ความรู้ผู้สูงอายุเกี่ยวกับโรค Covid-19 เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลตนเอง เช่น Covid-19 เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัสโคโรนา ทำให้เกิดไข้ ไอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส และอาจมีปอดอักเสบ เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้โดยผ่านละอองฝอยเป็นช่องทางหลัก (การไอ จาม น้ำลาย น้ำมูก) เมื่อร่างการสูดหายใจรับเอาฝอยละอองเหล่านี้ที่มีเชื้อ Covid-19 ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อ Covid-19 มีลักษณะโครงสร้างพิเศษคือ มีส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์เป็นชั้นไขมัน จึงสามารถถูกทำลายได้ด้วยสบู่ ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน สเปรย์แอลกอฮอล์ 70 % มีความไวต่อรังสี UV และความร้อน
5.แนะนำวิธีป้องกันตนเองหากต้องเดินทางออกนอกบ้าน เช่น การจ่ายตลาดให้ปลอดภัยจาก Covid-19 มีวิธีการ ดังนี้ -แนะนำการเลือกตลาด มีลักษณะสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก สามารถเว้นระยะห่างได้ 1 – 2 เมตร และควรหาข้อมูลตลาดก่อนเดินทางเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงหากมีการแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19
-แนะนำการวางแผนรายการสินค้าที่ต้องซื้อ เพื่อลดระยะเวลาในการเดินตลาดให้น้อยที่สุด
-แนะนำการสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
-แนะนำการจ่ายเงินออนไลน์ เช่น การโอนเงินเข้าธนาคาร การจ่ายเงินโครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง เป็นต้น เพื่อลดการสัมผัสและรับเชื้อ Covid-19 จากธนบัตร และเหรียญ
-แนะนำให้ล้างมือล้างมือด้วยสบู่ / เจลแอลกอฮอล์ 70 % ทุกครั้งหลังซื้อของ
-แนะนำให้ทำความสะอาดเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ก่อนเก็บเข้าตู้เย็น และฉีดสเปรย์ทำความสะอาดด้วยสเปรย์แอลกอฮอล์ 70 % สำหรับของแห้ง
6.สาธิตวิธีการดัดแปลงหน้ากากอนามัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกรองให้มากขึ้น
ประเมินผล
•ผู้สูงอายุไม่มีอาการและอาการแสดงของโรค Covid-19 เช่น ไข้ ไอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรสเป็นต้น
•ผู้สูงอายุไม่ติดเชื้อ Covid-19
•ผู้สูงอายุได้รับวัคซีนป้องกัน Covid-19
•ผู้สูงอายุสามารถบอกวิธีการป้องกันตนเองได้อย่างถูกต้องทุกข้อ
ข้อวินิจฉัยข้อที่5) มีภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
เนื่องจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย
ข้อสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุบอกว่า “ อายุ 74 ปี , หมดประจำเดือนแล้ว , มีประวัติการคลอดบุตรด้วยวิธีการคลอดธรรมชาติ 2 คน , เมื่อได้กลิ่นผัดพริกฉุน ๆ จะมีอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจาม”
O : -
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัย
ผู้สูงอายุเพศหญิง อายุ 74 ปี หมดประจำเดือนแล้ว มีประวัติการคลอดบุตรด้วยวิธีการคลอดธรรมชาติ 2 คน และเมื่อได้กลิ่นผัดพริกฉุน ๆ จะมีอาการปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจาม ซึ่งภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่นี้เกิดจาก
อายุที่เพิ่ม เมื่อมีอายุมากขึ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มีความเสื่อมของร่างกาย ร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยลงส่งผลให้ผนังท่อปัสสาวะบางลง กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อน หูรูดท่อปัสสาวะหดรัดตัวไม่ดีทำให้เกิดภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้ และมีปัจจัยเสริมมาจากการหมดประจำเดือน และการคลอดบุตรด้วยวิธีการคลอดธรรมชาติทำให้ผู้สูงอายุมีภาวะปัสสาวะไม่อยู่
กระเพาะปัสสาวะมีความจุลดลง จำนวนปัสสาวะที่ค้างเพิ่มมากขึ้นหลังการถ่ายปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวกว่าปกติ ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยและอาจมีปัสสาวะราดได้บ่อย
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
