G1P0A0 c Overterm pregnancy c Thick meconium c Poor Maternal Effort c Vacuum Extraction c Birth Asphyxia

อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาเร่งคลอด Oxytocin

มีภาวะ Thick meconium

สาเหตุ

  1. Uteroplacental insufficiency (UPI) คือ ภาวะที่การไหลเวียนเลือดไปสู่รกไม่เพียงพอ ทําให้ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน
  1. Umbilical cord compression คือ ภาวะที่สะดือถูกกดขณะมดลูกมีการหดรัดตัว ทําให้ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน

กลไกลกระตุ้นทารกในครรภ์ถ่ายขี้เทา

กิจกรรมการพยาบาล

น้ําคร่่ําสีปกติ แต่จะมีสีเขียว และปริมาตรขี้เทาจํานวนมาก เกิดจากทารกถ่ายขี้เทาเกิดจากการขาดออกซิเจนในขณะอยู่ในคครภ์ หรือขณะคลอด

Uterine hyperactivity

Maternal hypotension

Placental dysfunction

1.เกิดจากการขาดออกซิเจนทําให้เส้นเลือดของลําไส้หดตัว และกระตุ้นให้ลําไส้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น (hyperperistalsis) และกระตุ้นให้มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อ (anal sphinctertone relaxation)

2.การที่สะดือ หรือศีรษะทารกถูกกดจะกระตุ้นระบบประสาทเวกัส (va-gal action) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของลําไส้

1.จ้ดให้มารดานอนตะแคงซ้าย เพื่อไม่ให้มีการกดทับเส้นเลือด Inferior vena cava ทำให้เลือดไหลเวยนได้สะดวกขึ้น

2.ดูแลให้ oxygen mask with bag 10 LPM เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด ทำให้มารดาและทารกได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ

3.ดูแลให้ได้รับสารน้ำ 5%D/NSS 1000ml rate 100cc/hr ตามแผนการรักษา

4.monitor EFM FHS และเพื่อประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ทุก 30 นาที

จะหยุดให้ยาออกซีโทซิน

ข้อห้าม

กิจกรรมการพยาบาล

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

Oxytocin เป็นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองส่วนหลังมีคุณสมบัติทําให้ แคลเซียมไออนเคลื่อนเข้าสู่เซลล์ส่งผลให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัว

  1. อธิบายวัตถุประสงค์ของการใช้ยา วิธีการให้ยา และการปฏิบัติตัวของผู้คลอดขณะได้รับยา เพื่อลดความวิตกกังวลของผู้คลอด และความสําเร็จในการชักนําการคลอด

2.ทํา Non Stress Test (NST ประมาณ 15-20 นาที เพื่อประเมินอัตราการเต้นของหัวใจ ทารกก่อนเริ่มให้ยาออกซีโทซิน

  1. ให้ยาตามแผนการรักษา เช่น ออกซีโทซีนขนาด 10 ยูนิตในสารน้ํา 1000 มิลลิลิตร หยดเข้าทางหลอดเลือดดํา ผ่านเครื่องปรับยาอัตโนมัติ (Infusion pump) โดยเริ่มให้ในอัตรา 8-10 หยด/นาที แล้วปรับขนาดของยาเพิ่มขึ้นครั้งละ 4-5 หยด ทุก 30 นาที จนกระทั่งมดลูกหดรัดตัวทุก 2-3 นาที นาน 40-60 วินาที แรง 40-60 มิลลิเมตรปรอท แล้วคงระดับไว้แล้วเฝ้าคลอดอย่างใกล้ชิด จํานวนที่ให้สูงสุดไม่ควรเกิน 240 มิลลิลิตร/ชั่วโมง เมื่อให้ยาเกินกว่า 6 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่เจ็บครรภ์ ควรปรึกษาสูติแพทย์

4.ใช้เครื่องอิเล็คทรอนิคส์เฝ้าระวังทารกในครรภ์ เพื่อประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ และการหดรัดตัวของมดลูกอย่างต่อเนื่อง

5.ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและอัตราการเต้นของหัวใจทารกทุก 30 นาที

