Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
สาธารณสุขมูลฐาน (Primary health care) และ Primary Care Cluster…
สาธารณสุขมูลฐาน (Primary health care) และ Primary Care Cluster เวชศาสตร์ครอบครัว (Family medicine)
แนวคิดของการสาธารณสุขมูลฐาน
แนวคิดที่ 1
: เป็นระบบบริการสาธารณสุขที่เพิ่มเติม จัดบริการในระดับ ตำบล หมู่บ้าน โดยประชาชนและ
ความร่วมมือของชุมชน
แนวคิดที่ 2
: เป็นการพัฒนาชุมชนให้มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุข โดยการที่ชุมชนร่วมมือจัดทำกิจกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่
แนวคิดที่ 3
: จะเกิดขึ้นมาได้จะต้องให้ชุมชนรับรู้และทราบว่าปัญหาของชุมชนคืออะไร และร่วมกันพิจารณาถึงแนวทางที่จะแก้ไขปัญหานั้น รัฐมีหน้าที่สนับสนุนช่วยเหลือ
แนวคิดที่ 4
: หน้าที่และบทบาทของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (การสาธารณสุขมูลฐาน = การสาธารณสุขของชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน)
แนวคิดที่ 5
: ความร่วมมือของชุมชน คือ หัวใจของการสาธารณสุขมูลฐาน สนับสนุนในรูปของแรงงาน แรงเงิน ความร่วมมือ ปฏิบัติงานด้วยความสมัครใจ
แนวคิดทที่ 6
: สุขภาพอนามัยที่ดีมีความสัมพันธ์กับฐานะความเป็นอยู่และการดำรงชีวิต งานบริการสาธารณสุขต้องผสมผสานกับงานพัฒนาด้านอื่นๆ
แนวคิดที่ 7
: ต้องใช้เทคนิคและวิธีการง่ายๆ ไม่เกินขอบเขต และนำมาใช้ประโยชน์
แนวคิดที่ 8
: ต้องสอดคล้องและอาศัยประโยชน์จากสถาบันหรือระบบชีวิตประจำวันของชุมชน
แนวคิดที่ 9
: ควรมีความยืดหยุ่นในการที่จะนำมาแก้ไขปัญหาตามความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมและปัญหาที่พบ ไม่จำเป็นต้องมีเรื่องที่เหมือนกัน
แนวคิดที่ 10
: บริการสาธารณสุขที่ประชาชนสามารถดำเนินการได้เองในหมู่บ้าน เช่น การป้องกันโรคในท้องถิ่น การให้วัคซีนป้องกันโรคติดต่อ การส่งเสริมโภชนาการ
แนวคิดที่ 11
: ต้องมีความเชื่อมโยงกับงานบริการสาธารณสุขของรัฐในด้านการให้การสนับสนุน การส่งผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาพยาบาลต่อ การให้การศึกษาต่อเนื่อง การให้ข้อมูลข่าวสาร
ข้อบ่งชี้ความสำเร็จของงานสาธารณสุขมูลฐาน
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้งานสาธารณสุขมูลฐานเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ประชาชนบรรลุสุขภาพดีถ้วนหน้าโดยร่วมกับระบบบริการสาธารณสุขที่จำเป็น
เครื่องชี้วัดสุขภาพดีถ้วนหน้า (Health for All)
สำหรับประเทศไทย แบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ
กลุ่มที่ 1
การบรรลุ จปฐ ด้านสาธารณสุข
วัดในส่วนของการบรรลุเป้าหมายกิจกรรม
ด้านสาธารณสุขในแต่ละหมวด แต่ละเรื่อง ตามเกณฑ์ที่กำหนดใน จปฐ
เขตชนบทจะมี จปฐ ที่
เกี่ยวกับด้านสาธารณสุข 24 ข้อ
เขตเมืองจะมี จปฐ ที่
เกี่ยวกับด้านสาธารณสุข 25 ข้อ
วัดในส่วนของกระบวนการสำรวจ การประชาสัมพันธ์ ผลการสำรวจ และความเข้าใจ จปฐ
ของแต่ละหลังคาเรือน แต่ละหมู่บ้าน
กลุ่มที่ 2
การพึ่งตนเอง โดยพิจารณาในประเด็นของการมีส่วนร่วมและการพึ่งตนเองของชุมชนเป็นหลัก
พิจารณาในเรื่องของ 3 ก + 1ข + 3 ส
3 ก
ก ที่ 1 = กำลังคนในชุมชน (อาสาสมัครต่าง ๆ) ที่ได้รับการคัดเลือก และปฏิบัติงานจริง
