Coggle requires JavaScript to display documents.
รักษาตามอาการ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
ถ้ามีไข้แนะนำให้ผู้ป่วยเช็ดตัว และดื่มน้ำมาก ๆ และถ้าไข้สูง เกิน 38.5 องศาเซลเซียส หลังจากเช็ดตัวและดื่มน้ำมาก ๆ ถ้าไข้ไม่ลดให้รับประทานยาพาราเซตตามอล
หากมีอาการคันที่ผิวหนังอาจทายาแก้คัน เช่น คารามาย (Calamine lotion) หรือรับประทานยาแก้แพ้หรือยาต้านฮิสตามีน เพื่อบรรเทาอาการคัน
ควรตัดเล็บให้สั้นและหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มที่คัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่ตุ่มแตกได้
ควรแยกผู้ป่วยจนพ้นระยะติดต่อ รวมทั้งแยกของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ฯลฯ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ผู้ป่วยที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนควรไปพบแพทย์
การให้ยาต้านไวรัส แพทย์จะพิจารณาให้ยานี้เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังทางปอดหรือโรคผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือสเตียรอยด์อยู่เป็นประจำ ส่วนในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี และมีสุขภาพแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้
ไม่สุขสบาย เนื่องจากมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ
คัน และนอนไม่หลับ
ขาดความรู้ในการดูแลตนเอง
เสี่ยงที่จะเกิดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
สูญเสียภาพลักษณ์
ระยะไข้ ประมาณ 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ จะมีไข้ประมาณ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้น เริ่มด้วยอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ
ระยะผื่นขึ้น ผื่นจะขึ้นเป็นผื่นแดงๆ ลักษณะเป็นผื่นแดงเม็ดเล็กๆ มีอาการคันมาก 1 วัน
ระยะตุ่มใสพองขึ้น ในระยะนี้ตุ่มจะค่อยๆ ใสและมีตุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใน 3-5 วัน จะขึ้นตรงบริเวณ ลำตัว ใบหน้า คอ ศีรษะ แขนขา และลามไปได้ทั้งตัว หรืออาจมีตุ่มที่เยื่อบุต่างๆ เช่น เยื่อบุในช่องปาก ลำคอ หรือเยื่อบุตา ตุ่มน้ำใสๆ จะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น เป็นหนองเมื่อติดเชื้อแบคทีเรีย และฝ่อเป็นสะเก็ดแห้ง
ระยะตุ่มแห้ง ตกสะเก็ดภายใน 1-3 วัน และสะเก็ดแผลก็จะค่อยๆ หลุดลอกจางหายกลับเป็นปกติภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ เชื้อชนิดนี้อาจหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในภายหลังเมื่อร่างกายอ่อนแอ หรือมีภูมิคุ้มกันลดต่ำลง