6.ตรวจภายในเพื่อประเมินความก้าวหน้าของการคลอดเป็นระยะทุก 2-4 ชม. ตามความเหมาะสม

7.ประเมินและบันทึกความดันโลหิต และชีพจรของมารดา

8.บันทึกปริมาณน้ําที่เข้าและออกจากร่างกาย

9.ประเมินอาการและอาการแสดงที่ต้องรายงานแพทย์ได้แก่ มดลูกหดรัดตัวรุนแรง มดลูกแตก ภาวะน้ําเกินซึ่งทําให้มีอาการปวดศีรษะคลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะออกน้อย ความดันโลหิตต่ํา หายใจเร็ว หัวใจเต้นผิดปกติและอัตราการเต้นของหัวใจทารกผิดปกติ เป็นต้น เพื่อพิจารณาให้การช่วยเหลือ

  1. มดลูกหดรัดตัวนานเกิน 90 วินาที และระยะห่างของการหดรัดตัวน้อยกว่า 2 นาที

2.เสียงหัวใจทารกในครรภ์น้อยกว่า 100 ครั้ง/นาที หรือมากกว่า 160 ครั้ง/นาที

หลังจากหยุดให้ยาออกซีโทซินแล้ว ควรจัดให้ผู้คลอดนอนตะแคงซ้ายให้ออกซิเจนปริมาณ 5 ลิตร ต่อนาที รีบรายงานแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมซึ่งการแก้ไขภาวะมดลูกหดรัดตัวมากเกินไป คือการหยุดให้ออกซีโทซินทันทีเนื่องจากยาออกซีโทซินมีระยะครึ่งชีวิตค่อนข้างสั้นประมาณ 5 นาที ดังนั้นภาวะนี้จะหายไปเอง ภายหลังหยุดให้ยาดูแลให้ผู้คลอดนอนตะแคงและให้ยาลดอาการเจ็บครรภ์ถ้าผู้คลอดมีอาการเจ็บครรภ์มากและเพิ่มปริมาณเลือดไหลเวียนเพื่อช่วยการขับยาออกได้รวดเร็วขี้นด้วย ควรติตามการหดรัดตัวของมดลูกและตรงจติดตามสุขภาพทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด ถ้าภาวะมดลูกหดรัดตัวมากเกินไปยังคงอยู่หลังหยุดให้ยาออกซีโทซินไปแล้ว ควรให้ยาเทอร์บูทาลิน (terbutaline) 0.25 มิลลิกรัมทางหลอดเลือดดําหรือฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

  • มารดา CPD Prolapse cord ผ่านการคลอด > 5 ครั้งครรภ์แฝด รกเกาะต่ํา ติดเชื้อที่ช่องคลอด
  • ทารก fetal distress ท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง ท่าก้น
  • มดลูกหดรัดตัวแบบไม่คลาย , มดลูกแตก
  • ภาวะอุดตันในเส้นเลือด
  • ทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน
  • รกลอกตัวก่อนกําหนด
  • ทารกคลอดก่อนกําหนด
  • ปากมดลูกฉีกขาดจากการคลอดเร็วเกินไป
  • ตกเลือด

มีโอกาสเกิดระยะที่สองของการคลอดยาวนาน เนื่องจากผู้คลอดแรงเบ่งน้อยเพราะผู้คลอดมีอาการเหนื่อยและอ่อนเพลีย