ก ที่ 2 = องค์กรที่มีอาสาสมัครสาธารณสุขร่วมอยู่ด้วย และมีการประชุม อบรมในด้านสาธารณสุขเป็นระยะ ๆ
ก ที่ 3 = กองทุน ที่ก่อให้เกิดการระดมทุนในชุมชน และสนับสนุนกิจกรรมสาธารณสุข
1ข
1ข = ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสุขภาพอนามัยครบถ้วนและแสดงไว้ในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน
3 ส
ส ที่ 1 = สอนหมู่บ้านอื่น หรือหมู่บ้านอื่นมาดูงานแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างหมู่บ้าน
ส ที่ 2 = สอดส่องดูแลสุขภาพตนเอง (Seif Care) โดยสมาชิกในแต่ละครัวเรือน
ส ที่ 3 = ส่งต่อผู้ป่วยจากหมู่บ้าน หรือ ศสมช ไปยังสถานบริการได้อย่างเป็นระบบโดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขเป็นผู้ดำเนินการ
กลุ่มที่ 3
การเข้าถึงบริการโดยในชุมชนจะต้องมีการจัดบริการสาธารณสุขเบื้องต้น
ชุมชนต้องจัดให้มีสถานที่มีข้อมูล มีกิจกรรมสาธารณสุขมูลฐานที่จำเป็น มีอุปกรณ์ในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐานในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชนและในชุมชน
ชุมชนต้องจัดให้มีระบบการประสานงานส่งต่อผู้ป่วยให้สามารถเข้ารับบริการในสถานบริการของรัฐได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียม
มีเป้าหมายให้ประชาชนได้มีสวัสดิการในการรักษาพยาบาลฟรี
ประเทศไทยใช้แนวคิดในการกำหนดเครื่องชี้วัดเพื่อ
การควบคุมกำกับและประเมินแนวคิดที่องค์การอนามัยโลกได้เสนอไว้ โดยได้นำมาประยุกต์ในตัวชี้วัดให้เหมาะสมกับทิศทาง
การพัฒนาสาธารณสุข และการพัฒนาสังคมของประเทศ
เครื่องชี้วัดในด้านสภาวะทางสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิต ใช้เครื่องชี้วัด "ความจำเป็นพื้นฐานของคนไทย" หรือ จปฐ เป็นเครื่องชี้วัด เนื่องจากการพัฒนาสาธารณสุขมูลฐานของไทยส่วนหนึ่งของการพัฒนาสังคม
องค์ประกอบของการสาธารณสุข
กิจกรรมด้านสุขศึกษา (Health Education : E)
กิจกรรมด้านการจัดหาน้ำสะอาดและการสุขาภิบาล (Water Supply and Sanitation : W)
กิจกรรมด้านโภชนาการ (Nutrition : N)
กิจกรรมด้านการเฝ้าระวังโรคประจำถิ่น (Surveillance for Local Disease Control : S)
กิจกรรมด้านการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (Immunization : I)
กิจกรรมด้านการรักษาพยาบาลเบื้องต้น (Simple Treatment : T)
กิจกรรมด้านการจัดหายาที่จำเป็น (Essential Drug : E)
กิจกรรมด้านการอนามัยแม่และเด้กและการวางแผนครอบครัว (Mother and Child Health & Family Planning : M)
กิจกรรมด้านสุขภาพจิต (Mental Health : M)
กิจกรรมด้านทันตสาธารณสุข (Dental Health : D)
กิจกรรมด้านการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม (Environmental Health : E)
กิจกรรมด้านการป้องกันอุบัติเหตุ อุบัติภัย โรคไม่ติดต่อ (Injury : I)
กิจกรรมด้านปัญหาเอดส์ (Aids : A)
กิจกรรมด้านคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer Protection : C)
กลวิธีในการดำเนินงานสาธารณสุขมูลฐาน
การมีส่วนร่วมของชุมชน (Community Participation, Community Involvement : CP, CI) ถือพลังประชาชนหรือพลังของชุมชนนั้น นับได้ว่าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สำคัญของกระบวนการการพัฒนาทั้งหลายทั้งปวง
การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology : AT) เทคนิควิธีการและเทคโนโลยีด้านสาธารณสุข ที่จะให้ประชาชนมามีส่วนร่วมนั้น จะต้องไม่ยุ่งขากซับซ้อน ใช้วัสดุอุปกรณ์ ที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น
การปรับระบบบริการสาธารณสุขให้สอดคล้องกับการสาธารณสุขมูลฐาน Basic Health Service: BHS) ปรับรูปแบบและวิธีการให้สามารถ รองรับและเชื่อมต่อกับระบบงานสาธารณสุขมูลฐานให้ได้ เพื่อวางแนวทาง ให้สามารถส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ไม่ให้เกิดความยุ่งยาก ซ้ำซ้อน
การผสมผสานงานกับกระทรวงอื่นๆ (Intersectioral Collaboration, Intrasectoral Collaboaration: IC) ประสานการดำเนินงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับการพัฒนาทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดการผสมผสานการดำเนินงานไปพร้อมกันในทุกๆ ด้านโดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ขั้นตอนการนำ จปฐ ไปใช้เพื่อพัฒนาชีวิต
ขั้นตอนที่ 3 วิเคราะห์ปัญหาเพื่อกำหนดสาเหตุของปัญหา
การวิเคราะห์ปัญหาคือ การคิดคำนึงต้นตอของปัญหานั้นว่ามีสาเหตุจากอะไรบ้าง มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวพันกับปัญหาต่าง ๆ อย่างไร เพื่อกำหนดแนวทางหรือวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ในขั้นตอนนี้เมื่อรวบรวม จปฐ ข้อที่ไม่ได้ตามเกณฑ์ทั้งหมดแล้ว คปต จะทำการสอน กม ให้ช่วยการวิเคราะห์หาสาเหตุและแนวทาการแก้ไขปัญหาทุกข้อ โดยระบุทางแก้ต่าง ๆ ว่าจะแก้ไขโดยรัฐ,ประชาชน หรือประชาชนและรัฐช่วยกัน
ขั้นตอนที่ 4 จัดลำดับก่อน-หลังและวางแผนแก้ไขปัญหา
เมื่อได้ปัญหาและสาเหตุแล้ว ซึ่งปัญหานั้นมักมีหลายประการ จึงต้องนำปัญหาเหล่านั้นมาเรียงลำดับความสำคัญเพื่อพิจารณาดำเนินการแก้ไขก่อน-หลังได้เหมาะสม
ในการตัดสินว่าปัญหาใดจะสำคัญมากน้อยกว่ากัน ต้องพิจารณาตามความรุนแรงของปัญหาและขนาดของปัญหานั้น ๆ ว่าส่งผลกระทบกับประชาชนมากน้อยเพียงใด ตลอดจนความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาในขั้นตอนนี้ คปต จะเป็นผู้ช่วยให้ข้อเสนอแนะแก่ กม ในการตัดสินใจเลือกปัญหาที่สำคัญที่สุด แล้วจึงนำปัญหานั้นมาเขียนโครงการเพื่อแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 5 ดำเนินการตามแผนที่วางไว้
หลังการเขียนโครงการแก้ปัญหาแล้ว ในส่วนของแผนที่ไม่ต้องใช้งบประมาณของรัฐบาล ประชาชนสามารถดำเนินการตามแผนที่วางไว้ให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดได้เลย ส่วนแผนที่ต้องใช้งบประมาณจากส่วนของรัฐบาล หลังจากได้รับการอนุมัติแล้วจึงสามารถเริ่มดำเนินการได้
การแก้ไขปัญหาในชุมชนบางกิจกรรม ประชาชนอาจต้องร้องขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกินศักยภาพของตน ดังนั้นเจ้าหน้าที่ควรให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนอย่างเต้มความสามารถ แต่ในกิจกรรมอื่น ๆ ที่ประชาชนสามารถดำเนินการได้เอง เจ้าหน้าที่ควรสังเกตการณ์อยู่รอบนอกและให้คำปรึกษาเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 6 การประเมินผล
