โรคอีสุกอีใส (chickenpox)
การรักษาและการพยาบาล
สถานการณ์ผู้ป่วย
การป้องกันโรคอีสุกอีใส
ตัวอย่างข้อวินิจฉัยการพยาบาล
ปัญหา
กรณีศึกษา
นศ.หญิง อายุ 18 ปี อาชีพขายอาหาร มีตุ่มน้ำใส ประมาณ 3 วัน และตุ่มน้ำใสเม็ดเดี่ยวๆ กลายเป็นตุ่มหนองบริเวณใบหน้า ทั่วๆ ลำตัว แขน ขา มีไข้ temp 37.8 องศาเซลเซียส มีอาการคัน นอนไม่หลับ
ผู้ป่วยมีตุ่มน้ำใสและตุ่มน้ำใสเม็ดเดี่ยวๆ กลายเป็นตุ่มหนองบริเวณใบหน้า ทั่วๆลำตัว แขนและขา มีไข้ temp 37.8 องศาเซลเซียส มีอาการคัน นอนไม่หลับ
รักษาตามอาการ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
ถ้ามีไข้แนะนำให้ผู้ป่วยเช็ดตัว และดื่มน้ำมาก ๆ และถ้าไข้สูง เกิน 38.5 องศาเซลเซียส หลังจากเช็ดตัวและดื่มน้ำมาก ๆ ถ้าไข้ไม่ลดให้รับประทานยาพาราเซตตามอล
หากมีอาการคันที่ผิวหนังอาจทายาแก้คัน เช่น คารามาย (Calamine lotion) หรือรับประทานยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน เพื่อบรรเทาอาการคัน
ควรตัดเล็บให้สั้นและหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มที่คัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่ตุ่มแตกได้
อาการที่พบบ่อย
ลักษณะของโรค
ระยะไข้ ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ จะมีไข้ประมาณ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้น เริ่มด้วยอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ
ระยะผื่นขึ้น ผื่นจะขึ้นเป็นผื่นแดงๆ ลักษณะเป็นผื่นแดงเม็ดเล็กๆ มีอาการคันมาก 1 วัน
ระยะตุ่มใสพองขึ้น ในระยะนี้ตุ่มจะค่อยๆ ใสและมีตุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใน 3-5 วัน จะขึ้นตรงบริเวณ ลำตัว ใบหน้า คอ ศีรษะ แขนขา และลามไปได้ทั้งตัว หรืออาจมีตุ่มที่เยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุในช่องปาก ลำคอ หรือเยื่อบุตา ตุ่มน้ำใสๆ จะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น เป็นหนองเมื่อติดเชื้อแบคทีเรีย และฝ่อเป็นสะเก็ดแห้ง
เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella virus) เกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทั้งวัยเด็กและผู้ใหญ่ มีระยะฟักตัวประมาณ 10-21 วัน เฉลี่ย 14- 16 วัน
ระยะแพร่เชื้อโรคเกิดได้ได้ตั้งแต่ 48 ชั่วโมงก่อนผื่นขึ้น จนผื่นแห้งเป็นสะเก็ดทั้งหมด
ระยะตุ่มแห้ง ตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และสะเก็ดแผลก็จะค่อยๆ หลุดลอกจางหายกลับเป็นปกติภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ เชื้อชนิดนี้อาจหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในภายหลังเมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือมีภูมิคุ้มกันลดต่ำลง
ควรแยกผู้ป่วยจนพ้นระยะติดต่อ รวมทั้งแยกของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ฯลฯ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ผู้ป่วยที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนควรไปพบแพทย์
การให้ยาต้านไวรัส แพทย์จะพิจารณาให้ยานี้เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังทางปอดหรือโรคผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือสเตียรอยด์อยู่เป็นประจำ ส่วนในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี และมีสุขภาพแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้
การฉีดวัคซีน สามารถป้องกันได้ผล 94-99 % ฉีดแล้วมีโอกาสเป็นได้อีกประมาณ 2-10 เปอร์เซ็นต์ แต่อาการจะไม่รุนแรง
สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทยได้แนะนำ
• เริ่มฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป และกระตุ้นอีกเข็มเมื่ออายุ 2½-4 ปี
• เด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี เข็มสองฉีดห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน
• ถ้าอายุเกิน 13 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน
• ผู้ที่เคยเป็นอีสุกอีใสแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีก
ไม่สุขสบาย เนื่องจากมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ
คัน และนอนไม่หลับ
ขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
เสี่ยงที่จะเกิดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
สูญเสียภาพลักษณ์
ภาวะแทรกซ้อน
มักจะพบภาวะแทรกซ้อนในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ เช่น ทารกแรกเกิด ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาการของภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและรุนแรงคือ ติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง (cellulitis) การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ (encephalitis)