กิจกรรมการพยาบาล ​

  1. สร้างสัมพันธภาพเพื่อให้เกิดความไว้วางใจและให้ความร่วมมือในการดูแลรักษา ​
  1. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าของการคลอด แนวทางการเบ่งที่ถูกวิธีและแนวทางการช่วยเหลือของแพทย์ เพื่อให้ผู้คลอดเข้าใจให้ความร่วมมือในการให้การช่วยเหลือ และเกิดความมั่นใจ ไว้วางใจ
  1. ส่งเสริมให้ผู้คลอดเบ่งคลอดอย่างถูกวิธีและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ส่วนนําเคลื่อนต่ํา มีการก้มและหมุนภายในเป็นไปตามปกติ ​
  1. ดูแลความสุขสบายแก่ผู้คลอด ผู้คลอดมักรู้สึกร้อนและเหงื่อออกมาก เมื่อหยุดเบ่งให้ใช้ผ้าชุบน้ําเย็นเช็ดตามใบหน้า คอและแขน ช่วยนวดบริเวณต้นขาให้เพื่อป้องกันอาการตะคริว และปวดเมื่อย ​
  1. ประเมินแรงเบ่ง โดยใช้การประเมินลักษณะการเบ่งของผู้คลอดว่าถูกต้องหรือไม่ เบ่งแล้วการคลอดก้าวหน้าดีไหม ​
  1. กรณีผู้คลอดเบ่งไม่ถูกวิธี ให้อธิบายจุดบกพร่องให้ผู้คลอดทราบพร้อมทั้งสอนวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องให้จนกระทั่งสามารถทําได้ถูกต้อง
  1. ผู้คลอดที่เจ็บครรภ์มาก ดิ้นไปมา ไม่ยอมเบ่ง หรือเบ่งไม่ถูกวิธี ต้องเห็นใจเข้าใจความรู้สึกของผู้คลอด อธิบายถึงสาเหตุของความเจ็บปวดให้ผู้คลอดเข้าใจ เพราะการดิ้นไปมาและไม่เบ่งให้ถูกวิธีนั้นจะทําให้เสียแรงและคลอดล่าช้า แต่ถ้าตั้งใจเบ่งไม่ดิ้นจะทําให้บรรเทาปวดและการคลอดเร็วขึ้น
  1. ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก ทุก 15 นาที ดูแลให้มดลูกมีการหดรัดตัวเป็นไปตามปกติเพาะถ้ามดลูกหดรัดตัวไม่ดีก็จะทําให้แรงเบ่งน้อยด้วย
  1. ประเมินความก้าวหน้าของการคลอด และสภาพทารกในครรภ์เป็นระยะยๆ ถ้าผู้คลอดหมดแรงหรือเบ่งเป็นเวลานานแล้วแต่การคลอดไม่ก้าวหน้า คือเบ่งได้นาน 60 นาทีในครรภ์แรก และ30นาทีในครรภ์หลังรายงานแพทย์เพื่อทําการช่วยคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการ

แรงผลักดันการคลอด (Power)

1.แรงผลักดันภายใน (primary power)

2.แรกผลักดันภายนอก (secondary power)

แรงที่เกิดจากการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อขับไล่ทารกออกสู่ภายนอก มีความสำคัญต่อการบางและขยายของปากมดลูก การเคลื่อนต่ำของทารก การก้มของศีรษะทารก การหมุนของศีรษะทารกภายในช่องเชิงกราน การลอกตัวของทารกและการคลอดรก

แรงเเบ่งของสตรีตั้งครรภ์ (Bearing down effort) เกิดจากหดรัดตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลม ส่วนนำของทารกเคลื่อนต่ำลงไปกดบริเวณ pelvic floor และ rectum ทำให้สตรีตั้งครรภ์รู้สึกอย่างถ่ายอุจจาระ แรงเบ่งนี้มีความสำคัญมากเพราะจะเกิดแรงดันในโพรงมดลูกเพิ่มขึ้นจากแรงหดรัดตัวของมดลูกอย่างเดียวถึง 3 เท่า

ปัญหาที่พบจากกรณีศึกษา

Overterm pregnancy

Thick meconium

Poor Maternal Effort

Birth Asphyxia

ใช้สูติศาสตร์หัตถการช่วยคลอด คือ vacuum extraction

Fetal distress

Birth asphyxia

Respiratory distress syndrome: RDS

การตกเลือดหลังคลอด

Dystocia

Arrest of dilation

Meconium aspiration syndrome : MAS

Hypoglycemia

Apnea

Vacuum Extraction

ข้อบ่งชี้

ด้านทารก

ด้านมารดา

  1. ศีรษะทารกอยู่ในท่าที่ผิดปกติ เช่น ท่าขวาง ท่าท้ายทอยอยู่ด้านหลัง
  1. ระยะที่ 2 ของการคลอดยาวนาน
  1. ทารกอยู่ในภาวะคับขัน
  1. มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
  1. ผู้คลอดอ่อนเพลีย แรงเบ่งไม่ดี / ไม่ค่อยมีแรง
  1. ผู้คลอดมีภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ควรออกแรงเบ่งคลอด