เพื่อลดการเกิดภาวะกลั้นปัสสาวไม่อยู่
เกณฑ์การประเมินผล
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น ไม่มีปัสสาวะเล็ดขณะไอหรือจาม เป็นต้น
2.แบบประเมินการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ ผลการประเมิน ระดับรุนแรงน้อย
3.ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามหลังจากให้ความรู้เรื่อง การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างถูกต้องอย่างน้อย 80 %
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ โดยการประเมิณระดับความรุนแรง ประมาณ และความถี่ของการปัสสาวะเล็ดของผู้สูงอายุ
2.แนะนำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
การงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ เป็นต้นและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เนื่องจากมีผลต่อภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ควรดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสม วันละ 1,500 – 2,000 ml / day เนื่องจากการการดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้ปัสสาวะเข้มข้น เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ การดื่มน้ำมากเกินไปมีผลต่อภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันมีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของไต ทำให้กระเพาะปัสสาวะตึงตัว ช่วยเพิ่มความจุของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะส่งผลให้ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ดีขึ้น - การรับประทานอาหารที่มีกากใยร่วมกับฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา เพื่อป้องกันปัญหาท้องผูก มีส่วนช่วยลดความดันในช่องท้องซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะ Stress Incontinence
3.แนะนำให้ผู้สูงอายุฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อที่ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะแข็งแรง โดยการขมิบก้นและช่องคลอดค้างไว้ 5-10 วินาที ชุดหนึ่ง 3-5 ครั้ง ปฏิบัติวันละ 3 ชุดทำอย่างต่อเนื่อง 15-20 สัปดาห์อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จะดีขึ้น
4.แนะนำการรักษาความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ โดยการ
-ทำความสะอาดทุกครั้งหลังการปัสสาวะและการขับถ่าย
ใช้กระดาษชำระเช็ดทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ให้แห้งทุกครั้ง เพื่อป้องกันการระคายเคือง
เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังไม่เช็ดย้อน เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศได้
งดการใช้สบู่ที่มีความเป็นกรดด่างสูงทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ เนื่องจากทำให้ความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอดเสียสมดุล
ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคือง คัน และเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้
เสื้อผ้าและชุดชั้นในควรสะอาด และทำมาจากผ้าฝ้าย เนื่องจากจะไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง
5.แนะนำการจัดสิ่งแวดล้อมให้กับผู้สูงอายุให้สะดวกต่อการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น จัดเตียงนอนหรือบริเวณที่ผู้สูงอายุอยู่ให้ใกล้กับห้องน้ำ มีราวจับไปตามทางเดินไปห้องน้ำ การจัดทางเดินระหว่างเดินไปห้องน้ำไม่ให้มีสิ่งกีดขวาง เป็นต้น
ประเมินผล
•ผู้สูงอายุไม่มีอาการภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
•แบบประเมินการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในผู้สูงอายุ ผลการประเมิน ระดับรุนแรงน้อย
•ผู้สูงอายุสามารถอธิบายวิธีการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างถูกต้อง
ข้อวินิจฉัยข้อที่6) ผู้สูงอายุมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยเรื้องรัง เนื่องจากขาดความรู้ในการใช้ยา
ข้อสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่า “ไม่สบายใจที่ต้องรับประทานยาควบคุมไขมันในเลือดทุกวันเนื่องจากหมอบางคนก็บอกว่าดีบางคนก็บอกว่าไม่ดี และจากการไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมยาไม่ได้ช่วยขับไขมันออก และกลัวว่าไขมันจะไปพอกตับ”
O : ผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวเป็นโรคไขมันในเลือดสูง (DLP)
การวิเคราะข้อวินิจฉัย
ผู้สูงอายุมีโรคประจำตัวเป็นโรคไขมันในเลือด (DLP) ต้องรับประทานยาควบคุมไขมันในเลือดทุกวันแต่มีความไม่สบายใจเนื่องจากหมอบางคนก็บอกว่าดีบางคนก็บอกว่าไม่ดีและจากการไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมยาไม่ได้ช่วยขับไขมันออกและกลัวว่าไขมันจะไปพอกที่ตับ ซึ่งจากความไม่สบายใจของผู้สูงอายุนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตสังคมในผู้สูงอายุ คือ เมื่อมีอายุมากขึ้นการมีโรคประจำตัวเรื้อรังทำให้ความสามารถในการดูแลตนเองลดลง ต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและใช้เวลานานมีผลทำให้ผู้สูงอายุเกิดความรู้สึกสูญเสียด้านจิตใจ เกิดความเครียด ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการรักษา ความกลัวต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
เพื่อให้ผู้สูงอายุยอมรับสภาพการเจ็บป่วยของตน ลดความวิตกกังวลและสามารถรับประทานยาได้อย่างต่อเนื่อง
เกณฑ์การประเมินผล
1.ความวิตกกังวลที่แสดงออกทางใบหน้าลดลง ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น
2.ผู้สูงอายุบอกว่ามีความวิตกกังวลลดลง
3.ผู้สูงอายุมีความรู้เรื่องการรับประทานยาอย่างถูกต้อง และสามารถตอบคำถามหลังจากให้ความรู้เรื่อง การรับประทานยาได้อย่างถูกต้องอย่างน้อย 80 %
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.สร้างสัมพันธภาพและแนะนำตัวกับผู้สูงอายุด้วยท่าทีเป็นกันเอง เพื่อให้ผู้สูงอายุเกิดความไว้วางใจ
2.เปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุได้ระบายความในใจและสอบถามข้อสงสัย เพื่อลดความวิตกกังวล
3.ประเมินความรู้ผู้สูงอายุเกี่ยวกับโรคไขมันในเลือดสูง (DLP) และยา Simvastatin
4.ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานยาอย่างถูกต้อง เพื่อให้ผู้สูงอายุมีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้ยา สามารถรับประทานยาได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยาเองยา
• Simvastatin
สรรพคุณ ใช้รักษาภาวะไขมันในเลือดสูงโดยการช่วยลดการสังเคราะห์คอเลสเตอรอลที่ตับ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไขมันในเลือดสูง และลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจ
ข้อควรระวัง ห้ามใช้ยา Simvastatin ในปริมาณที่มากหรือเป็นเวลานานกว่าที่แพทย์สั่ง ต้องใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำไว้อย่างเคร่งครัด เพราะการใช้ยานี้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
ผลข้างเคียง เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ปากบวม ลิ้นบวม อาจทำให้มีอาการปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย หรืออาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับไต หัวใจเต้นผิดปกติได้
5.แนะนำโภชนาการให้กับผู้สูงอายุ เพื่อควบคุมไขมันในเลือด
ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
หลีกเลี่ยงของทอด ผัดที่ใช้น้ำมัน และควรรับประทานอาหารประเภทต้ม นึ่ง
หากใช้น้ำมันในการประกอบอาหารควรใช้น้ำมันจากพืช ที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว เป็นต้น และควรหลีกเลี่ยงน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เนื่องจากจะทำให้ LDL สูงทำให้หลอดเลือดตีบแข็งง่าย
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อติดมันและหนัง เครื่องในสัตว์ทุกชนิด เป็นต้น
ควรรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุกวัน เนื่องจาก ช่วยลดการดูดซึมไขมันจากอาหารอื่นเข้าสู่ร่างกาย และช่วยเพิ่มกากใยในอุจจาระเพื่อป้องกันท้องผูก
6.แนะนำการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที เช่น วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ กายบริกาย เป็นต้น เพื่อช่วยลดระดับไขมันในเลือด
ประเมินผล
•ผู้สูงอายุมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสมากขึ้น