1.ทำให้ทราบว่าผลของการปฏิบัติงานตามโครงการนั้นบรรลุผลสำเร็จแค่ไหน ทำไปได้เพียงใดและเหลืออีกเท่าไหร่จึงจะถึงเกณฑ์ จปฐ
2.ทำให้ทราบว่าหมู่บ้านนี้ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหา จปฐ ถึงเกณฑ์ไปแล้วกี่ข้อจะได้ดำเนินการตั้งเป้าหมายแก้ไขต่อไป
3.ทำให้ทราบปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ของการดำเนินงานตามโครงการเพื่อปรับปรุงวิธีการดำเนินงานในปีต่อไปให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพปัญหาของหมู่บ้านนั้นต่อไป
4.ในส่วนของรัฐบาลเองก็ทราบว่าประสิทธิภาพของรัฐบาลในการดำเนินงานนี้มีมากน้อยเพียงใด แนวคิด จปฐ กลวิธีรูปแบบการดำเนินงานเพื่อแก้ จปฐ นี้สอดคล้องเหมาะสมกับชนบทของไทยเพียงใด เพื่อปรับปรุงนโยบายกลวิธีในระดับสูงต่อไป
ขั้นตอนที่ 2 รู้ปัญหาของชุมชน
เมื่อได้ข้อมูล จปฐ 2 ซึ่งเป็นข้อมูลหมู่บ้านและ กม และ คปต นำข้อมูลนั้นมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ในแบบ จปฐ3 ในขั้นตอนนี้จะทำให้ทราบถึงตัวชี้วัดแต่ละตัว ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดหรือไม่ เช่น หมู่บ้านหนึ่งข้อมูลจาก จปฐ2 พบเด็กวัยประถมศึกษาได้รับการฉีดวัคซีนครบตามเกณฑ์อายุร้อยละ 95 แต่เป้าหมายใน จปฐ3 กำหนดไว้ร้อยละ 99 แสดงว่าหมู่บ้านนี้ไม่บรรลุเกณฑ์ จปฐ. เมื่อได้ผลในทุกตัวชี้วัด แล้วทำการคัดลอกข้อมูลจากแบบ จปฐ3 ลงในแผ่นแข็ง จปฐ3 ขนาดใหญ่แล้วนำไปติดไว้ที่หมู่บ้าน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนได้รับรู้ปัญหาของหมู่บ้านร่วมกัน
ขั้นตอนที่ 7 สอนหมู่บ้านอื่น ๆ
เมื่อ กม และชาวบ้านร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านจนครบวงจรแล้ว (ขั้นตอนที่ 1-6) หมู่บ้านนี้ควรจะเป็นครูหรือเป็นหมู่บ้านตัวอย่างให้กับหมู่บ้านอื่น ๆ เพื่อจะสร้างเป็นหมู่บ้านเครือข่ายทำให้เกิดการเรียนรู้ ได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันในเครือข่ายและหมู่บ้านนอกเครือข่ายอีกต่อไปในอนาคต อนึ่งคือ การเรียนรู้จากชาวบ้านโดยชาวบ้านนี้จะเป็นการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิดของวัฒนธรรมของชาวบ้าน
ขั้นตอนที่ 1 การสำรวจข้อมูล
1.แบบสำรวจข้อมูลครอบครัวเรียกว่า จปฐ1 โดยการสำรวจ 1 ชุดต่อ 1 หลังคาเรือน สำรวจโดย อสม หรือ กม ซักถามหรือสังเกตทุกหลังคาเรือนและนำข้อมูลคัดลอกลงในแผ่นแข็ง จปฐ1 ของทุกหลังคาเรือนและมอบให้หัวหน้าครอบครัวนำไปติดไว้ที่บ้าน เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวรับรู้ปัญหาของครัวเรือนร่วมกัน
2.แบบสำรวจข้อมูลหมู่บ้านเรียกว่า จปฐ 2 จัดทำโดย กม ด้วยความช่วยเหลือของคณะทำงานสนับสนุนการปฏิบัติการพัฒนาชนบทระดับตำบล (คปต) รวบรวมข้อมูลจากแบบ จปฐ1 ของทุกหลังคาเรือนสรุปลงในแบบ จปฐ2 แล้วคิดคำนวณเป็นค่าร้อยละทุกข้อ โดยจัดทำ จปฐ หมู่บ้านละ 1 เล่ม เก็บไว้ที่ศูนย์ข้อมูลตำบลและทำสำเนาเพิ่มขึ้นอีก 1 เล่ม ส่งให้อำเภอและอำเภอส่งให้จังหวัดเพื่อบันทึกข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ เมื่อบันทึกข้อมูลแล้วให้ส่งแบบ จปฐ2 กลับไปไว้ที่ว่าการอำเภอ
เวชศาสตร์ครอบครัว
(family medicine.)