ภาวะแทรกซ้อน

ต่อมารดา

ต่อทารก

  1. การบาดเจ็บต่อช่องทางคลอด ถึงระดับ 3-4 > มีโอกาสการติดเชื้อ และ มีโอกาสการตกเลือดได้
  1. การฉีกขาด ของแผลปากมดลูก
  1. Cephal hematoma > สามารถหายได้ประมาณ 2-3 เดือน
  1. เกิดรอยช้ํา หรือรอยถลอก
  1. เลือดออกภายในสมอง
  1. เลือดออกบริเวณจอประสาทตา (retinal hemorrhage)
  1. ศรีษะแตก หรือ แยกของรอยต่อกระโหลกศีรษะ

หลักการพยาบาลก่อนช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ

  1. การเตรียมเครื่องมือ

1.1 เครื่องดูดสูญญากาศไป

1.2 ชุดทําคลอด

1.3 ชุดเย็บแผล

1.4 อุปกรณ์ ในการช่วยเหลือทารกภายหลังคลอดเมื่อมีภาวะขาดออกซิเจน

  1. ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ
  1. อธิบายวิธีการเบี่ยงที่ถูกต้องแก้ผู้คลอดโดยเบี่ยงขณะที่มดลูกหดรัดตัว
  1. ตรวจ v/s ทุก 1 ชั่วโมง และฟัง FHS 15 – 30 นาที เพื่อ ประเมินภาวะแทรกซ้อน
  1. ดูแลผู้คลอดให้ได้รับสารนํ้าและยาตามแผนการรักษา
  1. ดูแลความสุขสบายของผู้คลอดทั่วๆไป

มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการ ใช้สูติศาสตร์หัตถการ ด้วยวิธี Vacuum Extraction

กิจกรรมการพยาบาล

  1. อธิบายให้มารดารับทราบเกี่ยวกับการใช้สูติศาสตร์หัตถการ ด้วยวิธี Vacuum Extraction คือการใช้เครื่องดูดสูญญากาศในการเสิรมแรงจากการหดรัดตัวของมดลูกในขณะเจ็บครรภ์ รวมกับแรงเบ่งของผู้คลอด ดึงศีรษะทารกออกจากช่องคลอด โดยออกแรงดึงเฉพาะเวลาทมดลูกหดรัดตัว เพื่อให้สามารถดำเนินการคลอดทางช่องคลอดได้อย่างปลอดภัย
  1. อธิบายข้อบ่งชี้และภาวะที่ต้องมีให้ครบถวน รวมทั้ง ข้อห้ามในการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ
  • ข้อบ่งชี้ในการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ
  • ภาวะที่ต้องมีให้ครบถ้วนก่อนช่วยคลอดด้วยเครื่องดธดสูญญากาศ

: ด้านมารดา

: ด้านทารก

2) มารดามีโรคร่วมที่ไม่ควรออกแรงเบ่งคลอดมากหรือมีภาวะแทรกซ้อน ของการตั้งครรภ์บางอย่าง ได้แก่ myasthenia gravis,รกลอกตัวก่อน กําหนด,ความดันโลหิตสูง, โรคปอดและโรคหวใจ

1) การหมุนของศีรษะทารกผิดปกติ เช่น occiput posterior และ occiput transverse เป็นต้น

2) ทารกอยู่ในภาวะ fetal distrese ที่ไม่รุนแรง

1) การคลอดระยะที่ 2 ยาวนาน ( Prolonged second stage of labor )

1) ทารกต้องเป็นท่าศีรษะและทราบทาา และระดับส่วนนําของทารก

2) ไม่มีการผิดสัดสวนระหว่างศีรษะทารกกับช่องเชิงกรานมารดา

3) ศีรษะทารกต้อง engage แล้ว

4) ปากมดลูกควรเปิดหมด

5) ถุงน้ําคร่ําต้องแตกแล้ว

6) ทารกยังมีชีวติ

7) กระเพาะปัสสาวะและทวารหนักว่าง

  • ข้อห้ามในการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ

1) ทารกท่าผิดปกติ เช่น ท่าหน้า ท่าก้น และท่าขวาง

2) ภาวะผิดสัดสวนระหว่างศีรษะทารกกับช่องเชิงกรานอย่างชัดเจน ( absolute CPD )

3) ทารกไม่ครบกําหนด เพราะจะเกิดอันตรายต่อกะโหลกศีรษะทารกที่ยังไมแข็ง

4) มีการพลัดต่ําของสายสะดือ

5) ทารกอยู่ในภาวะคับขัน ( fetal distress )

