องค์ประกอบของดนตรี imagesca9hhd5q

เสียง(TONE) 9500_16102611572698

คือพลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของของวัตถุหรือแหล่งกําเนิดเสียง เมื่อวัตถุสั่นสะเทือนก็จะทําให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู

มีคุณสมบัติ 4 ประการ คือ ระดับเสียง ความยาวของเสียง ความเข้มของเสียง และคุณภาพของเสียง
1.ระดับเสียง(pitch) หมายถึง ระดับความสูง-ต่ำของเสียง ซึ่งเกิดจากความถี่ของการสั่นสะเทือนของวัตถุ ถ้ามีความถี่สูง สั่นสะเทือนเร็วจะมีเสียงสูง ถ้ามีความถี่ต่ำ สั่นสะเทือนช้าจะมีเสียงต่ำ
2.ความยาว-สั้นของเสียง(Duration) หมายถึงเสียงแต่ละเสียงที่เกิดขึ้นจะต้องใช้ระยะเวลาซึ่งจะทำให้เกิดเสียงยาวเสียงสั้น และสามารถแทนได้ด้วยสัญลักษณ์ทางดนตรีที่มีคุณสมบัติเกี่ยวกับความสั้น-ยาวของเสียง
3.ความเข้มของเสียง(Intensity) หมายถึง น้ำหนักความดังเบาของเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ ถ้าวัตถุสั่นมากจะเสียงดัง ถ้าวัตถุสั่นน้อยจะเสียงเบา และความเข้มของเสียงยังขึ้นอยู่ความแรงที่ส่งมาจากแหล่งกำเนิดเสียง
4.คุณภาพของเสียง(Quality) หมายถึง คุณลักษณะของเสียงที่ได้ยินว่าไพเราะหรือไม่ ซึ่งอาจจะมีหลายๆปัจจัยด้วย

จังหวะ(rhythm) Music-rhythm

คือ การเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอ อาจกำหนดความช้าเร็วต่างกัน

จังหวะสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท
1.จังหวะหลัก(beat) หมายถึง การเคาะหรือการนับจังหวะอย่างสม่ำเสมอเท่าๆกัน
2.ความเร็วของจังหวะหลัก(temple) หมายถึง ความเร็วของบทเพลง มีหน่วยเป็นครั้งต่อนาที
3.จังหวะของทำนอง(melodic rhythm) หมายถึง จังหวะที่เกิดขึ้นตามทำนองโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดีบเสียง
4.รูปแบบของจังหวะ(rhythmic pattern) หมายถึง รูปแบบของจังหวะที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน เช่น จังหวะสามช่า จังหวะรำวง

ทำนอง(melody) unnamed (1)

คือ การจัดระเบียบของเสียงที่เกี่ยวข้องกับความสูง-ต่ำ ความสั้น-ยาว และความดัง-เบา เป็นองค์ประกอบของดนตรีที่ผู้ฟังสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด

ตัวอย่างทำนอง เช่นเพลงฮัม เพลงhappy birthday ซึ่งเพลงพวกนี้จะไม่มีเนื้อร้อง แต่ก็ยังเข้าใจอยู่ดีว่าเป็นเพลงอะไร โดยส่วนมากเพลงทำนองจะนำไปcoverเป็นดนตรีประกอบอยู่บ่อยครั้ง

เสียงประสาน
(harmony) US_Navy_080615-N-7656R-003_Navy_Band_Northwest's_Barbershop_Quartet_win_the_hearts_of_the_audience_with_a_John_Philip_Sousa_rendition_of

คือ เสียงดนตรีต่างๆ อย่างน้อย 2 เสียงที่ถูกกำหนดให้บรรเลงขึ้นพร้อมกัน และจะทำห้มีการเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน 2 เสียง เรียกว่า"ขั้นคู่" แต่ถ้ามากกว่า 2 เสียงขึ้นไปเรียกว่า"คอร์ด"

1.เสียงขั้นคู่(intervals) หมายถึง เสียง 2 เสียงที่เขียนเรียงกันในแนวตั้งและเปล่งออกมาพร้อมๆกัน การนับระยะห่างของเสียงตามลำดับขั้นของโน้ตในบันไดเสียง ขั้นคู่เสียงถือว่าเป็นเสียงประสานที่มีความสำคัญในการเขียนเพลง
2.คอร์ด(chords) หมายถึง กลุ่มเสียงตั้งแต่ 3 เสียงขึ้นไปเรียงกันในแนวตั้ง และเปล่งเสียงออกมาพร้อมกัน

พื้นผิวของเสียง(texture) no-1-stravinsky-debussy-discussion-44-728

คือ ลักษณะหรือรูปแบบของเสียงทั้งที่ประสานสัมพันธ์และไม่ประสานสัมพันธ์ โดยอาจจะเป็นการนำเสียงมาบรรเลงซ้อนกันหรือพร้อมกันจนเกิดเป็นพื้นผิวทางดนตรี

ลักษณะรูปแบบของพื้นผิวเสียงมี 4 รูปแบบ
1.monophonic texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่มีแนวทำนองเดียว ไม่มีเสียงประสาน
2.polyphonic texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียงที่ประกอบด้วยแนวทำนองตั้งแต่สองแนวทำนองขึ้นไป
3.homophonic texture เป็นลักษณะพื้นผิวของเสียง ที่ประสานด้วยแนวทำนองแนวเดียว โดยมีกลุ่มคอร์ดทำหน้าที่สนับสนุน
4.heterophonic texture เป็นรูปแบบของแนวเสียงที่มีทำนองหลายทำนองแต่ละแนวมีความสำคัญเท่ากันทุกแนว

สีสันของเสียง(tone color) indexNew_24

คือ คุณลักษณะเฉพาะของเสียงนั้นๆ ที่เกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งมีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติของเสียงนั้นๆ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดคุณลักษณะของเสียงแตกต่างออกไปมี 3 รูปแบบ
1.วิธีการบรรเลง หรือการผลิตเสียง อาจจะเป็นวิธี ดีด สี ตี เป่า โดยเป็นคุณลักษณะของเสียงจากเครื่องดนตรี
2.วัสดุที่ใช้ทำเครื่องดนตรี แล้วแต่ตามวัฒนธรรม สภาพแวดล้อมของสังคมและยุคสมัย เช่น canadaมีไม้สนเยอะก็นำไม้สนมาทำเป็นกีตาร์ เป็นต้น
3.ขนาดและรูปทรง เครื่องดนตรีที่ขนาดไม่เหมือนกัน จะทำให้เกิดเสียงที่แตกต่างกัน

เด็กชายจิรเวช จีรบุณย์ มัธยมศึกษา3/3 เลขที่19