•ผู้สูงอายุบอกว่ามีความวิตกกังวลลดลงและบอกว่าตนเองจะรับประทานยาอย่างต่อเนื่องต่อไปตามที่แพทย์สั่ง
•ผู้สูงอายุตอบคำถามความรู้เกี่ยวกับการรับประทานยาได้อย่างถูกต้อง
ข้อวินิจฉัยข้อที่ 3) เสี่ยงต่อการสำลักอาหาร
เนื่องจากประสิทธิภาพในการกลืนลดลงจากการเปลี่ยนแปลงตามวัย
ข้อสนับสนุน
S : ผู้สูงอายุให้ข้อมูลว่า “มีอาการสำลักอาหารหรืออาหารติดคอ 1-2 ครั้ง และแก้อาการสำลักอาหารด้วยการดื่มน้ำตาม”
O : -
การวิเคราะห์ข้อวินิจฉัย
ผู้สูงอายุเพศหญิง อายุ 74 ปี เคยมีอาการสำลักอาหารหรืออาหารติดคอ 1-2 ครั้ง เนื่องจากความสามารถในการกลืนอาหารลดลงซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ความผิดปกติของโครงสร้างและการทำงานของช่องปาก คอหอย หลอดอาหาร ความผิดปกติของระบบประสาทที่ควบคุมการกลืน เป็นต้น จึงทำให้การกลืนอาหารทำได้ยากขึ้นส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการสำลักอาหารได้ง่าย
เป้าประสงค์ทางการพยาบาล
เพื่อป้องกันการสำลักอาหารในผู้สูงอายุ
กิจกรรมทางการพยาบาล
1.ประเมินอาการและอาการแสดงของการสำลัก เช่น หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการหายใจแรงและเสียงดังผิดปกติ พูดคุยตอบสนองไม่ได้ ไอแรง ๆไม่ได้ ผิวหนัง ริมฝีปาก และเล็บเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเนื่องจากขาดออกซิเจน เป็นต้น
2.ประเมินภาวะกลืนลำบากในผู้สูงอายุ
3.แนะนำการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันการสักอาหาร
แนะนำการรับประทานอาหารให้เหมาะสม เช่น อาหารที่ย่อยง่ายจำพวกเนื้อปลา อาหารอ่อนนุ่ม หรือมีการหั่นให้มีขนาดเล็ก ควรรับประทานอาหารครั้งละน้อยแต่บ่อยครั้ง
เลือกใช้ช้อนที่มีขนาดเล็กลงและหลุมไม่ลึก เพื่อช่วยให้ปริมาณอาหารขนาดเล็กลง
ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ตั้งใจกลืน
ไม่ดูทีวีหรือพูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหนียวเคี้ยวยาก เนื่องจากอาจทำให้ติดคอและสำลักอาหาร และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แห้งเนื่องจากทำให้ผู้สูงอายุกลืนลำบาก
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำในขณะเหนื่อยหรือรีบเร่ง อาจให้เวลาพักประมาณ 30 นาทีก่อนมื้ออาหาร
4.แนะนำวิธีการปฐมพยาบาลแก่ญาติสำหรับการสำลักอาหาร ได้แก่
สอบถามผู้สูงอายุ พร้อมทั้งสังเกตุอาการของผู้สูงอายุ เช่น สามารถไอหรือร้องขอความช่วยเหลือมีเสียงได้หรือไม่ หากร้องขอความช่วยเหลือแล้วไม่มีเสียง ควรที่จะโทรสายด่วน 1669 เพื่อให้ช่วยได้ทันท่วงที
ให้ความช่วยเหลือ โดยการเข้าทางด้านหลังของผู้ป่วย โอบผู้ป่วยจากทางด้านหลัง จากนั้นนำมือข้างหนึ่งมากำไว้แล้วนำไปวางบริเวณลิ้นปี่ จากนั้นออกแรงกระทุ้ง โดยให้แรงอยู่ในแนวเถียงขึ้นทำ 5 ครั้งต่อเซต แม้ครบ 5 ครั้งให้สังเกตว่าอาหารหรือสิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาหรือยัง หากยังไม่ออกให้ทำซ้ำไปเรื่อยๆ
หากอยู่ผู้สูงอายุอยู่คนเดียวแล้วมีอาการสำลัก ให้ปฏิบัติโดยการนำมือข้างหนึ่งมากำไว้แล้วนำไปวางบริเวณลิ้นปี่ จากนั้นออกแรงกระทุ้ง โดยให้แรงอยู่ในแนวเถียงขึ้นทำ 5 ครั้งต่อเซต
เกณฑ์การประเมินผล
1.ไม่มีอาการและอาการแสดงของการสำลัก เช่น หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการหายใจแรงและเสียงดังผิดปกติ พูดคุยตอบสนองไม่ได้ ไอแรง ๆไม่ได้ ผิวหนัง ริมฝีปาก และเล็บเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเนื่องจากขาดออกซิเจน เป็นต้น
2.ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามหลังจากให้ความรู้เรื่องการป้องกันการสำลักอาหารและการปฐมพยาบาลการสำลักอาหารได้อย่างถูกต้องอย่างน้อย 80 %
3.แบบประเมินภาวะกลืนลำบาก SSA (Standardised Swallowing Assessment) ได้ 5 คะแนน ผลการประเมิน กลืนได้ไม่มีอาการสำลัก
ประเมินผล
•ผู้สูงอายุไม่เกิดการสำลักอาหารซ้ำ
•ผู้สูงอายุสามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการป้องกันการสำลักอาหารได้ถูกต้อง การเลือกรับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสม และสามารถบอกวิธีการปฐมพยาบาลการสำลักอาหารได้อย่างถูกต้อง