Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

สรุปการเรียนรุ้ - Coggle Diagram

- - - - ควบคุมอาหารโปรตีน โซเดียม โคเลสเตอรอล ฟอสเฟต
      - การจำกัดน้ำ
      - ใช้ยาเพื่อชะลอความเสื่อมของไต
    - - ฟอกเลือดด้วยดครื่องไตเทียม
      - ล้างไตทางช่องท้อง
      - ผ่าตัดปลูกถ่ายไต
- - - - มีการติดเชื้อในชั้นผิวหนังลึกๆ และกระจายไปยังเนื้อเยื่อมักเกิดจากเชื้อ Streptococcus หรือ Staphylococcus เชื้อจะผ่านเข้าทางรอยแผลที่ฉีกขาด แมลงกัด การกระทบกระแทกหรือทางบาดแผล
    - - ผิวหนังมีลักษณะบวมแดง ร้อนและปวด ขอบเขตไม่ชัดเจนมักเกิดขึ้นตามแขนขา อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร ต่อมน้ำเหลืองโต
    - - ให้ Cloxacilin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง หรือ Erythromycin 500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง นาน 5-7 วัน ประคบร้อนยกส่วนที่เป็นให้สูงขึ้น และป้องกันการกดทับบริเวณที่เป็นแผล
  - - - ความผิดปกติของการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย
      - การได้ยาหรือสารพิษต่อไต ยาที่พบบ่อย ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดชนิด (NSAIDS) ยาชุด ยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือการได้รับสารทึบแสง ซึ่งยาเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของไต
      - ภาวะไตอักเสบ ซึ่งอาจเกิดจากโรคของโกลเมอรูลัส (glomerular disease) หรือจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเกิดที่ไตเองหรือบริเวณอื่นของร่างกายก็ได้
      - การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต
    - - ระยะเริ่มแรก (intial phase) ร่างกายยังสามารถปรับตัวโดยหลั่งสารที่ทำให้หลอดเลือด
        หดตัว เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะที่สำคัญ
      - ระยะที่มีปีสสาวะออกน้อย (iguric phase) หรือไม่มีน้ำปีสสาวะออกจากร่างกาย เนื่องจากไตเริ่มมีการทำงานที่บกพร่อง
      - ระยะปัสสาวะออกมาก (diuretic phase)ปัสสาวะอาจจะออกถึงวันละ 1,000 - 2,000 มล.
        ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำ ร้อยละ 25 จะตายจากภาวะไตวายเฉียบพลันในระยะนี้
      - ระยะฟื้นสภาพ (recovery phase) เป็นระยะที่หน้าที่ของไตค่อยๆฟื้นสภาพอย่างช้าๆ อาจใช้
        เวลาฟื้นสภาพร้อยละ 70 - 80 ภายในเวลาระยะ 1 ปี ในบางรายอาจมีการเสียหน้าที่บางส่วนอย่างถาวร
    - - 1.รักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
        2.รักษาสมดุลน้ำและเกลือแร่ให้เป็นปกติ
        3.ปรับขนาดยาตามการทำงานของไตที่ลดลง
        4.หลีกเลี่ยงการฉีดสารทึบรังสีหรือยาที่มีผลเสียต่อไตที่ไม่มีความจำเป็น
        5.การรักษาโดยการบำบัดทดแทนไต กรณีที่มีอาการสารน้ำเกิน หรือเกลือแร่ผิดปกติร้ายแรงที่อาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต
- - - - ระยะใส่เข้า อาศัยการปล่อยน้ำเกลือให้ไหลจากถงซึ่งอยู่ที่สูงลงสู่ช่องท้อง
      - ระยะค้าง ปล่อยน้ำเกลือค้างไว้ในช่องท้อง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่นานที่สุด 3-4 ชั่วโมง
      - ระยะปล่อยออก ขั้นตอนการปล่อยน้ำออกมาจากช่องท้อง
- - - - เกิดจากเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรียโดยสามารถติดต่อได้จากการหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศเข้าไปหรือจากการไอ-จามรดกัน
    - - 1.ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับปะทานอาหารที่มีประโยชน์
      - 2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
      - 3.ไม่สัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วย
      - 4.ล้างทอให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร
      - 5.ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำ
- - - - ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มักเสี่ยงเกิด Diabetic Ketoacidosis ได้สูง
      - การติดเชื้อหรืออาการป่วย เช่น ไข้หวัด ปอดบวม หรือมีการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
      - การขาดอินซูลินในผู้ป่วย การขาดการรักษาหรือการได้รับการรักษาด้วยอินซูลิน
      - ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 19 ปี
      - ผู้ที่มีภาวะหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมอง
      - การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ หรือการใช้สารเสพติด
      - ผู้ที่มีประวัติการผ่าตัด ผุ้ที่มีอาการป่วย อย่างมีไข้สูง
    - - ปากแห้ง กระหายน้ำมาก
      - ปัสสาวะบ่อย
      - คลื่นไส้ อาเจียน
      - ปวดท้อง
      - อ่อนเพลียไม่มีเเรง
    - - การให้สารน้ำ วัตถุประสงค์คือ เพิ่มสารน้ำทั้งในหลอดเลือดและหลอดเลือด และเิ่มเลือดใก้ไปที่ไตเข้าสู่ภาวะปกติ
      - การรักษาด้วยการให้อินซูลิน แพทย์อาจให้อินซูลินผ่านทางหลอดเลือดดำของผู้ป่วย จนกว่าระดับน้ำตาบในเลือดจะลดลงต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
      - โพแทสเวียมในภาวะ DKA จะมี Total potassium ต่ำ แม้ว่าตรวจพบระดับโพแทสเซียมในเลือดอาจจะปกติหรือสูงขึ้นเล็กน้อย การให้อินซุลิน การแก้ไขภาวะ Acidosis และการให้สารน้ำ จะทำให้โพแทสเซียมกลับเข้าเซลล์
      - การให้ คาร์บอเนตใน DKA เพื่อแก้ไขความเป็นกรดในเลือด เนื่องจากความเป็นกรดด่างมากกว่า 7.0 อินซูลินสามารถยับนั้ง Lipolysis และแก้ไข้ Ketoacidosis ได้โดยไม่จำเป็นต้องให้คาร์บอเนต
      - สืบค้นเพื่อหาปัจจัยกระตุ้นของภาวะ DKA โดยปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อย คือการติดเชื้อ โดยกาแหล่งติดเชื้อ โดยดูผลทางห้องปฏิบัติการ