6) ในรายที่ศีรษะทารกอยู่สูงเหนือทางเข้าช่องเชิงกราน ยกเว้นในราย second twin

7) ทารกมีขนาดใหญ่

8) ทารกได้รับการเจาะเลือดบริเวณหนังศีรษะก่อนคลอด (fetal scalp blood sampling) เพราะอาจเกิดการติดเชื้อจากถ้วยสูญญากาศ

  1. ดูแลจัดท่าผู้คลอดโดยจัดให้ผคลอดนอนในท่า lithotomy ทําความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกและฝีเย็บด้วยน้ํายาฆ่าเชื่อโรคหลังจากนั้นปูผ้าสะอาดและผ้าสเหลี่ยมเจาะกลาง สวนปัสสาวะทิ้ง และให้ยาระงับความรู้สึกโดยการท ทํา pudendal nerve block
  1. อธิบายขั้นตอนการทคลอดด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ

1) การต่อเครื่องมือ เลือกขนาดถ้วยสูญญากาศให้เหมาะกับศีรษะทารก ร้อยโซ่ผ่านสายยางอันสั้นและ traction handle ดึงให้ตั้งแล้วสอดหมุดยึดไว้ต่อสายยางอันยาว เข้ากับปลายอีกข้างหนึ่งของ traction handle แล้วส่งปลายอีกข้างหนึ่งของสายยางนี้ให้ผู้ช่วยต่อเข้ากับขวดสูญญากาศ ซึ่งมีท่อต่อกับเครื่องสูญญากาศ

2) การใส่เครื่องมือ ( Application of vacuum extraction ) หล่อลื่นถ้วยสูญญากาศด้วย antiseptic cream เช่น hibitane cream สอดถ้วยสูญญากาศผ่านปากช่องคลอดในลักษณะตะแคงด้านข้างเข้าไปจับยึดศีรษะทารก ถ้าสอดถ้วยสูญญากาศผ่านเข้าไปลําบาก อาจใช้มืออีกข้างกดฝีเย็บลงหรืออาจตัดฝีเย็บก่อน ขยับให้ถ้วยสูญญากาศให้ใกล้ occiput มากที่สุด โดยให้ปมที่ถ้วยสูญญากาศเป็นเครื่องหมายบอกตําแหน่ง occiput ใช้นิ้วคลํารอบๆถ้วยสูญญากาศเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้จับเอาปากมดลูกหรือผนังช่องคลอดเข้ามาในถ้วยสูญญากาศ

3) เมื่อแพทย์ใส่ถ้วยสูญญากาศในตําแหน่งที่เหมาะสมแล้ว พยาบาลจะช่วยต่อสายยางกับขวดสูญญากาศ และช่วยจับเวลาให้แพทย์ทุก 2 นาทีขณะที่แพทย์ลดความดันสูญญากาศลงที่ละ 0.2 กก./ซม2 จนความดันที่ลดครบ 0.6 – 0.8 กก./ซม2 จึงรายงานให้แพทย์ทราบ เพื่อจะได้ดึงถ้วยสูญญากาศพร้อมกับการหดรัดตัวของมดลูก

4) อธิบายวิธีการเบ่งที่ถูกต้องแก่ผู้คลอดโดยเบ่งขณะที่มดลูกหดรัดตัว

  1. ตรวจสัญญาณชีพของผู้คลอดทุก 1 ชั่วโมง และฟังเสียงหัวใจทารกทุก 15 – 30 นาที เพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อน

กิจกรรมการพยาบาลระยะคลอด

  1. อยู่เป็นเพื่อนผู้คลอดตลอดเวลา คอยปลอบโยนและให้กําลังใจ
  1. ฟัง FHS ทุกครั้งที่มดลูกคลายตัว
  1. ช่วยต่อสายยางกับขวดสูญญากาศ และช่วยจับเวลาให้แพทย์ ชทุก 2 นาที ขณะที่แพทย์ลดความดันสูญญากาศลงทีละ 0.2 กก./ซม2 จนความดันที่ลดครบ 0.6 – 0.8 กก./ซม2 จึงรายงานให้แพทย์ เพื่อจะได้ดึงถ้วยสูญญากาศพร้อมกับการหดรัดตัวของมดลูก
  1. ตรวจสอบการหดรัดตัวของมดลูกเป็นระยะๆ
  1. ดึงสายยางออกจากขวดสูญญากาศ พร้อมกับการปิดเครื่องสูญญากาศของแพทย์เพื่อลดความดันบริเวณหนังศีรษะของทารก หลังจากศีรษะทารกคลอด
  1. เตรียมคีมที่เหมาะสม เพื่อช่วยคลอดในกรณีที่การช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศไม่สําเร็จ