เป็นการแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ไม่เน้นการรักษาโรคใดโรคหนึ่งหรือเฉพาะอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง แต่เป็นการดูแลผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย ทั้งระดับบุคคล ครอบครัวและชุมชน
ราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวแห่งประเทศไทย กำหนดให้แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์มีคุณสมบัติ 6 ด้าน
2.ความรู้และทักษะหัตถการทางเวชกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์พื้นฐานของร่างกายและจิตใจการดูแลมุ่งเน้นครอบครัวและชุมชน
1.การบริบาลผู้ป่วย เป็นการบริบาลระดับปฐมภูมิ การดูแลครอบคลุมการส่งเสริม ป้องกัน รักษาและฟื้นฟูสุขภาพและประคับประคอง การดูแลผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในรวมถึงการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน
3.ทักษะระหว่างบุคคลและการสื่อสารโดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (patient-centered care) และดูแลแบบองค์รวม (holistic care) การมีมนุษย์สัมพันธ์และการสื่อสารกับผู้อื่น
4.การเรียนรู้และการพัฒนาจากฐานการปฏิบัติ
5.วิชาชีพนิยม คือ การคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมและจริยธรรมทางการแพทย์ มีคุณธรรมและ เจตคติอันดีต่อผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ผู้ร่วมงาน ผู้ร่วมวิชาชีพและชุมชน
6.การทำเวชปฏิบัติให้สอดคล้องกับระบบสุขภาพของประเทศ การจัดบริการปฐมภูมิบนพื้นฐาน ความปลอดภัยของผู้ป่วย การใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งข้อมูล ให้กับประชาชน
หลักการเวชศาสตร์ครอบครัวของประเทศไทย (Principles of family medicine of Thailand)
1.ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ ผู้ป่วยและครอบครัว
(Doctor-patient-family relationship)
2.การให้บริการปฐมภูมิที่มีคุณภาพกับประชากรทุกช่วงอายุ (High quality primary care for all age groups)
2.1 บริการด่านหน้า (First contact care) เป็นด่านแรกของการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ โดยไม่มีข้อกำจัดไม่ว่าด้วยเรื่องอายุ เพศ ปัญหาสุขภาพ ศาสนา
2.2 การดูแลต่อเนื่อง (Continuity of care)จะทำให้ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมีคุณค่าต่อบริการปฐมภูมิ และเป็นผลดีต่อการรักษา
2.3 การดูแลแบบครอบคลุม (Comprehensive care) ดูแลผสมผสานทุกปัญหา ร่วมกับการคัดกรองโรค รักษาโรค สร้างเสริมสุขภาพ และฟื้นฟูสภาพ
2.4 การดูแลแบบเชื่อมประสาน (Coordinating care) หมายถึง การรวมกันของหน่วยงานต่างๆ ในทีมสุขภาพ ได้แก่ บุคลากรทางสาธารณสุข ทีมการรักษาพยาบาล องค์กรสาธารณสุข เป็นต้น
3.การทำเวชปฏิบัติที่ใช้ชุมชนและประชากรเป็นฐาน (Community and population-based practice)
3.3 การเป็นแหล่งข้อมูลให้กับประชากรที่กำหนด (Resource person of an identified population) มีบทบาทในการดูแลการเจ็บป่วยที่พบบ่อยทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว และประชากร
3.2 การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน (People participation) ช่วยในการค้นหาความต้องการและสามารถวางแผนยุทธศาสตร์เพื่อให้ได้การบริการที่ดี
3.1 ปัญหาสุขภาพและความจำเป็นด้านสุขภาพของชุมชน (Health problem and needs in community) ดูแลสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ ต้องเข้าใจชุมชนและความจำเป็นด้านสุขภาพ