Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ยุคสมัย, จดบันทึกไว้โดยละเอียดดังนี้:
"ชาวสยามมีศิลปะการเวทีอยู่สา…
ยุคสมัย
สมัยสุโขทัย
เป็นการแสดงประเภทระบำรำ ฟ้อน ที่มีวิวฒนาการมาจากการละเล่นของชาวบ้านเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหลังจากเสร็จงาน หรือแสดงในงานบุญ งานรื่นเริงประจำปี ปรากฎในหนังสือไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชลิไทว่า "บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อนรำ ระบำบันลือ" แสดงให้เห็นแบบแผนของนาฎศิลป์ไทยคือ
ระบำ รำเต้น และสันนิฐานได้จากหลักศิลาจารึก
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช หลักที่ 1 กล่าวไว้ว่า
เสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อย เสียงขับ ใครจักมักเหล้น เหล้น ใครจักมัก หัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน”
การแสดงในยุคสมัยสุโขทัยมีดังนี้
ระบำเทวีศรีสัชนาลัย
เป็นระบำที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ โดยนำหลักฐานทั้งทางด้านท่ารำ เครื่องแต่งกาย มาจากรูปปั้น รูปแกะสลักเทวดา นางฟ้า และลวดลายต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนโบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่ ขุดค้นพบ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยเครื่องแต่งกายของระบำชุดนี้ได้รับแบบอย่างจากรูปปั้นขอมผู้หญิงสมัยสุโขทัยซึ่งตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย โดยยอดชฎาทำเป็นรูปทรงเจดีย์วัดช้างล้อม อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัยท่วงทำนองแต่งโดย อาจารย์บัณฑิต ศรีบัว อาจารย์ประจำหมวดวิชาเครื่องสายไทย ภาควิชาดุริยางค์ไทยวิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย
ระบำเทววารีศรีเมืองบางขลัง
เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงแสง สี เสียง เมืองบางขลัง ปฐมบทแห่งชาติไทย ในวันอนุรักษ์มรดกไทย และวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ วันที่ ๒ เมษายน เป็นประจำทุกปี ตั้งแต่ ครั้งที่ ๑ ปี ๒๕๕๑ เป็นต้นมา
สมัยสุโขทัย มีการแสดงละครแก้บน
และมีการแสดงละครเรื่องมโนราห์รา
สืบต่อกันมาจากสมัยก่อนหน้านี้ ซึ่งละครแก้บนเป็นกิจกรรมที่ช่วยปลดเปลื้องความผูกพันที่ติดค้างคาใจ
และเป็นสื่อกล้างในเรื่องการช่วยเหลือและการตอบแทนระหว่างผู้บนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไปบนไว้ และเป็นสื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อแบบไทยๆคือเรื่องบุญคุณ ความกตัญญู
ในสมัยสุโขทัยเรื่องละคร ฟ้อนรำ สันนิษฐานได้จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ในสมัยสุโขทัย ได้คบหากับชาติที่นิยมอารยธรรมของอินเดีย เช่น พม่า มอญ ขอม และละว้า ไทยได้รู้จักเลือกเล่น
ศิลปวัฒนธรรมของชาติที่สมาคมด้วย แต่มิได้หมายความว่าชาติไทยแต่โบราณจะไม่รู้จักการละครฟ้อนรำมาก่อน เรามีการแสดงระบำ รำ เต้น มาแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว เมื่อไทยได้รับวัฒนธรรมด้านการละครของอินเดียเข้ามา ศิลปะแห่งการละเล่นพื้นเมืองของไทย คือ รำ และระบำ ก็ได้วิวัฒนาการขึ้น มีการกำหนดแบบแผนแห่งศิลปะการแสดงทั้ง ๓ ชนิดไว้เป็นที่แน่นอน และบัญญัติคำเรียกศิลปะแห่งการแสดงดังกล่าวว่า
“โขน ละคร ฟ้อนรำ”
-
สมัยกรุงธนบุรี
มีละครของหลวงที่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชายแสดงและมีละครผู้หญิงของเจ้านครศรีธรรมราชสมัยนี้เป็นช่วงต่อเนื่องจากที่
กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ.2310 เหล่าศิลปินได้กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆเพราะผลจากสงครามบางส่วนก็เสียชีวิตบางส่วนก็ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่าครั้งพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ปราบได้ภิเษกไปในพ.ศ.2311 ทรงได้ฟื้นฟูการละครขึ้นใหม่และรวมศิลปินตลอดทั้งบทละครเก่า ๆ ที่กระจัดกระจายไปให้เข้ามาอยู่รวมกันตลอดจนพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีก 5 ตอนคือหนุมานเกี้ยวนางวานในตอนท้าวมาลีราชว่าความตอนทศกัณฑ์ตั้งพิธีทรายกลด (เผารูปเทวดา)
ตอนพระลักษณ์ถูกหอกกบิลพัทตอนปล่อยม้าอุปการมีคณะละครหลวงและเอกชนเกิดขึ้นหลายโรง เช่น ละครหลวงวิชิตณรงค์ละครไทยหมื่นเสนาะภูบาลหมื่นโวหารภิรมย์นอกจากละครไทยแล้วยังมีละครเขมรของหลวงวาทอีกด้วย
รามเกียรติ์
เพื่อใช้เล่นละครหลวงด้วย ในพ.ศ.๒๓๑๓ นี้พระองค์ทรงยกกองทัพไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชจึงโปรดให้หัดละครหลวงขึ้น และทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์เพื่อใช้เล่นละครและใช้ในงานสมโภชต่างๆ
-
-
-
จดบันทึกไว้โดยละเอียดดังนี้:
"ชาวสยามมีศิลปะการเวทีอยู่สามประเภท: ประเภทที่เรียกว่า"โขน"นั้น เป็นการร่ายรำเข้า ๆ ออก ๆ หลายคำรบ ตามจังหวะซอและเครื่องดนตรีอย่างอื่นอีก ผู้แสดงนั้นสวมหน้ากาก และถืออาวุธ แสดงบทหนักไปในทางสู้รบกันมากกว่าจะเป็นการร่ายรำ และมาตรว่าการแสดงส่วนใหญ่จะหนักไปในทางโลดเต้นเผ่นโผนโจนทะยาน และวางท่าอย่างเกินสมควรแล้ว นาน ๆ ก็จะหยุดเจรจาออกมาสักคำสองคำ
-
หน้ากาก (หัวโขน) ส่วนใหญ่นั้นน่าเกลียด เป็นหน้าสัตว์ที่มีรูปพรรณวิตถาร หรือไม่เป็นหน้าอสูรปีศาจ" ส่วนการแสดงประเภทที่เรียกว่า "ละคร" นั้นเป็นบทกวีที่ผสมผสานกัน ระหว่างมหากาพย์ และบทละครพูด ซึ่งแสดงกันยืดยาวไปสามวันเต็มๆ ตั้งแต่ ๘ โมงเช้า จนถึง ๑ ทุ่ม ละครเหล่านี้เป็น ประวัติศาสตร์ที่ร้อยเรียงเป็นบทกลอนที่เคร่งครึม และขับร้องโดยผู้แสดงหลายคนที่อยู่ในฉากพร้อมๆกัน และเพียงแต่ร้องโต้ตอบกันเท่านั้น โดยมีคนหนึ่งขับร้องในส่วนเนื้อเรื่อง ส่วนที่เหลือจะกล่าวบทพูด แต่ทั้งหมดที่ขับร้องล้วนเป็นผู้ชาย ไม่มีผู้หญิงเลย ...
มีการแสดงละครชาตรี ละครนอก ละครใน แต่เดิม ที่เล่นเป็นละครเร่ จะแสดงตามพื้นที่ว่างโดยไม่ต้องมีโรงละคร เรียกว่า ละครชาตรี ต่อมาได้มีการวิวัฒนาการ เป็นละครรำ เรียกว่า ละครใน ละครนอก โดยปรับปรุงรูปแบบ ให้มีการแต่งกายที่ประณีตงดงามมากขึ้น มีดนตรีและบทร้อง และมีการสร้างโรงแสดง
สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เป็นสมัยที่โขนเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก มีละครเรื่องใหญ่ๆ อยู่ 4 เรื่อง คือ อิเหนา รามเกียรติ์ อุณรุท ดาหลัง
ละครในแสดงในพระราชวัง จะใช้ผู้หญิงล้วน ห้ามไม่ให้ชาวบ้านเล่น เรื่องที่นิยมมาแสดงมี 3 เรื่องคือ อิเหนา รามเกียรติ์ อุณรุท ส่วนละครนอก ชาวบ้านจะแสดง ใช้ผู้ชายล้วนดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว
ส่วน "ระบำ" นั้นเป็นการรำคู่ของหญิงชาย ซึ่งแสดงออกอย่างอาจหาญ ... นักเต้นทั้งหญิงและชายจะสวมเล็บปลอมซึ่งยาวมาก และทำจากทองแดง นักแสดงจะขับร้องไปด้วยรำไปด้วย พวกเขาสามารถรำได้โดยไม่เข้าพัวพันกัน เพราะลักษณะการเต้นเป็นการเดินไปรอบๆ อย่างช้าๆ โดยไม่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่เต็มไปด้วยการบิดและดัดลำตัว และท่อนแขน
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
อิเหนา :check:
รามเกียรติ์ :check:
อุณรุท :check:
ดาหลัง :check:
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-
-

หน้ากาก (หัวโขน)
-