ทารกมีภาวะ mild birth asphyxia

กิจกรรมการพยาบาล

1.จัดท่านอนศีรษะสูงโดยใช้ผ้าหนุนบริเวณคอและไหลเพื่อให้ทางเดินหายใจตรงอากาศผ่านเข้าออกได้สะดวก

  1. ดูแลทางเดินหายใจให้โล่งโดยการ Suction clear airway
  1. ดูแลให้ได้รับออกซิเจนตามแผนการรักษาของแพทย์ On oxygen box 10 LPM
  1. สังเกตอาการและลักษณะการหายใจที่ผิดปกติเช่น ซึม การหายใจเหนื่อย หายใจเร็ว หายใจตื้น มี Subcostal retraction ปลายมือเท้าม่วง
  1. วัดระดับความเข้มข้นของออกซิเจนและติดตามค่าออกซิเจนในเลือด
  1. ส่งทารกไปยัง NICU เพื่อรักษาต่อกับแพทย์เฉพาะทางทารกแรกเกิด

มีโอกาสเกิดภาวะ fetal distress

กิจกรรมการพยาบาล

Fetal distress

คือภาวะที่ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจนและถ้าไม่ให้คลอดโดยเร็วทารกจะได้รับอันตราย

จากการตรวจจะพบ

  • FHS < 110 ครั้ง/นาที หรือ > 160 ครั้ง/นาที
  • ทารกดิ้นน้อยลง
  • อาจพบ FHS pattern ที่ผิดปกติ เช่น late deceleration
  1. ให้ผู้คลอดนอนในท่าตะแคงซ้าย เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูก
  1. ดูแลให้ oxygen mask with bag 10 L/min
  1. ดูแลให้ได้รับสารน้ําทางหลอดเลือดดํา
  1. ติดตามการเต้นของหัวใจทารกโดยการ monitor EMF ตลอดเวลา
  1. ประเมินความก้าวหน้าของการคลอด โดยการตรวจภายใน เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาวิธีการคลอด
  1. รายงานแพทย์ให้ทราบ หลังจากปฏิบัติตามขั้นตอนที่ผ่านมาแล้ว โดยต้องรายงานให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงทีและปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์

การพยาบาลด้านจิตใจ 6 P

1.Power แรงภายในการหดรัดตัวของมดลูก และแรงเบ่ง

2.passeage ช่องทางคลอด

3.passenger สิ่งที่คลอด ได้แก่ รก น้ําคร่ํา เยื่อหุ้มรก

4.physical ความผิดปกติด้านร่างกายมารดา เช่น น้ําหนัก ส่วนสูง อายุ โรคทางอายุรกรรม

5.position ความผิดปกติของท่าผู้คลอด

6.psychological ภาวะต้านจิตใจของมารดาที่อาจมีความวิตกกังวลมีการเผชิญความเจ็บปวดไม่เหมาะสม

ไม่สามารถควบคุมความปวดได้ Fear-Tension-Pain วิตกกังวลหรือความเครียดทําให้เกิดการหลั่ง Adrenaline มีการหลั่งทําให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี Oxytocin หลั่งน้อยลง การไหลเวียนเลือดที่มดลูกน้อยลงทําให้

อาจเกิดการคลอดล่าช้าเนื่องจากเผชิญความปวดไม่เหมาะสม

  • มารดาเจ็บครรภ์ไม่สามรถควบคุมความปวดได้
  • มารดากรีดร้อง มีอาการเหนื่อยล้า
  • มารดาขอยุติการคลอด

กิจกรรมการพยาบาบล

1.ให้คําแนะนํา ให้ข้อมูลมารดาเพื่อให้ทราบข้อมูล เช่นกระบวนการคลอดที่ถูกต้อง วิธีการเบ่งที่ถูกต้อง

2.ให้คําแนะนําเบาเทาปวดในแต่ละระยะ เช่น ระยะ latent แนะนําการหายใจ ระยะ Active แนะนําทฤษฎีการเบาเทาปวดแบบควบคุมประตู ( กระตุ้นความรู้สึกของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เพื่อให้ความรู้สึกกล้ามเนื้อมัดเล็กจากการปวดมดลูกลดลง)

  1. ปลอบโยนผู้ป่วย อยู่เป็นเพื่อนให้กําลังใจแก่ผู้คลอด
  1. ติดตามประเมินความก้าวหน้าของการคลอดและ การเผชิญความเจ็บปวดอย่างสมเหมาะ

ทฤษฎีการเจ็บครรภ์คลอดเกินกําหนด

1.ทารกไม่มีสมอง ทารกไม่มีต่อมไทรอยด์ อธิบายด้วยทฤษฎี cortisol ของทารกในครรภ์ (fetal cortisol theory) เชื่อว่า เมื่อทารกในครรภ์เจริญเติบโตเต็มที่ ต่อมหมวกไตจะไวต่อ adreno corticotropic hormone ที่สร้าง จากต่อมใต้สมองเพิ่มมากขึ้น ช่วยกระตุ้นให้หลั่งฮอร์โมน cortisol มากขึ้น ทําให้กล้ามเนื้อมดลูก เริ่มหดรัดตัวและเกิดการเจ็บครรภ์คลอด เมื่อทารกไม่มีสมอง ไม่มีต่อมไทรอยด์เกิดภาวะ postterm

2.น้ําหนักน้อย ส่งผลต่อทฤษฎีการยืดขยายของมดลูก (uterine stretch theory) เชื่อว่าเมื่อครรภ์ครบกําหนด มดลูกมีการยืดขยายถึงจุดสูงสุดไม่สามารถยืดขยายได้อีกแล้ว เกิดกระบวนการทําให้มีการทํางานประสานกันของมดลูกส่วนบนและส่วนล่าง (depolarization) หดรัดตัว น้ําหนักน้อยจึงม่เกิดการยืดขยายของมดลูก

3.ทารกท่าผิดปกติ สัดส่วนทารกและช่องเชิงกรานไม่สัมพันธ์กัน ส่งผลต่อทฤษฎีความดัน (pressure theory) เชื่อว่า การคลอดเกิดส่วนนําของทารกเคลื่อนตํ่าลงมากดบริเวณมดลูกส่วนล่าง จนกระทั่งตัวรับรู้ความดัน ส่งสัญญาณไปยังต่อมใต้สมองของ ให้มีการหลั่ง oxytocin กระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวและเกิดการคลอดขึ้น

  1. เครียดวิตกกังวล ส่งผลต่อทฤษฎีการกระตุ้นฮอร์โมน oxytocin (oxytocin stimulation theory) เชื่อว่า การคลอดเป็นภาวะเครียดของร่างกายที่ทําให้ต่อมใต้สมองส่วนหลังหลั่ง oxytocin ออกมามาก กล้ามเนื้อมดลูกก็จะทํางาน ทําให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูก แต่ในภาวะเครียดร่างกายหลั่งสาร Adrenaline ส่งผลต่อการขัดขวางการหลั่ง oxytocin

5.อายุเกิน 35 ปี เป็นปัจจัยส่งเสริม เช่นส่งผลต่อทารกน้ําหนักน้อย โครโมโซมไม่สมบูรณ์ เกิดความพิการ เป็นต้น

6.รกเสื่อม (Placental Insufficiency) สารเหตุ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ โคเคน เฮโรอีน อายุเยอะ โรคภูมิคุ้มกันทําลายคนเอง ซึ่งจะทําให้เลือดไปเลี้ยงรกน้อยลง การที่รกขาดเลือดหรือ เลือดไปเลี้ยงรกไม่พอทําให้รกเสียหายและเสียหน้าที่ ทําให้การลําเลียง O2 และสารอาหารไปยังทารกน้อยลง ทําให้ทารกเจริญเติบโตช้า (IUGR) การที่รกขาดเลือดไปเลี้ยงนานๆ ทําให้เกิด การตายของเยื่อหุ้มชั้น Chorionic เกิด Placenta infarction และ Uteroplacental thrombosis ซึ่งฮอร์โมน จากรก เช่น HCG Progesterone Estrogen บกพร่อง ทําให้เกิดการคลอดเกินกําหนด

นางสาวศุภสุตา โกยสมบูรณ์ เลขที่ 51 รหัส 611001050 ปี 4